วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 16-4
เป็นค่ำคืนที่แม้กระทั่งพระจันทร์ข้างแรมอันริบหรี่ก็ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ บรรดาทหารระดับหัวกะทิซึ่งนำโดยกยอกซานก้มตัวลงต่ำและแอบหลบซ่อนเข้าไปที่ริมชายหาด จากนั้นแต่ละคนก็ขึ้นไปบนเรือลำเล็กซึ่งเคยเป็นของชาวประมง แล้วขยับเข้าไปใกล้เรือของข้าศึกโดยที่ยังนอนคว่ำติดกับพื้นเรืออยู่ ก่อนจะไต่ขึ้นไปตามผนังเรือด้วยตัวเปล่า หลังจากเปลวไฟเริ่มลุกโชนขึ้น ปืนใหญ่ที่ยังไม่ทันได้เอาลงไปก็พังไปในทะเลเพลิงและจมดิ่งลงไปใต้ท้องมหาสมุทรอันเย็นยะเยือก
“จุดปืนใหญ่หมายเลขหนึ่ง!”
ตูม ปืนใหญ่อันแรกถูกยิงออกไปพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนทำให้เหล่าทหารที่กำลังวิ่งออกไปเพื่อดับไฟบนเรือต่างล้มกันระนาว พวกทหารฝ่ายข้าศึกซึ่งเชื่อมั่นว่าแทซากุกไม่ได้นำเข้าปืนใหญ่มาจึงได้แต่สับสนมึนงง
“หมายเลขสอง!”
เสียงตูมดังขึ้นอีกครั้ง ปืนใหญ่ถูกยิงออกไปอีกครั้งในระหว่างที่พวกทหารฝ่ายข้าศึกกำลังตื่นตกใจ ปืนใหญ่ค่อยๆ ยิงออกไปทุกทิศทางที่พวกเขาหนีไปจนสกัดทางหนีทีไล่ได้หมด และในขณะเดียวกันกับที่ปืนใหญ่กระบอกที่ห้าสิบยิงออกไปนั้นเอง เหล่าทหารคุ้มกันซึ่งนำโดยซอดูก็แทรกซึมเข้าท่ามกลางข้าศึกอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่พระราชาองค์ก่อนในอดีตสั่งให้ปราบปรามประเทศใกล้เคียงที่ชอบเข้ามารุกรานอยู่เรื่อยๆ ซอดูเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบแปดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงได้รับสมญานามว่านักดาบมือหนึ่งจากสงครามครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบแปดปีเช่นกัน พระราชาทรงดีใจอย่างมากหลังจากได้รับการรายงานพร้อมกับมอบดาบสีนิลเล่มหนึ่งจากสองเล่มซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์ให้แก่เขา ปีศาจแห่งสงครามผู้ถือดาบสีนิล ว่ากันว่าพวกข้าศึกต่างวิ่งหนีหางจุกตูดกันหมด เพียงแค่พยายามจะขวางเขา
“ปะ…ปีศาจสีดำ!”
“ปีศาจสีดำ! ปีศาจสีดำแห่งแทซากุกปรากฏตัวขึ้นแล้ว!”
ปีศาจสีดำแห่งแทซากุกซึ่ง ณ ตอนนี้เหลือไว้เพียงตำนานที่เลือนรางหลังจากเวลาผ่านไปหลายสิบปี การกลับมาอีกครั้งของเขาจึงเป็นการสร้างความหวาดกลัวที่มากกว่าปืนใหญ่ให้แก่เหล่าทหารฝ่ายศัตรู เลือดของศัตรูหยดลงมาจากปลายหนวดสีเทา ยามที่ดาบสีนิลซึ่งอำพรางอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นฟันคอศัตรูทีละคน
ส่วนเหล่าชนชั้นสูงและทหารซึ่งอาศัยช่วงอลหม่านนี้แทรกซึมเข้าไปทุกหนทุกแห่งก็กัดฟันและเหวี่ยงดาบออกไปเช่นกัน เป็นค่ำคืนที่แดงฉานด้วยเลือดแม้กระทั่งก้อนเมฆ เปลวเพลิงสีแดงซึ่งลุกโชนไปทั่วทุกที่ส่องสว่างไปยังเส้นทางนรกอย่างโหดร้าย
* * *
“ฝ่าบาท ทหารส่งสารจากท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากที่หัวหน้าทหารองครักษ์ตะโกนขึ้นด้วยความร้อนรน ทหารที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นก็วิ่งเข้ามาที่วังจานยองทันที ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าและมีสีหน้าที่สิ้นหวังเป็นอย่างมาก รยูฮาจึงเอามือไปเกาะแขนฮอนเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว หรือว่าพวกเขาเข้าใจความรู้สึกของแม่ องค์รัชทายาทที่ดิ้นกระดุกกระดิกไม่พักจนถึงเมื่อสักครู่จึงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
“ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ช่างเรื่องมารยาทไปก่อน เร็วๆ”
ทหารส่งสารนำม้วนกระดาษซึ่งกอดเอาไว้อย่างหวงแหนออกมาถวายให้ ฮอนรีบรับมันมาไล่อ่าน จากนั้นจึงเกิดรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของเขา แต่ในไม่ช้าก็กลับไปเป็นแข็งทื่อเหมือนเดิม
“…พระมเหสี”
ทำไมทรงทำสีหน้าแบบนั้นเพคะ ทำไมถึงทรงเรียกด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองเช่นนั้นเพคะ แววตาของรยูฮาสั่นไหวอย่างแรงและเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เหล่าพลทหารที่นำโดยท่านพ่อตาได้กำจัดพวกข้าศึกจนหมดสิ้นและนำพาชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาได้น่ะ”
มันเป็นการประกาศชัยชนะที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ข่าวที่รยูฮาอยากรู้จริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องนี้ เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวังได้รั้งตัวฮอนเอาไว้ แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่เขาสามารถทำให้ได้ในตอนนี้
“แล้วท่านพ่อล่ะเพคะ ท่านพี่ของหม่อมฉันล่ะเพคะ!
“พระมเหสี”
รยูฮาจึงแย่งม้วนกระดาษมาจากมือของฮอนซึ่งเบือนหน้าไปทางอื่นโดยที่ไม่สามารถพูดต่อได้ ลายมืออันคุ้นเคยเป็นของฮาแบค พี่ชายคนที่สอง ลายมือที่ดูมีความสุขอยู่เสมอนั้นฉีกหัวใจที่ถูกบีบคั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับคมมีดอันเย็นเฉียบ
[พวกทหารข้าศึกถูกกำจัดจนหมดสิ้นจากกลยุทธ์ของท่านแม่ทัพใหญ่และเหล่าทหารผู้กล้าหาญ กระหม่อมจะเตรียมพร้อมและพาตัวเชลยศึกขึ้นไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว ทหารของฝ่ายข้าศึกสูญเสียไปสามหมื่นห้าพันกว่านายจากห้าหมื่นกว่านาย ส่วนกองทัพฝ่ายเราได้สูญเสียทหารเรือจำนวนสองหมื่นนายไปทั้งหมด ทหารอาสาจำนวนสามพันกว่านายจากสองหมื่นไม่บาดเจ็บก็เสียชีวิต ท่านแม่ทัพใหญ่ ซอดูและผู้บัญชาการด้านกลยุทธ์ ซอกยอกซานหายสาบสูญไประหว่างการสู้รบ จึงถูกตัดสินว่าเสียชีวิตในสนามรบแล้วพ่ะย่ะค่ะ]
ม้วนกระดาษร่วงหลุดจากมือของรยูฮาดังตุบ ท่านพ่อผู้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร ท่านพี่คนโตซึ่งรักและหวงแหนรยูฮายิ่งกว่าใคร นี่มันคือเรื่องโกหกหรือเปล่า หรือจะเป็นความฝัน แต่ลายมือของฮาแบคซึ่งมักจะนุ่มนวลและมีน้ำหนักอยู่เสมอกลับยุ่งเหยิงเป็นอย่างมากตรงที่เขียนถึงการตายของพ่อ เหมือนกับรยูฮาในตอนนี้
“ฝ่าบาท”
ช่วยบอกหม่อมฉันทีเพคะว่าไม่ใช่ รยูฮาไม่สามารถแม้แต่จะพูดประโยคนั้นออกไปได้ เบื้องหน้าของนางกลายเป็นสีขาวก่อนจะจมไปในความมืดมนอีกครั้ง ร่างกายของนางซึ่งโอบกอดท้องโดยสัญชาตญาณทรุดลงไปในอ้อมแขนของฮอนอย่างไร้เรี่ยวแรง
มันคือชัยชนะที่มีแต่บาดแผล ถึงแม้จะได้รับเชลยศึกนับพันคนและค่าเสียหายจำนวนมากจากประเทศแพ้สงคราม รวมถึงได้ทำข้อตกลงในการส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมหาศาลทุกๆ ปีต่อจากนี้ก็ตาม เชลยศึกส่วนใหญ่ถูกนำตัวไปซ่อมแซมหัวเมืองกับเรือรบที่พังลง จึงมีเพียงแค่เชลยศึกซึ่งเป็นชนชั้นสูงบางส่วนเท่านั้นที่ขึ้นมาที่เมืองหลวง
“โปรดทรงให้ทั้งหมดไปเป็นทาสและให้ทำงานที่ยากลำบากและชั้นต่ำที่สุดด้วยเถิดเพคะ รวมถึงให้พวกมันมีชีวิตติดอยู่ในนั้นไปจนชั่วชีวิต”
นั่นคือคำตอบของรยูฮาในตอนที่ฮอนตัดสินโทษของพวกเชลยศึก ฮอนรับฟังคำขอของนางโดยที่ไม่พูดอะไร เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของเหล่าราษฎรที่ส่งไปยังวีรบุรุษสงครามผู้กล้าหาญดังลั่นมาจนถึงพระราชวัง แต่มันไม่มีความหมายอะไรเลยต่อรยูฮา เนื่องจากหาร่างของพวกเขาไม่พบจึงไม่สามารถจัดได้แม้กระทั่งงานศพ เรือนของท่านมหาเสนาบดีซึ่งมีพลทหารเฝ้าระวังอยู่อย่างแน่นหนาถูกปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจเสียยิ่งกว่างานศพ
“พระมเหสี พระชายาทรงพาองค์ชายมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“บอกให้เข้ามา”
รยูฮาที่นั่งเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าอันว่างเปล่าอยู่เมื่อครู่มองดูมินอาและคังซึ่งถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของนางก่อนจะส่งยิ้มให้เบาๆ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเศร้าเหมือนกัน แต่มินอาก็ยังพาคังเข้าวังมาเพื่อปลอบใจรยูฮาวันละครั้ง ซึ่งมันก็ผ่านไปได้หนึ่งเดือนแล้ว
“มานี่มาคัง”
“หนักนะเพคะ พระมเหสี”
“ไม่เป็นไร เจ้าหนูน่ารัก มาหาป้ามา”
คังยิ้มพลางแกว่งมือที่เหมือนกับใบต้นเมเปิลไปมาราวกับจำรยูฮาที่เอ็นดูตัวเองได้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาททั้งสองที่สงบเสงี่ยมทั้งวันก็อารมณ์ดีขึ้นเพราะเสียงนั้นเช่นกัน เพราะจู่ๆ ก็ดิ้นไปดิ้นมาอย่างวุ่นวาย
“อ่า เจ็บจัง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดีใจที่ได้เจอลูกพี่ลูกน้องนะ”
“ทรงเหมือนกับพระมารดาเลยนะเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าในตอนที่พระมเหสีทรงอยู่ในครรภ์ก็ดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้จนท่านแม่ลำบากเป็นอย่างมากเลยเพคะ”
“ข้าหรือ? จำไม่เห็นได้เลย ใครเป็นคนบอก”
มินอาขำพรืดออกมาพร้อมกับรับคังมาอุ้มเหมือนเดิม
“ท่านพ่อเพคะ ในตอนที่องค์ชายถีบอย่างแรงจนหม่อมฉันบ่นออกมาว่าเจ็บ ท่านพ่อได้บอกว่าท่านแม่ลำบากยิ่งกว่านี้เป็นเท่าตัว อย่างองค์ชายถือว่าเรียบร้อยทีเดียวเพคะ”
หลังจากผ่านการจากลามาครั้งหนึ่ง มินอาจึงมีความเด็ดเดี่ยวกว่ารยูฮาเล็กน้อย เพราะรู้เป็นอย่างดีว่าเราไม่สามารถหลีกหนีความจริงและจมอยู่กับความเศร้าไปได้ตลอด แต่รยูฮาก็ยังรับความจริงและความทรงจำเกี่ยวกับท่านพ่อที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่ได้
“ยังไม่ทันได้บอกให้กลับมาโดยปลอดภัยเลย”
รยูฮาลูบท้องพลางกล่อมลูกทั้งสองสักพัก แล้วจึงพูดอย่างแผ่วเบา
“นั่นคงจะเป็นความอกตัญญูครั้งสุดท้ายของข้าสินะ สุดท้ายข้าก็เป็นน้องสาวที่ไม่ได้เรื่องเลยสินะ”
หลังจากที่นางพูดจบ ฝนไล่ช้างก็เริ่มตกซู่ลงมาเสียงดังลั่นทันทีราวกับนัดกันไว้
“ฝนจะตก…นานไหมนะ”