วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-10
เสียงหัวเราะสดใสของรยูฮาลอยผ่านอากาศบริสุทธิ์เข้ามาถึงหูฮอน เขาพยายามข่มสายตาไม่ให้หันไปมอง แต่พอเหลือบมองไปด้านข้างก็พบว่าชานหันไปมองก่อนจะหันหน้ากลับมาตามเดิม รู้อย่างนี้เขาเองจะได้หันไปบ้าง ฮอนอดทนต่อความรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมและความไม่พอใจอย่างประหลาดไว้ จากนั้นจึงขยับบังเ**ยนม้าเพิ่มความเร็วออกไป
พอเห็นใกล้ๆ ที่นี่เป็นหัวเมืองที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีลำธารใสสะอาดอยู่ตรงกลาง แบ่งแยกออกชัดเจนฝั่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านยากจนที่มีบ้านเรือนเรียงรายกับร้านค้าซอมซ่อ ส่วนอีกฝั่งเป็นหมู่บ้านคนรวยที่มีบ้านหรูหราและร้านค้าหรูหราเรียงกันไป พอฮอนและชานลงจากม้ามาแล้วเดินไปได้สักครู่ก็หยุดลง รยูฮาที่อยู่ด้านหลังจึงหยุดตาม นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“เราไปทำงานกันเถอะ หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
ฮอนเก็บคำถามที่อยากถามออกไปว่าจะไปไหน ไปทำอะไร แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ไว้ ทำแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“จะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”
คำถามที่เขาพยายามข่มไว้หลุดออกมาจากปากของชานพอดี ถ้าเป็นปกติคงไม่พอใจที่รยูฮาและชานคุยกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกดีใจขึ้นมา
“จะไปหอนางโลมเพคะ จะไปค้างที่นั่นหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้จะรายงานข่าวให้ทราบเพคะ”
เขาตกใจกับน้ำเสียงที่สงบและนิ่งเฉยมากราวกับกำลังจะไปโรงเตี๊ยมแถวนี้ จะไปหอนางโลมด้วยร่างสตรี ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไปด้วยร่างพระชายาหรือ หนำซ้ำยังจะไปค้างหนึ่งคืนอีก! ฮอนอดทนเงียบต่อไปไม่ไหวได้แต่เอ่ยปากกับรยูฮา
“ไม่อนุญาต เจ้ากลับไปเสีย”
“ทำไมหรือเพคะ”
นานแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แต่สายตาที่สบกันแทนที่จะอ่อนโยนแต่กลับลุกเป็นไฟแทน ฮอนไม่หลบสายตาของรยูฮาและถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีก
“เพราะมันอันตราย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันสิเพคะ หม่อมฉันต้องไปที่นั่นจริงๆ”
พอพูดตามอำเภอใจจบ รยูฮาก็ก้าวไปข้างหน้า โดยมีมินอาวิ่งตามหลังไป ท่าทางที่ไม่มีลังเลนั้นทำให้ฮอนลำบากใจจนต้องหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจ ชานที่อยู่ข้างหน้าถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“จะปล่อยไปทั้งอย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ หอนางโลมสตรีเยอะก็จริง แต่บุรุษที่มาก็มีมากเหมือนแมลง”
คำถามที่อยากย้อนถามกลับไปเหมือนเด็กๆ ว่าเสด็จพี่เกี่ยวอะไรด้วยตีตื้นขึ้นมาตรงหลอดลม ฮอนสะบัดหัวอย่างไม่พอใจ แล้วจับบังเ**ยนม้าเดินตามรยูฮาเข้าไปทางหมู่บ้านฝั่งคนรวยเงียบๆ
“ทรงเสด็จตามมาจริงๆ ด้วยเพคะ”
มินอาเบนสายตาไปทางด้านหลังแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา ริมฝีปากของรยูฮาที่ยังคงจ้องมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ยกยิ้มขึ้นอย่างเงียบๆ
“ก็ใส่ใจอยู่หรอก…แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ”
สีหน้าของรยูฮาดูสนุกสนานชอบใจมากกว่าใส่ใจ แต่มินอาก็ไม่ว่าอะไรเอาแต่เดินต่อเงียบๆ ระยะห่างระหว่างทั้งสี่คนแคบลงเรื่อยๆ พวกเขาเดินตามถนนที่มีโคมไฟสีแดงห้อยอยู่จนมาถึงหอนางโลมที่สว่างไสวด้วยไฟประดับหรูหราเหมือนตอนกลางวัน ที่แห่งนั้นเกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวเพราะมีชายหนุ่มรูปหล่อมาเยือนอย่างคาดไม่ถึง
“โอ๊ะ หนุ่มหล่อมาจากที่ใดกันหรือ เป็นคนต่างถิ่นใช่ไหมเจ้าคะ”
“มาจากเมืองหลวงเพื่อมาท่องเที่ยวน่ะ ว่าแต่สาวๆ ที่นี่น่ารักกว่าสาวๆ ที่หลวงเสียอีก”
บรรดาหญิงสาวพากันหวั่นไหวกับคำพูดของรยูฮาที่กดเสียงให้ต่ำลงเหมือนผู้ชาย ไม่ใช่แค่เหล่านางโลม แม้แต่เหล่าผู้ชายที่เดินผ่านไปก็ชำเลืองมองรยูฮาหรือไม่ก็ละสายตาไม่ได้เลย ต่อให้บอกว่าริมฝีปากที่อมยิ้มและแววตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยนั้นคือสตรีก็พอเทียบกันได้ แต่ท่าทางนั้นก็ดูสง่างามสมกับเป็นชาย ถึงขนาดที่ว่าในบรรดานั้นมีคนส่งสายตามีเลศนัยมาให้ราวกับว่าจะยอมเป็นพวกชอบพอเพศเดียวกัน แน่นอนว่าพอมินอาที่ตามมาข้างหลังจับตรงด้ามสีดำพร้อมกับกระแอมและลดสายตาลงต่ำ จึงไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
“ทำไมถึงได้รูปงามเหมือนกันทุกคนเช่นนี้เจ้าคะ เชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ”
นางโลมนางหนึ่งที่จริตไม่ธรรมดายิ้มตาปิดเดินส่ายก้นนำหน้าไป ต่อมาจู่ๆ ก็หลบไปทางหนึ่งแล้วหยุดฝีเท้า รยูฮาหยุดยืนตามและสิ่งที่เข้ามาในสายตาก็คือสาวงามผู้เดินเชิดคางเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่ดูโอหังและท่าทางที่ต่างจากเหล่านางโลมคนอื่นๆ ดูแล้วคงจะเป็นอันดับหนึ่งของที่นี่
“ข้าชื่อจางโซยูเจ้าค่ะ จะนำทางไปเองเจ้าค่ะ”
นางโลมที่เดินเข้ามาใกล้ด้านหน้าขบวนโค้งตัวลงพร้อมกับรอยยิ้ม พอมองไปก็เห็นเป็นหญิงงามไม่แพ้กับแชยอน หญิงสาวงดงามเช่นนี้มาอยู่ในหอนางโลมแถบชนบทได้อย่างไร รยูฮาพยักหน้าแล้วเดินตามนางเข้าไปในห้อง
ขณะเดียวกันฮอนและชานผู้ซึ่งชำนาญเรื่องการรับมือกับผู้หญิงกลับยิ้มแห้งออกมาแทนคำพูด นางโลมคนอื่นได้แต่เอามือทาบหน้าอกที่ร้อนรุ่มและบิดไปมาเพราะไม่สามารถเข้าไปใกล้รอยยิ้มอันงดงามของชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นหลังจากชำเลืองดูท่าทีของโซยู
“จะสนุกไปกับการร้องรำ หรือสนุกไปกับสตรีดีเจ้าคะ”
“อะไรก็ได้ที่ดีที่สุด”
โซยูอมยิ้มเงียบๆ กับคำพูดอันเป็นธรรมชาติของรยูฮาที่จับจองที่นั่งแขกคนสำคัญ หลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่เหลือกันแค่สี่คนเสียงของชานก็ดังขึ้นมาก่อน
“ไม่ได้เพิ่งมาแค่ครั้งสองครั้งสินะพ่ะย่ะค่ะ”
รยูฮาสะดุ้งตกใจชำเลืองมองมินอา ทั้งเหล้า สตรี และการพนัน นางเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น จึงได้พาโฮจินเข้าๆ ออกๆ หอนางโลมอยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนว่าตั้งใจจะเก็บเป็นความลับกับมินอาไปตลอดชีวิต
“หม่อมฉันจะเคยมาที่แบบนี้เมื่อไหร่เพคะ ก็แค่ทำตามพวกผู้ชายรอบๆ เท่านั้นเพคะ”
ทุกคนก็เห็นว่านางไม่ได้มองไปรอบๆ เลย แต่นางก็ยังพูดอย่างผ่าเผยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิดเขาจึงไม่ซักไซ้ต่อ ท้ายที่สุดฮอนที่จ้องมองรยูฮาอยู่ก็เปิดปากพูด
“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้จริงๆ สมกับเป็นคนรอบรู้”
มีแค่ริมฝีปากของรยูฮาที่ยกยิ้มหวานรับคำชมที่จู่ๆ ก็พุ่งออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
“แต่เท่าที่ข้ารู้มา ท่านเป็นแขกที่เป็นที่รู้จักดีในหอนางโลมไม่ใช่หรือ เสด็จพี่”
แต่ว่าชานเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาเพียงแค่ถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนี สายตาของเขาเบนไปทางด้านข้างเหมือนไม่มีที่ให้วางสายตาจนไปสบเข้ากับสายตาอันเฉียบแหลมของมินอาที่นั่งกุมดาบอยู่ ตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก โซยูถือขวดเหล้าเข้ามาด้วยตัวเองแล้วมานั่งลงข้างรยูฮา
“จะให้เด็กๆ เข้ามาทักทายนะเจ้าคะ”
พอเสียงของโซยูดังออกไปข้างนอกเหล่านางโลมที่มีรอยยิ้มเหมือนดอกไม้ก็ทยอยกันเข้ามาและโค้งคำนับ แต่ก็สวยน้อยกว่าโซยู นางสวยที่สุดในหอนางโลมชนบทแห่งนี้ รยูฮายกมือขึ้นชี้เลือกหญิงสาวประมาณสี่ห้าคน
“เจ้า เจ้า เจ้าแล้วก็เจ้า…”
“เจ้า”
พอรยูฮาพูดจบฮอนก็ชี้ไปยังหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นสาวงามในชุดสีแดง
“มานั่งนี้”
คิ้วของชานบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อยแทนรยูฮาที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ เหล่านางโลมที่ถูกชี้เข้าไปนั่งตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ สายตาของโซยูไปหยุดอยู่ที่มินอาผู้ซึ่งนั่งเงียบอยู่ริมสุด เป็นสายตาที่ออกจะเปิดเผยอยู่บ้างแต่เพราะเหล้าและอาหารเข้ามาบดบังสายตาพอดี ทำให้มินอาหลุดพ้นออกมาจากสายตาอันน่าอึดอัดนั้นได้
“เห็นว่าท่านเดินทางจากท่องเที่ยวจากเมืองหลวง หากไม่เป็นการเสียมารยาทขอถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
โซยูยิ้มหวานอย่างน่ารักและรินเหล้าให้รยูฮา
“แล้วก็ ถามชื่อท่านทั้งสองที่อยู่ตรงนั้นด้วย”
สายตาชวนหลงใหลของโซยูมองกลับมาที่ชานและฮอนราวกับต้องการถามชื่อ สองคนที่อยู่ตรงนั้น นอกจากคนในราชวงศ์แล้ว ก็ไม่ควรเปิดเผยชื่อให้คนอื่นได้ล่วงรู้ ทั้งคู่จึงส่ายหน้าปฏิเสธแล้วยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้น ด้วยสัญญาณเช่นนั้นเหล่านางในที่อยู่ข้างๆ จึงจับขวดเหล้าขึ้น ตอนนั้นเองที่มินอาผู้ซึ่งนั่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ลุกพรวดขึ้นและเปลี่ยนขวดเหล้าของฮอนกับขวดเหล้าของตนที่ดื่มไปแล้ว
“อันนี้ข้าน้อยจะดื่มเอง ดูรสชาติดีกว่าขอรับ”
สถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อะไร มิหนำซ้ำพฤติกรรมของมินอาก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ทั้งยังฉลาดเฉลียวด้วยซ้ำเพราะรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของฮอน แต่ว่าในสายตาของหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องด้วยก็เกิดอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย มินอาที่รินเหล้าจากขวดที่เปลี่ยนมาใส่แก้วตัวเองยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย
“เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกทหารน่ะไม่ค่อยสนใจอะไรหรอก หายอารมณ์เสียเถิด”
พอฮอนตบลงที่ไหล่เบาๆ สีหน้าของหญิงสาวก็แดงระเรื่อขึ้นและความอึดอัดใจที่อยู่ในดวงตาก็สลายหายไปหมดเหมือนถูกล้าง ชานที่เห็นอย่างนั้นก็หันไปมองรยูฮาอย่างตกใจ แต่ว่ารยูฮาที่มีนางโลมขนาบข้างดูแลอยู่กลับดูไม่รู้สึกอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังยิ้มร่าเหมือนพอใจในสถานการณ์ตอนนี้มาก โชยูรินเหล้าลงบนแก้วเปล่าของรยูฮาอีกครั้งและมองฮอนพร้อมยิ้มหวาน
“นายท่าน นางบรรเลงพิณเก่งมากนะเจ้าคะ ชื่อว่านึงพาเจ้าค่ะ อยากลองฟังดูไหมเจ้าคะ”
พอโซยูเชิญชวน ปากของฮอนก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ถ้าเป็นพิณ ข้าคงต้องฟังเสียหน่อยแล้ว เอามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ นายท่าน เดี๋ยวข้ากลับมา”
ใบหน้าของหญิงสาวส่องประกายไปด้วยความดีใจแล้วนางก็เดินออกไปข้างนอก รยูฮามองพวกเขาแล้วยกเหล้าดื่มรวดเดียวก่อนจะเอ่ยถามโซยู
“ความงามของพวกเจ้าหากเทียบกับเด็กๆ ทางเมืองหลวงแล้วไม่น้อยหน้ากันเลย ทำไมพวกเจ้าไม่ไปอยู่ที่เมืองหลวง แต่มาเป็นนางโลมในเมืองชนบทเช่นนี้เล่า”
“อย่ากล่าวสิ่งที่ไม่รู้เลยเจ้าค่ะ นายท่าน ต่อให้งดงามแค่ไหน โชคชะตาของนางโลมก็คือถูกขับไล่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เห็นว่าแขกของที่นี่ดูแลดี เหล่านางโลมที่อยู่รอบๆ ก็พากันมารวมตัวเจ้าค่ะ พอมีนางโลมสวยๆ เยอะบรรดาแขกต่อให้อยู่ไกลก็มาหา อนาคตก็ดีกว่า จึงไปจากที่นี้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
หัวคิ้วของฮอนที่กำลังฟังอย่างตั้งใจขมวดเข้าหากัน วันนี้ระหว่างทางเห็นเด็กรูปร่างผอมแห้งตรงหมู่บ้านคนจนโยนก้อนหินตรงลำธาร และเฝ้ามองไปที่หมู่บ้านฝั่งคนรวย ส่วนที่นี่โยนอนาคตไว้ที่กระโปรงของนางโลม