วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 16-3
แต่ไหนแต่ไรมายามเช้าของพระราชาและพระมเหสีมักจะเป็นการไปเยี่ยมเยียนพระพันปีที่วังจางชุนเสมอ และตอนนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่เพิ่มการลืมตาตื่นขึ้นมาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วมองออกไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น
การที่ไฟสัญญาณถูกจุดขึ้นในช่วงเวลาสงครามแบบนี้แบ่งออกได้เพียงแค่สองกรณีเท่านั้น ได้แก่แนวรบป้องกันถูกตีแตกแล้ว หรือไม่ก็เอาชนะทหารฝ่ายศัตรูได้แล้ว หลังจากได้ข่าวที่ทหารฝ่ายศัตรูยกพลขึ้นชายฝั่งทะเลแล้ว ไฟสัญญาก็ยังคงเงียบเชียบแม้จะผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม
เหนือความสงบนิ่งที่ถูกรักษาไว้ได้อย่างหวุดหวิด รยูฮาจับหัวใจที่กระวนกระวายและมองออกไปทางตะวันออกอย่างเลื่อนลอยทุกๆ วัน
“อย่าได้กังวลเกินไปเลย การไม่มีข่าวคราวแสดงว่ายังสุขสบายดี”
เมื่อเป็นเรื่องของตัวเองรยูฮามักจะไม่ยินดียินร้ายยิ่งกว่าใคร แต่เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่นางรัก นางจะแสดงท่าทีต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในเมื่อทั้งท่านพ่อและพี่ชายทั้งสามคนออกไปยังสนามรบ แล้วจะให้นางนอนหลับสบายได้อย่างไร แม้ว่าคำพูดที่ฮอนส่งไปจะไม่ใช่การปลอบใจในสายตาเขา แต่เขาก็หวังว่ามันจะช่วยปลอบใจได้
“ที่ฝ่าบาทตรัสถูกต้องเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันเป็นบุคคลที่มีความสามารถ”
“ใช่แล้ว เขาคือนักดาบอันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้น่าจะฟันพวกทหารฝ่ายศัตรูไปได้เป็นพันคนแล้วแหละ”
แน่นอนอยู่แล้วเพคะ รยูฮาพยายามพึมพำด้วยรอยยิ้มพลางลูบท้องที่ป่องไปด้วย
“อีกหนึ่งเดือน องค์รัชทายาทก็จะออกมาแล้วเพคะ จนถึงตอนนั้นพวกเขาจะกลับมาใช่ไหมเพคะ”
“แน่นอนสิ ข้าจะไปห้องทรงงานเสียหน่อย เจ้าพักผ่อนเถอะ”
ฮอนลูบไหล่รยูฮาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกไปจากวังจานยองด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ไฟสัญญาณมาแล้ว เรียกว่าโชคดีได้ไหมนะที่เป็นตอนที่รยูฮากำลังนอนอยู่เมื่อห้าวันก่อน แสงไฟสีแดงที่พอเห็นได้ในระยะพันลี้แจ้งข่าวเรื่องการพ่ายแพ้ของกองทัพฝ่ายเราอย่างชัดเจน รวมถึงข่าวที่แจ้งว่าแนวรบป้องกันที่สามยังไม่ถูกตีแตกเช่นกัน
มันคือสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เหล่าทหารเรือซึ่งอุทิศตนเพื่อต้านทานศัตรูไว้แม้จะมีอาวุธที่ด้อยกว่าถูกกำจัดไปเกือบทั้งหมด ส่วนทหารฝ่ายศัตรูก็ยกพลขึ้นฝั่งมาแล้ว แม้ว่าลูกธนูจะพุ่งมาเหนือหัวพวกเขาราวกับสายฝนจากที่ไกลๆ แต่ศัตรูก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยประหนึ่งว่าถูกเสกมาจากที่ไหนสักแห่ง และทุกครั้งที่ปืนใหญ่ยิงครั้งหนึ่ง กองทัพฝ่ายเราก็ร่วงกันระนาวราวกับใบไม้ร่วง
“ถอยทัพ!”
“ถอยทัพ! ถอยทัพ!”
เสียงแตรดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงตะโกนของท่านมหาเสนาบดี บรรดาทหารส่งสารจึงรีบแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางทหารอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งประกาศการถอยทัพ เสียงโห่ร้องของทหารฝ่ายศัตรูที่ดังกึกก้องไล่หลังพวกเขาซึ่งกำลังวิ่งหนีก็ดังเสียจนแผ่นดินสั่นสะเทือน
“อพยพราษฎรหมดแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่!”
สาเหตุที่ยังคงอดทนและไม่ถอยทัพสักทีแม้จะได้รับความเสียหายมากมายก็เพื่อเหล่าราษฎรทั้งหลาย การจะเข้ามาในผืนดินแทซากุกจากทะเลตะวันออกก็จำเป็นจะต้องผ่านทางนี้ ดังนั้นหัวเมืองใหญ่ที่ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาตร์นี้และพัฒนาทั้งในด้านการติดต่อค้าขายและการประมงจึงตั้งอยู่ด้านหลังนี้เอง ซึ่งราษฎรในหัวเมืองนี้มีมากถึงสองหมื่นกว่าคน และยิ่งจำนวนประชากรมากเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการอพยพออกไปอย่างปลอดภัยมากเท่านั้น
เหล่าทหารตามหลังแม่ทัพใหญ่ซึ่งนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับดาบสีนิลเข้าไปยังหัวเมืองที่ว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกทิ้งขว้างไปทั่วต่างล้มระเนระนาดและต้อนรับพวกเขา
“ตรงนี้คือแนวรบป้องกันสุดท้าย หากที่ตรงนี้ถูกทะลวงเข้ามาได้ แทซากุกที่มีประวัติศาสตร์ติดต่อกันมานับพันปีก็จะถูกเหยียบย่ำด้วยเท้าของพวกทหารฝ่ายศัตรู ส่วนครอบครัวของพวกเจ้าก็จะถูกลากไปเป็นเชลยศึกและทาส จงสู้! ถ้าจะอยู่ก็อยู่ที่นี่ ถ้าจะตายก็ตายที่นี่!”
เสียงร้องตะโกนของแม่ทัพอาวุโสปลุกขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารให้มีแรงฮึดสู้ แววตาของท่านมหาเสนาบดีที่เตรียมพร้อมการสู้รบครั้งสุดท้ายจ้องมองพวกเขาราวกับจะทะลุทะลวง
กองกำลังทหารของแทซากุกที่ทำการถอยทัพซ่อนตัวอยู่ในภูเขาซึ่งล้อมรอบหัวเมือง ส่วนทหารฝ่ายศัตรูก็ใช้หัวเมืองซึ่งว่างเปล่าหลังจากชาวบ้านที่อยู่อาศัยอพยพออกไปหมดแล้วเป็นค่ายทหาร นอกจากที่นี่จะเป็นพื้นที่แรกที่ต้องผ่านเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินแล้ว ยังมีสิ่งของที่ชาวบ้านทิ้งไว้มากมายก่ายกองและที่สำคัญคือมีบ่อน้ำด้วย ดังนั้นจึงน่าจะเป็นตัวเลือกอย่างไม่ต้องสงสัย การเผชิญหน้าอันเงียบสงัดผ่านไปเป็นวันที่สอง เหล่าผู้บัญชาการซึ่งมารวมตัวกันที่ค่ายทหารของซอดูต่างกลืนน้ำลายที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ทั้งหมดประมาณเท่าไหร่”
“สันนิษฐานว่าราวๆ สามหมื่นขอรับ ท่านแม่ทัพ”
หากคิดจากทหารจำนวนห้าหมื่นนายที่บุกเข้ามาในตอนแรกก็ถือว่าลดลงไปเยอะพอสมควร ทว่าความเสียหายของทางฝั่งเราซึ่งใช้พลังที่มีทั้งหมดในการป้องกันโดยที่ไม่ถอยทัพนั้นรุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่กำลังทัพซึ่งไม่ถึงหมื่นจะต้องประจันหน้ากับทหารที่มีจำนวนสามหมื่นนายแทนทหารเรือซึ่งแพ้อย่างราบคาบ
“ทหารอาสาล่ะ”
“ทหารจำนวนหมื่นนายกำลังลงมาขอรับ แต่เนื่องจากลงมาจากอีกฝั่งของเมืองหลวงจึงใช้เวลาอีกสิบวันขอรับ”
อย่างไรก็ตามที่โชคดีคือทหารฝ่ายศัตรูคิดว่าแทซากุกน่าจะแอบซ่อนกำลังทหารที่เยอะกว่านี้เอาไว้จึงลังเลในการไล่ตามและหยุดพักอยู่ในหัวเมือง ทว่ากว่าทหารอาสาจะมาถึงก็เหลืออีกตั้งสิบวัน หากในระหว่างนั้นฝ่ายศัตรูลองเข้าโจมตีล่ะก็คงจะแพ้อย่างราบคาบโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องเสี่ยงแล้ว
“ซอกยอกซาน”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
ซอดูเลื่อนสายตาขึ้นมามองชายคนที่อยู่ตรงหน้าตนเอง ชายเจ้าของแววตาที่เฉียบคมจนทำให้ใครบางคนนึกถึงสมัยตนเองยังเป็นหนุ่ม
“ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการด้านกลยุทธ์ พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของเดือน จงพาพลทหารที่ถูกคัดเลือกมาจำนวนห้าร้อยนายไปจุดไฟเผาเรือของข้าศึกซะ”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งของซอดูอย่างมั่นใจ เขารู้อยู่แล้วว่ากลยุทธ์นั้นมันอันตรายขนาดไหน ต้องฝ่าท้องทะเลยามค่ำคืนในวันสุดท้ายของเดือนซึ่งมืดสนิทเพื่อเข้าใกล้เรือของข้าศึกที่ติดอาวุธและจุดไฟเผาซะ ซึ่งซอดูก็รู้ความจริงนั้นดียิ่งกว่าใคร
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงส่งซอกยอกซานซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตัวเองไปยังเส้นทางที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อีกหรือไม่ รวมถึงได้ตระหนักอย่างเจ็บปวดใจว่าอำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง และพยายามที่จะไม่พูดว่าขอให้มีชีวิตรอดกลับมาออกมา
“หากเกิดไฟไหม้ขึ้นที่เรือ พวกข้าศึกก็น่าจะออกไปจากหัวเมืองเพื่อดับไฟ และในตอนนั้นก็ยิงปืนใหญ่ไปยังที่ที่พวกนั้นรวมตัวกัน”
เม็ดหมากล้อมสีดำและขาวขยับไปมาบนแผนที่หัวเมืองที่ถูกกางออก
“พวกนั้นไม่รู้ว่าเรามีปืนใหญ่ เพราะฉะนั้นคงจะไม่สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน ถ้ายิงปืนใหญ่ไปหมด…”
ซอดูเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบรรดาชายหนุ่มที่ยืนล้อมรอบตนเอง ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ว่าใครก็ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ทั้งนั้น มันคือทักษะที่จะต้องมีไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ก็ตาม เพราะพวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องอุทิศตนเพื่อปกป้องราษฎรในภาวะฉุกเฉิน ส่วนเหล่าทหารคุ้มกันที่พวกเขาและซอดูอบรมบ่มเพาะอย่างเต็มที่ก็จะต้องรับหน้าที่ที่อันตรายที่สุด
“แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ และแทรกซึมเข้าไปซะ เป้าหมายคือหัวของพวกผู้บัญชาการรวมถึงผู้นำฝ่ายข้าศึกด้วย กลุ่มหนึ่ง ซึ่งนำโดยรองแม่ทัพแทรกซึมเข้าไปเบิกทางก่อนเป็นกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มสอง ให้จุดไฟเผาบ้านเปล่าเพื่อจำกัดทัศวิสัย กลุ่มสามกับกลุ่มสี่ให้ค้นหาตำแหน่งของผู้นำฝ่ายข้าศึกและกำจัดทหารฝ่ายศัตรูที่ล้อมรอบเขาทิ้งซะ และในเวลาเดียวกันกลุ่มที่ห้าก็จงโจมตีผู้นำฝ่ายข้าศึกซะ”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”