วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-1
ตอนที่ 5-1
รยูฮาติดตามร่องรอยของโฮจินตั้งแต่ตอนสายจนถึงบ่ายแก่ ที่เหลืออีกสามคนก็เช่นเดียวกัน แล้วทั้งสี่คนที่ซึ่งแต่ละคนได้ข้อมูลกระจัดกระจายกันออกไปก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ณ ที่แห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ
“วัตถุดิบจำพวกหนึ่งที่ใช้ทำยาหายไปจากห้องยาเพคะ มั่นใจมากว่าเป็นของที่แค่คนชั้นสูงเท่านั้นที่มี โดยเฉพาะส่วนใบงาขี้ม่อนก็หายไปอยู่เรื่อย สิ่งนี้ใช้ลดไข้ ทำให้รู้สึกสบายใจและจิตใจสงบลงเพคะ ดูจากยาสมุนไพรที่ใช้กับบาดแผลไม่ได้หายไป แสดงว่าน่าจะไม่มีคนบาดเจ็บ โรงหมอที่เสียหายมากที่สุดคือที่นี่เพคะ”
มินอารายงานหลังจากเข้าไปสำรวจห้องยาที่มีขโมยเข้าไป บนแผนที่ซึ่งหญิงสาวยื่นออกมาแสดงตำแหน่งของห้องยาที่อยู่ใต้เชิงเขา ยาสมุนไพรที่ช่วยลดไข้และทำให้จิตใจสงบลง ตรงนี้เองทำให้รยูฮานึกถึงคำพูดของฮอนที่บอกว่าร่างกายอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ฮาแบค ท่านพี่คนที่สองของรยูฮามีทั้งยาสมุนไพรและยาพิษ เขามีพรสวรรค์เหนือกว่าพวกหมอเสียอีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโฮจินเป็นพิเศษ เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่โฮจินผู้ซึ่งร่ำเรียนเกี่ยวกับยาสมุนไพรจะเลือกเอาแต่ยาชั้นสูงไป
“เหล่าทหารที่ติดตามร่องรอยของโจรไปบอกว่าไม่ใช่การกระทำของคนคนเดียว ร่องรอยแยกกันออกไปหลายทาง พอลองติดตามไปดูร่องรอยก็ขาดหายไปทำให้ตามหาต่อไม่ได้”
จากคำพูดของฮอนทำให้มั่นใจได้ว่าโจรที่ตอนนี้พวกเขากำลังตามหากันอยู่คือโฮจิน การลอบสังหาร การคุ้มกันและซ่อนตัวล้วนเป็นความถนัดของโฮจิน คนเก่งกาจที่สามารถหลบเลี่ยงการตามล่าขนาดนี้ได้มีไม่มาก
“ราวๆ เช้ามืดเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากทางบนเขา แต่พอไปถึงที่นั้นก็พบเพียงแค่กองไฟไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามหาคนก่อไม่เจอเลยพ่ะย่ะค่ะ”
และข้อมูลสุดท้ายที่มาจากชานทำให้รยูฮาตกอยู่ในอาการไม่พอใจ
“ดูท่าไม่ดีเลยเพคะ สองคนนั้นซ่อนตัวอยู่แถวนี้ไม่ผิดแน่เพคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าตอนนี้อาจจะเดินทางออกจากที่นี่ไปแล้วด้วยเพคะ”
“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น”
“ไฟนี้ก่อไว้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเพคะ แล้วอาศัยช่องว่างช่วงที่เราออกค้นหาหนีออกไปจากจุดที่เป็นอันตราย ทางเราเองถ้าเคลื่อนไหวให้เร็วก็น่าจะเป็นการดีที่สุด แต่ว่าวันนี้อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วเรื่องย้ายที่คงเป็นงานหนัก หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคืนนี้จะเป็นเช่นไร เอาเป็นว่านอนเฝ้าตรงปากทางขึ้นเขาที่ห้องยาตั้งอยู่เถอะเพคะ เฮ้อ”
พูดจบรยูฮาก็ถอนหายใจยาวอย่างอึดอัดแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เมื่อตอนกลางวันรยูฮาขึ้นไปบนเขา แต่ก็ไม่พบที่ซ่อนตัวของโฮจิน
ฮอนลูบแผ่นหลังไร้เรี่ยวแรงนั้นแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ตาม
“ไปห้องบรรทมกันเถอะ ข้าจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้เจ้าเอง”
“เช่นนั้นหรือเพคะ”
พอนึกถึงการนวดอันแสนสบาย สีหน้าของของรยูฮาก็สดใสขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับตัวออกจากโต๊ะเพื่อบิดขี้เกียจ และตอนนั้นเองพอสบสายตากับชานที่ทำหน้าบูดบึ้ง รยูฮาตั้งใจจะพูดออกไปว่า ‘สีหน้าองค์ชายดูรำคาญมากเลยเพคะ’ แต่ด้วยความที่ไม่อยากทะเลาะจึงเปลี่ยนเป็นคำถามแทน
“องค์ชายทำไมทำหน้าเช่นนั้นเล่าเพคะ”
ตอนนี้ชานกำลังทำให้ใจเย็นลงอยู่ ต่อให้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ชวนกันเข้าห้องตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้มันก็อย่างไรอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นความไม่สบายใจก็ทำให้ในใจของเขาเดือดปุดๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมสีหน้าที่บูดเบี้ยวขึ้นทุกเวลาทุกนาทีได้
“กระหม่อมก็แค่เหนื่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องไปขานชื่อทหารแล้ว ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชานก้มหัวเพื่อกล่าวลาแล้วปิดประตูหายไปทั้งอย่างนั้น รยูฮาซึ่งเฝ้ามองเขาส่งสายตาราวกับสงสัยไปทางฮอน นางรู้สึกว่าสองพี่น้องทำท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว
“มีเรื่องอะไรกันหรือเพคะ”
“พระชายาพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
ฮอนทำตัวมีเลศนัยเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วขยับตัวลุก รยูฮาเลิกสนใจความสัมพันธ์ของสองพี่น้องแล้วลุกขึ้นตาม นางฟังสองพี่น้องโต้เถียงกันมาทั้งวันแล้ว การฝากร่างกายอันแสนเหนื่อยล้าเพราะเดินขึ้นเขาไว้กับสัมผัสของฮอนจึงเป็นเรื่องสำคัญกว่า
มินอาผู้ที่ออกจากห้องมาเป็นคนสุดท้ายยิ้มเจื่อน แต่เพราะนางหมุนตัวหายไปจึงไม่มีใครได้เห็นสีหน้านั้น
หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและเสียงกลองห้ามสัญจรไปมาดังขึ้น
สองเงาหายไปทางด้านหลังจวนเจ้าเมือง พอสองเงานั้นหายไปในความมืด เหล่าเงาอื่นๆ ก็ซ่อนตัวอยู่ภายในตรอกเล็กๆ
“องค์ชาย”
มินอาเดินตามเข้าไปในตรอกเล็กๆ แล้วเอ่ยกับชานเบาๆ หลังจากที่หญิงสาวบีบคอเขาแล้วถามว่าเป็นใครในวังร้างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยปากกับเขาก่อน ชานสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ตอบกลับไปอย่างเงียบๆ
“ว่ามา”
“มันย่อมมีสิ่งที่ไม่เป็นไปดังใจเรา แต่หากเผยท่าทีเช่นนี้ไม่นานพระชายาก็คงดูออกนะเพคะ”
ที่มินอาพูดมานั้นถูกต้องที่สุด เขานึกขอบคุณที่สามารถปิดบังดวงตาอันสั่นสะท้านราวกับเกิดแผ่นดินไหวไว้ได้ อาจจะเพราะไม่ใช่เรื่องที่จะมาพยักหน้าตามได้ ชานจึงไม่ยอมมองไปทางมินอาแล้วตอบกลับไปอย่างสงบ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”
“เรื่องที่หม่อมฉันจะทูลมีเพียงเท่านี้เพคะ”
มินอาไม่พูดต่อแล้วเม้มปากไว้แน่น พอย้ายตำแหน่งและหลบไปทางนั้นทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงเหล่าทหารที่เดินตรวจตราภายใต้ความเงียบอันน่าอึดอัด นางก็มาถึงตรงปากทางขึ้นเขาที่นัดแนะกันไว้โดยไม่ทันได้รู้ตัว
“หม่อมฉันกับมินอาจะเฝ้าอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทกับองค์ชายเดินสำรวจสักรอบแล้วค่อยกลับมานะเพคะ”
รยูฮาปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนสักแห่งพร้อมกับกระซิบเสียงเบาแล้วดึงมินอาเข้ามาหาตัว ตอนนั้นเองดวงจันทร์ที่ถูกก้อนเมฆบดบังก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกมา เผยให้เห็นภาพของรยูฮาใต้แสงจันทร์เลือนราง ชานจ้องมองไปทางหญิงสาวราวกับไม่สามารถละสายตาได้ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
‘ชุดเครื่องแบบเข้ากับพระชายามากที่สุดเพคะ องค์รัชทายาทน่าจะตกหลุมรักนะเพคะ’
เป็นเช่นนั้นตามคำของมินอาเมื่อเช้า ชุดเครื่องแบบสีดำถูกสวมใส่พอดีตัวเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว ซึ่งปกติแล้วจะสวมทับหลายชั้นและเผยให้เห็นทรวดทรง ยิ่งไปกว่านั้นสายตาที่ถูกส่งออกมาเหนือหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าช่างเฉียบคมเหมือนจะทะลุเข้าไปในหัวใจ แม้แต่ใบหูเล็กๆ ใต้ผมที่ถูกรวบขึ้นนั้นก็ดูมีอะไรที่ทำให้ผู้เป็นสวามีหวั่นไหวได้
“ไปกันเถอะ เสด็จพี่”
แน่นอนว่าฮอนไม่สบายใจกับสายตาของชานจึงคว้าแขนอีกฝ่ายลากไป เป็นครั้งแรกที่เอ่ยปากพูดด้วยหลังจากเรื่องเมื่อคืน แต่พอไม่มีคำตอบกลับมาบทสนทนาจึงไม่ได้ดำเนินต่อไป
“เจ้าพวกบ้านั่น ไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยหรือ”
“พี่น้องกันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละเพคะ”
มินอาตอบคำถามรยูฮาที่มองสองพี่น้องเดินหายไปจนลับตาราวกับไม่ใส่ใจ แต่ภายในกำลังถอนหายใจออกมา ต้องบอกว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ที่ปกติแล้วรยูฮาผู้ซึ่งมีพรสวรรค์กับทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้นั้นนั้นมักจะรับรู้ได้ช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ
ทั้งสองหยุดพูดแล้ววิ่งขึ้นไปบนต้นไม้ทีละคน ทั้งคู่ซ่อนตัวในพุ่มไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก คิดว่าจะเฝ้าระวังบริเวณโดยรอบและตรวจตราดูว่ามีคนอยู่หรือไม่จากบนนี้
“พออยู่แบบนี้ก็นึกถึงคยอกรังขึ้นมา สบายดีหรือไม่นะ”
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ แล้วเสียงพูดเบาๆ ก็ดังทำลายความเงียบขึ้นมา
“คราวก่อนหม่อมฉันไปเรือนนายท่านมา ก็ยังคงดูดีและสง่างามเหมือนเดิม แต่เหมือนว่าจะผอมลงนิดหน่อยเพคะ ถามความรอบข้างดูเห็นว่าหลังจากพระชายาเสด็จเข้าวังก็กินไม่ค่อยได้ มาหมู่นี้ถึงพอมีเรี่ยวแรงกลับมาเพคะ”
ใบหน้าของรยูฮาหมองคล้ำลงเพราะข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีนัก
“ปวดใจเสียจริง เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองที่ออกไปล่าสัตว์ด้วยกันกับคยอกรังทั้งคืน ตระเวนไปทั่ว พอเหนื่อยก็ขึ้นมาพักบนต้นไม้แบบนี้บ่อยๆ”
ฮอนที่กลับจากไปสำรวจโดยรอบหยุดชะงักอยู่ตรงนั้น เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก คนชื่อคยอกรังเป็นใครกันแน่ ออกไปล่าสัตว์กับรยูฮาทั้งคืนหรือ สนิทกันแค่ไหนเชียว? ยิ่งไปกว่านั้นคือพูดถึงเรือนนายท่าน ไม่ใช่ว่าเขาคนนั้นเข้าออกเรือนรยูฮาได้ทุกเมื่อหรือ? แต่พอหันมองด้านข้าง เสด็จพี่ของเขากลับมีสีหน้ายุ่งเหยิง พอรู้สึกได้รู้ว่าเขาทั้งคู่รู้สึกเช่นเดียวกัน มันทำให้อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างประหลาด
หลังจากนั้นความเงียบอันหนักอึ้งก็ดำเนินต่อไป จนในที่สุดรยูฮาก็ลงมาจากต้นไม้แล้วกระซิบขึ้นในความมืด
“คงหนีไปจากที่นี่แล้วเพคะ แถวนี้ไม่มีแน่ๆ ส่วนบนเขาก็ไม่รู้สึกถึงร่องรอยของคนเลย เลิกตระเวนสำรวจแล้วพอฟ้าสางค่อยย้ายไปจุดต่อไปกันเถอะเพคะ”
รยูฮาบอกทิ้งท้ายไว้ว่าเหนื่อยไม่ให้ปลุกจนกว่าจะถึงเวลามื้อเช้า แล้วเข้าห้องนอนไป มินอาที่มักจะเคลื่อนไหวตามอยู่ตลอดก็เช่นเดียวกัน แต่พอหญิงสาวออกมาจากห้องของรยูฮาก็ถูกฮอนที่รออยู่อย่างกระวนกระวายจับไหล่เอาไว้
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”