วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 16-5
หากในฤดูร้อนฝนตกลงมาไม่เพียงพอ ผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะตกต่ำ อย่างไรก็ตามในฐานะมเหสีแล้ว นางไม่ควรปรารถนาให้ฝนตกลงมาน้อยเพื่อให้ได้ค้นพบศพได้อย่างง่ายดาย แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้นางเป็นเพียงแค่ลูกที่สูญเสียท่านพ่อและน้องสาวที่สูญเสียพี่ชายไปเท่านั้น รยูฮารู้สึกเกลียดท้องฟ้าที่มีฝนโปรยปรายลงมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ รวมถึงเกลียดตัวเองที่ไม่ได้บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะซบใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง
“พระมเหสี พระราชาเสด็จเพคะ”
“อืม”
ฮอนเข้ามาข้างในพร้อมกับถือของบางอย่างที่ยาวพอสมควรในมือ เมื่อสิ่งที่ถูกม้วนอย่างหนาอยู่ในผ้าไหมสีขาวดึงดูดสายตาไป รยูฮาจึงไม่ทันได้มองสีหน้าของฮอนที่หม่นหมอง
“ฝ่าบาท นี่มัน…”
“มันถูกฝังอยู่ในทรายตรงริมหาด และโผล่ขึ้นมาเพราะฝนที่ตกหนักนี้น่ะ”
มินอาหลับตาและหันหน้าไปทางอื่น แล้วจึงสวมกอดคังไว้แน่น คังที่หายใจไม่ออกเพราะนางทำเช่นนั้นจึงร้องไห้ออกมาทำลายความเงียบภายในห้อง แม้เสียงร้องไห้ของคังจะดังไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงร้องไห้คร่ำครวญเพราะใจสลายได้ รยูฮาดึงดาบสีนิลซึ่งไม่กล้าแกะออกเข้ามากอดราวกับเกาะแขนของท่านพ่อซึ่งมั่นคงและแข็งแรงเสมอพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายเป็นเวลานาน
* * *
แม้จะโศกเศร้าเสียใจแต่เวลาก็ยังคงดำเนินไป ซานชิลชอง[1]ถูกก่อตั้งขึ้นท่ามกลางฤดูฝนอันแสนยาวนานเป็นพิเศษ หลังจากเรือนหลังหนึ่งที่ว่างเปล่าของวังจานยองถูกตกแต่งให้เป็นห้องคลอดจึงทำให้รู้สึกว่ากำหนดคลอดจวนจะใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้ท้องของนางป่องออกมาจนหายใจลำบาก รยูฮาจึงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนยกเว้นเสียแต่ไปเดินเล่นในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน แน่นอนว่าคำแนะนำของหมอหลวงที่บอกว่าทรงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นลูกแฝดก็มีส่วนเช่นกัน ทว่าในวันนั้นรยูฮารู้สึกคิดถึงบ้านเป็นพิเศษ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ”
มันเป็นช่วงเวลายามเย็นที่พระอาทิตย์ซึ่งลุกโชนราวกับจะแผดเผาทุกอย่างลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับสายลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามา แต่แล้วจู่ๆ รยูฮาที่นอนหนุนตักของฮอนก็พึมพำขึ้นมา
“ว่ามาสิ”
“หม่อมฉันอยากกลับไปที่บ้านครู่หนึ่งเพคะ”
แม้ว่าฮอนจะรับฟังทุกคำขอของรยูฮา แต่การที่เขาลังเลไปสักพักหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ตำหนิไม่ได้ เพราะกำหนดคลอดใกล้เข้ามาจนไม่แปลกที่เด็กจะออกมาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาไม่มีคำตอบ รยูฮาจึงแหงนมองพระพักตร์ราวกับเร่งให้ตอบ
“ฝ่าบาท”
“เฮ้อ”
แค่สักครู่เดียวก็คงจะไม่เป็นไร แม้ว่าฮอนจะไม่ยินดีนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากพยักหน้า
“ให้หมอหลวงและหมอหญิงติดตามไปด้วย ข้าจะสั่งให้เตรียมพร้อมแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้”
“ไปค้างประมาณสามวันได้ไหมเพคะ”
“เอาสิ เดี๋ยวข้าจะบอกเสด็จย่าเอง”
รยูฮาจับมือเขาและเอาไปถูกับใบหน้าแทนคำขอบคุณ บ้านหลังนั้นเป็นของตระกูลซอตั้งแต่ก่อนที่รยูฮาจะเกิดเสียอีก ที่แห่งนั้นทั้งแข็งแรงและไม่ซับซ้อนวุ่นวายเหมือนกับท่านพ่อ อีกทั้งยังมีโอ้โถงและสะอาดสะอ้านอีกด้วย สาเหตุที่จู่ๆ ก็ทำให้นางคิดถึงที่นั่นจนร้องไห้คืออะไรกัน
รยูฮาหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน ก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับพระจันทร์ในตอนเช้ามืดแล้วรีบเตรียมตัว เนื่องจากมีผู้ติดตามตั้งแต่ซังกุง หมอหลวง หมอหญิงและทหารองครักษ์อีกยี่สิบกว่าคนจึงเป็นขบวนที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น แม้จะไม่ชอบการส่งเสียงดังวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่จะทำอย่างไรได้ นางต้องออกไปแบบนี้ฮอนถึงจะสบายใจ
“เดินทางปลอดภัยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งสารมา แล้วข้าจะรีบไปหาในทันที”
ฮอนยังคงไม่หายกังวล เขาดึงรยูฮาเข้ามากอดและกระซิบกระซาบ และไม่ลืมที่จะใช้มือลูบท้องอย่างระมัดระวังราวกับสัมผัสกับเด็กน้อยและบอกลาองค์รัชทายาท
“พ่อไม่อยู่ก็อย่าก่อเรื่องและทำตัวเรียบร้อยหน่อย เข้าใจหรือไม่”
ตอบกลับมาว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรือเปล่านะ ฮอนยิ้มออกมาเมื่อลูกในท้องคนหนึ่งกระดุกกระดิก เขาระดมจูบบนท้องโดยไม่สนใจว่าพวกข้าราชบริพารจะมองอยู่หรือไม่ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นและหอมแก้มรยูฮาอีกครั้งหนึ่ง
“ข้ารักเจ้านะรยูฮา”
“หม่อมฉันเองก็เช่นกันเพคะ”
จะมีอะไรที่พิเศษไปกว่านี้อีกหรือไม่ รยูฮายิ้มร่าพร้อมกับปรับอารมณ์ให้เข้ากันเขา หลังจากการบอกลาอันยาวนานสิ้นสุดลง รถม้าก็วิ่งฝ่าอากาศในตอนเช้าอันแสนสดชื่นตรงไปยังบ้านของนาง
“ทรงตัวหนักขนาดนี้แล้วเสด็จมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ ทรงทำให้แม่คนนี้แทบบ้านะเพคะ!”
นายหญิงตระกูลจองที่ซีดเซียวจนสะดุดตาต้อนรับนางพร้อมกับบ่นไปเรื่อย แม้ว่าปกติแล้วนางจะไม่ใช่คนที่ชอบบ่นก็ตาม รยูฮารู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปในขณะที่นางเติบโตพร้อมกับกำมือของท่านแม่เอาไว้แน่น
“ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่”
“ทรงไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกเพคะ”
“ที่มาจนถึงที่นี่ ก็เพื่อที่จะขอโทษที่เคยถีบท้องอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ”
ประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มที่มีความคิดถึงปะปนไปกับความเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนายหญิงตระกูลจองผู้แข็งแกร่ง
“ทรงได้ยินมาจากใต้เท้าหรือเพคะ”
“ได้ยินมาจากมินอาเพคะ มินอาบอกว่าได้ยินมาจากท่านพ่อ โอ๊ย”
ความเจ็บปวดซึ่งรู้สึกขึ้นอย่างกะทันหันทำให้รยูฮาขมวดคิ้ว
“แต่ดูเหมือนว่ารัชทายาททั้งสองก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันเพคะ ได้ยินมาว่าถึงเวลาคลอดจะสงบลงนิด…โอ๊ย”
“เสด็จเข้าด้านในเถิดเพคะพระมเหสี เดี๋ยวหม่อมฉันจะนำชามาถวายให้”
นายหญิงตระกูลจองมองดูแผ่นหลังของมินอาที่ประคองรยูฮาไปยังที่พักก่อนจะกลับหลังหัน เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะคิดถึงบ้านของพ่อแม่เมื่อตั้งครรภ์ แม้ว่านางจะไม่สามารถจัดเตรียมสำรับอาหารได้เพราะไม่มีฝีมือ แต่ก็คิดว่าจะจัดเตรียมโต๊ะน้ำชาด้วยตัวเอง
ในขณะที่ตั้งท้องกยอกซานซึ่งเป็นลูกคนแรก นางไม่สามารถโผล่หน้าไปแถวๆ บ้านพ่อกับแม่ได้เนื่องจากเป็นลูกสาวนอกสมรส ในสมัยนั้นตัวนางเองร้องไห้หนักขนาดไหนกันนะ ส่วนคนรักของนางซึ่งเป็นนักรบวัยหนุ่มก็ลูบท้องของนางและไม่ยอมหลับยอมนอนทั้งคืนด้วยกันหลายวันเช่นกัน สุดท้ายนายหญิงตระกูลจองก็ไม่สามารถเข้าไปในครัวได้และทรุดนั่งยองๆ ลงตรงหน้านั้นราวกับใจสลาย
“ฮึก… ฮึก ใต้เท้า ใต้เท้า”
ชายที่ยุ่งอยู่เสมอคนนั้นทั้งนำอาหารที่ภรรยา ตามหาทุกอย่างมาให้ ทั้งจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเสาะหาวัตถุดิบที่ดีต่อการแพ้ท้องและเข้าๆ ออกๆ ห้องครัวอยู่บ่อยๆ นายหญิงตระกูลจองไม่กล้าเข้าไปในห้องครัวและกลั้นหายใจเรียกสามีของนางไปร้องไห้ไป นางเรียกหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าจะได้ยินคำตอบนั้น
“ใต้เท้า ท่านต้องกลับมาสิ ใต้เท้า…”
‘ข้าไม่กลับมาแล้วล่ะ ฮูหยิน’
เสียงที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยพูดตอบ นายหญิงตระกูลจองจึงลุกพรวดขึ้นและมองไปรอบๆ คงจะหูแว่วไปเอง เพราะทั้งทาสจำนวนมากและสาวใช้ที่ทำงานอยู่ในครัวต่างก็ไม่มีใครรู้สึกว่ามีคนมา น่าจะเป็นเช่นนั้น นายหญิงตระกูลจองยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในประตูอย่างเชื่องช้า แต่ในขณะนั้นเอง
“แย่แล้ว นายหญิง!”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นมาจากตรงประตูหน้าบ้านและทะลุเข้ามาถึงห้องครัวที่อยู่ในหลืบ
“นายหญิง นายหญิง! อยู่ไหมเจ้าคะ นายหญิง! แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
ทำไมถึงได้ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้ พระมเหสีที่ทรงตั้งครรภ์มาประทับที่นี่ไม่ใช่หรือ นายหญิงตระกูลจองอยากตะโกนใส่พวกคนรับใช้แบบนั้นแต่ไม่สามารถทำได้ สาวใช้ที่ไม่อยู่ในห้องครัวรีบวิ่งมาอย่างลนลานก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญแทบเท้าของนายหญิงตระกูลจองซึ่งยืนนิ่งอยู่
“นายหญิง นายหญิง…นายท่านมาแล้วเจ้าค่ะ มาด้วยกันกับคุณชายใหญ่ นายหญิง ฮึก…”
มีใครจับตัวนางให้ขยับหรือเปล่านะ นายหญิงตระกูลจองเดินโซเซตรงไปยังประตูหน้าบ้านด้วยขาที่ไม่ได้เคลื่อนไหวตามที่นางต้องการ มีบางอย่างซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีขาววางอยู่ตรงสวนหน้าบ้าน สองอัน ไม่ใช่สิ สองคนที่เคยหวังให้กลับมาและที่เคยหวังว่าจะไม่กลับมาด้วยสภาพแบบนี้
“อย่ามองเลยขอรับ มันน่าจะดีกว่าขอรับ”
[1] ซานชิลชอง หน่วยงานชั่วคราวในสมัยเกาหลีโบราณซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเวลาพระมเหสีหรือพระสนมจะให้กำเนิดโอรสหรือธิดาของกษัตริย์