วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 16-6
เหล่าทหารที่แบกแคร่มาเอ่ยห้ามนายหญิงตระกูลจอง แต่นางไม่สนใจและทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างช้าๆ ดวงตาที่พร่ามัวไม่สามารถมองศพทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนได้ ลูกชายและสามีของนางซึ่งเป็นสองคนที่นางสามารถมอบชีวิตทั้งหมดให้ได้ นางควรที่จะจดจำภาพสุดท้ายนี้เอาไว้ แต่ไม่รู้ทำไมดวงตาถึงได้มองไม่เห็นแบบนี้ ดวงตาที่ถูกขยี้ด้วยแขนเสื้อจึงเริ่มกลายเป็นสีแดง
“ใต้เท้า ใต้เท้าหรือเจ้าคะ…?”
ความรู้สึกที่สัมผัสได้ตรงปลายนิ้วซึ่งซีดเซียวพอๆ กันกับใบหน้าของนางนั้นไม่คุ้นชินเอาเสียเลย เมื่อนายหญิงตระกูลจองค่อยๆ เปิดผ้าสีขาวออกอย่างข้าๆ เสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้จึงดังขึ้นพร้อมกันโดยรอบทิศทาง
“ไม่น่าเลย นายท่าน!”
“ใต้เท้า!”
นายหญิงตระกูลจองลุกพรวดขึ้นมานั่ง ด้วยเหตุนั้นเอง ผ้าห่มผืนบางที่คลุมจนถึงหน้าอกจึงหล่นลงมาบนขา นี่เราร้องไห้หนักขนาดไหนกัน หมอนที่เป็นสีขาวถึงได้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและมีรอยเปื้อนเต็มไปหมด
“เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่”
มินอาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองด้วยความเป็นห่วง แต่ขนตาของนางก็ยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ยังไม่แห้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“จู่ๆท่านแม่ก็หมดสติอยู่ที่หน้าห้องครัวเจ้าค่ะ”
“แล้วกยอกซานล่ะ… ใต้เท้าล่ะ?”
“ท่านแม่คงฝันไปเจ้าค่ะ”
มินอาถือแก้วน้ำขึ้นมาแตะตรงริมฝีปากของนายหญิงตระกูลจอง แม้จะเป็นน้ำเย็นเหมือนกับเพิ่งตักมาจากบ่อน้ำใหม่ๆ แต่นางกลับไม่รู้สึกสดชื่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อวางแก้วลงบนโต๊ะเสียงตะโกนลั่นจากด้านนอกก็ดังขึ้น
“ตายจริง นายท่าน!”
เสียงที่เคยได้ยินในความฝันนั้นทะลุกระดาษกรุประตูเข้ามา
“มินอา ข้างนอก…”
นายหญิงตระกูลจองพูดอย่างตะกุกตะกักในขณะที่กำลังลุกขึ้น ท่านบอกในฝันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะกลับมา ใต้เท้า จากนั้นน้ำตาที่หยุดลงได้สักพักก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งราวกับสายฝน นางยื่นมือออกไปยังประตูที่มองเห็นเลือนราง แต่ยังไม่ทันได้เอามือไปแตะประตู ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกเสียก่อน พร้อมกับมีชายคนหนึ่งเข้ามาข้างใน
“ฮูหยิน”
ชายคนนั้นดึงนายหญิงตระกูลจองเข้าไปกอดโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดอะไร หนวดที่หยาบกระด้างระต้นคอของนาง ถ้าเป็นความฝันอีกจะทำอย่างไร นายหญิงตระกูลจองกังวลเรื่องนั้นเป็นอย่างแรกสุด ได้โปรด หากนี่คือความฝันก็ขอให้ไม่ตื่นขึ้นมาอีก
“ฮูหยิน ข้ากลับมาแล้ว”
“ท่านแม่!”
ชายอีกคนที่ตามเข้ามาก็โอบกอดนายหญิงตระกูลจองเช่นกัน นางสัมผัสได้ถึงความร้อนในร่างกายของทั้งสอง กลิ่นตัวที่ผสมกับกลิ่นเหงื่อและการสั่นสะเทือนของเสียง ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงเข้าใจเลยว่าทำไมในความฝันก่อนหน้านี้ นางไม่ได้กลิ่นศพที่เน่าเปื่อยเลย เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ความฝัน น้ำตาจะไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความโศกเศร้า
“กยอกซาน ใต้เท้า!”
* * *
กี่ชีวิตแล้วที่ต้องสูญสิ้นไปด้วยปลายดาบสีนิลอันหนักอึ้ง ซอดูฟันคอศัตรูแล้วแทงไปที่หัวใจทันทีที่ศัตรูใกล้เข้ามา พวกศัตรูที่เห็นเขาแล้วหลบหนีก็ถูกฟันไม่ยั้งเช่นกัน เร็วหน่อย ขอร้องล่ะ เร็วเข้า ดูจากเปลวเพลิงกำลังลุกโชนรอบทิศทาง ตอนนี้กลุ่มสองคงจะแทรกซึมได้สำเร็จแล้ว จากนั้นกลุ่มสามจึงแทรกซึมลึกเข้าไปในเส้นทางที่เหล่าทหารคุ้มกันรวมถึงเขาเป็นคนสร้างด้วยเลือด ถึงแม้ซอดูจะเป็นปีศาจสงครามซึ่งถูกเลือดสาดเข้าใส่ท่ามกลางนรก แต่เขาก็เป็นพ่อคนเช่นกัน
“อ๊ากกก!”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นจากด้านใน ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นสูงท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนเป็นสีแดงฉาน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นหัวของผู้นำฝ่ายข้าศึกที่ติดอยู่ที่ปลายดาบ ทหารฝ่ายข้าศึกจึงลดอาวุธลงแล้วคุกเข่ารอบทิศทาง แต่แทนที่จะร่วมฉลองชัยชนะ ซอดูกลับวิ่งตรงไปยังชายหาดแทน
“กยอกซาน กยอกซาน!”
ลมทะเลที่พัดแรงจัดพัดพาเอาเขม่าควันของเรือข้าศึกที่ยังคงลุกไหม้อยู่ปกคลุมไปทั่วชายหาดที่เต็มไปด้วยศพและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ พวกที่ยังมีชีวิตอยู่เทียวไปเทียวมาอย่างขยันขันแข็งเพื่อพาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปรวมตัวกันในที่เดียว แต่หนึ่งในนั้นไม่มีลูกชายของเขา
“ท่านแม่ทัพ!”
ทหารที่จำเขาได้รีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ
“ซอกยอกซานเป็นอย่างไรบ้าง!”
“หลังจากสังหารทหารที่คอยคุ้มกันเรือของข้าศึกแล้ววางเพลิง แต่ผู้บัญชาการยังไม่ทันได้ออกมาไฟก็เกิดลุกไหม้ขึ้นแล้วขอรับ ข้ามั่นใจว่าเห็นเขาโดดลงไปในทะเลแล้วแน่ๆ แต่ก็ยัง…”
การที่เขากัดริมฝีปากและแผ่วเสียงลงก็ชัดเจนมากแล้ว อย่างไรก็ตามพ่อที่ผลักลูกเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายจะรู้สึกเสียดายต่อชีวิตของตนเองได้อย่างไร
“ฝั่งไหน”
“ฝั่งนี้ขอรับแต่ว่า… ท่านแม่ทัพ! ไม่ได้นะขอรับ!”
แม้ทหารจะห้ามปรามไว้ แต่ซอดูก็วิ่งตรงไปยังทะเลซึ่งยังคงลุกไหม้พร้อมกับขว้างดาบสีนิลทิ้งไป ในขณะที่เสื้อเกราะซึ่งถูกโยนทิ้งไปเป็นอย่างสุดท้ายทำให้เกิดระลอกคลื่นบนน้ำตื้น ตัวเขาเองก็จมดิ่งลงไปบนท้องทะเลอันเย็นยะเยือก
หากหัวเมืองที่ถูกเผาไหม้คือเมืองนรก ทะเลก็คือทะเลนรก เกิดละอองน้ำกระจายทุกครั้งที่ชิ้นไม้ร่วงตกลงมาอย่างรุนแรงท่ามกลางศพที่ลอยไปลอยมา ซอดูอาศัยแสงไฟนั้นค้นหาใบหน้าของคนที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเล หากสามารถงมศพขึ้นมาได้ ในฐานะพ่อเขาก็จะภูมิใจในตัวลูกชายที่จากไปเสียก่อน
สายลมนั้นจะพัดขึ้นไปถึงท้องฟ้าหรือไม่นะ หลังจากตรวจดูใบหน้าของทหารที่หมดสติอยู่บนแผ่นไม้ ซอดูก็ลากมันแล้วเริ่มว่ายเข้าฝั่งโดยไม่รีรอ แต่ว่ามันคือกระแสน้ำวน ดังนั้นไม่ว่าจะว่ายไปเท่าไหร่ ชายหาดก็มีแต่จะห่างไกลออกไปขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นซอดูก็หมดสติโดยที่ยังจับลูกชายไว้แน่น
“…ขอรับ”
“แค่ก”
เสียงที่คล้ายกับความฝันปลุกให้ซอดูตื่นขึ้น เขาหันไปมองข้างๆ และหลับตาลงหลังจากรู้สึกว่ามือของตัวเองยังจับลูกชายไว้อยู่แม้ว่าสติจะเลือนรางก็ตาม และลืมตาอีกครั้งบนเตียงนอนที่ดูเก่าแต่สะอาดสะอ้าน
“โอ๊ะ ฟื้นแล้ว!”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเบิกตาโพลงแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันทีที่ซอดูลืมตาขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามยันตัวขึ้นโดยไม่สนใจกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายที่คล้ายกับกำลังกรีดร้องอยู่
“อยู่เฉยๆ ขอรับ ตอนนี้น่าจะยังขยับตัวได้ลำบากขอรับ”
ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงจะไปพาชายชราคนนี้มา ชายชราคนนั้นเช็ดมือกับขอบกางเกงเก่าๆ จากนั้นจึงห้ามเขาไว้พร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้
“ลูกชายของข้าอยู่ที่ไหน”
ซอดูรีบถามก่อนที่จะดื่มน้ำดับกระหาย ชายชราจึงหัวเราะออกมา
“ก็ว่าทำไมถึงได้หน้าตาคล้ายกัน ลูกชายนี่เองสินะ เขายังมีลมหายใจอยู่ เพราะฉะนั้นดื่มก่อนเถอะขอรับ”
หลังจากดื่มน้ำหมดรวดเดียว เขาก็เก็บผ้าห่มและลงมาจากเตียงทันที ทำให้ชายชราตกตะลึงจนพูดไม่ออก พร้อมกับพึมพำว่ารู้อยู่แล้วว่าเป็นนักรบ แต่ก็ช่างน่าทึ่งเสียจริง
“อยู่ห้องข้างๆ ขอรับ”
พอเข้าไปในห้องข้างๆ ซอดูก็เอานิ้วจ่อตรงใต้จมูกของกยอกซานซึ่งนอนอยู่และมีใบหน้าอันซีดเซียวเหมือนกับตายแล้วทันที ลมหายใจที่เบาบางทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
“กยอกซาน กยอกซาน”
“ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะขอรับ เพราะว่าชีพจรมั่นคง อีกไม่กี่วันก็คงจะฟื้นขอรับ”
ในตอนนั้นเองซอดูซึ่งเริ่มหมดแรงนั่งลงบนขอบเตียง
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“ทางฝั่งท่านบอกก่อนน่าจะดีกว่าไหมขอรับ”
สายตาอันแหลมคมมองชายชราตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของนักรบเพื่อที่จะคัดแยกบุคคลอันตราย พอตรวจไม่เจอความมีพิษมีภัยจากเขา ซอดูจึงพูดออกมาอย่างนอบน้อม
“ข้าซอดู มหาเสนาบดีแห่งแทซากุก ส่วนนั่นคือลูกชายของข้า ซอกยอกซาน”