วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-6
นิ้วที่รุกรานเข้ามาอย่างกะทันหันหมุนวนอยู่ในผนังด้านในจนไม่มีจังหวะให้แชยอนได้ตกใจ หรือว่าเพราะเพียงหนึ่งยังไม่พอใจถึงได้สอดอีกนิ้วเข้ามาควานหาจุดอ่อนไหวที่สุดของหญิงสาวแล้วลองกดลงทุกซอกมุม ตอนแรกการเริ่มต้นเหมือนต้องการสำรวจจนตอนนี้กลายเป็นเคลื่อนไหวเข้าออกอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ อ้า ท่านโฮจิน พอแล้ว พอ!”
เสียงอ้อนวอนที่ใกล้เคียงกับกรีดร้องทำให้เขาหยุดการกระทำลง การกระตุ้นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หยุดลง แต่ก็ไม่ได้เอานิ้วมือออกมา
“ที่บอกว่าไม่ได้คือเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ พูดมาสิ”
โฮจินดันนิ้วสองนิ้วเข้าไปด้านในผิดกับคำพูดที่นุ่มนวลแล้วยิ้มหวาน พร้อมกับหมุนนิ้วช้าๆ ราวกับเสียดายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่านี้ แชยอนที่ตอบรับการกระทำและคำพูดของเขาอย่างอ่อนไหวดูน่ารักจนแทบบ้า
“อ้า ฮึก เอาออกไปที”
นิ้วมือที่กำลังเติมเต็มเข้าไปภายในค่อยๆ ถูกเอาออกมาตามคำร้องขอของแชยอน เขาแก้มัดตรงกางเกงจนเปิดให้เห็นส่วนของความเป็นชายที่ผงาดชูชัน แชยอนหลับตาลงเพราะไม่มีที่ให้วางสายตาแล้วพูดเสียงเบา
“มันสว่างไป”
“แบบนี้แหละดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ มองมาที่กระหม่อมเถิด”
ภายใต้ใบหน้าที่ถูกทำให้แดงก่ำ สายตาที่ไม่มีที่ให้มองไป นางรวบรวมความกล้าแล้วมองขึ้นไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ถึงรู้ว่าเขามองมาอยู่ตลอดแต่ทำไมแสร้งทำเป็นไม่รู้กัน ใครกันที่ยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อนางเองอย่างยินดี
“ตอนนี้”
เรือเรียบลื่นไหลเข้าไปตรงลำธารระหว่างหุบเขา สายตาที่จ้องมองมาทางแชยอนเต็มไปด้วยความต้องการทางร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้แทนที่การหยอกล้อ
“เรียกชื่อข้า เพราะมันคือของของข้า”
“ท่านโฮจิน…”
ยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโฮจิน รู้ว่าเป็นใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่พอมาเห็นตอนนี้มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสกว่าที่เคยยิ้มตามนิสัย โฮจินประทับริมฝีปากลงไปพร้อมความรู้สึกผิดที่กัดตรงคอของหญิงสาวจนเกิดเป็นแผลเมื่อคืนก่อน แล้วก็ออกแรงตรงเอว ความเป็นชายใหญ่โตสำหรับแชยอนค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปในเส้นทางที่ทำให้ถูกเปิดกว้างออก
“ฮึก”
พอความเป็นชายเข้าไปหมดจน โฮจินก็พยายามควบคุมลมหายใจ เขาก้มลงมองแชยอนที่ถึงแม้จะตัวสั่นแต่ก็รับเอาของของเขาเข้าไปจนหมด เขายกยิ้มอย่างพอใจ
“ใครบอกว่าถ้าไม่มีองค์รัชทายาทท่านก็ไม่ใช่สิ่งใดเลย? แค่นี้ก็น่ารักแล้ว”
* * *
ฮอนลุกพรวดขึ้นไปดับไฟแล้วกลับมาที่เตียง ที่ตรงนั้นเขาดูดเม้มริมฝีปากของรยูฮาอย่างรุนแรงราวกับสัตว์กระหายน้ำเป็นเวลานานแล้วค้นหาแหล่งน้ำจนเจอ ร่างกายที่ร้อนรุ่มเพราะกลิ่นกายที่ชัดขึ้นและอาการเมาเหล้ากำลังออกคำสั่งให้ครอบครองชายาของตน หากดื่มเหล้ามากกว่านี้หน่อยก็เกือบจะอันตรายแล้ว ฮอนคิดเช่นนั้นแล้วถอนริมฝีปากออกมาอย่างหวุดหวิด
“…อ้า”
การกอดและลูบไปที่เส้นผมเปียกชื้นของรยูฮาคือความอดทนสุดท้ายที่เขาสามารถทำได้ ฮอนเกร็งตรงแขนราวกับอึดอัดแล้วเปล่งเสียงเหมือนกับกำลังถอนหายใจออกมา
“คราวนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ไม่โปรดหม่อมฉันหรือเพคะ”
รู้ว่าไม่ได้ไม่ชอบแต่แค่ลองพูดไป อาจจะเป็นเพราะข่มความต้องการภายในไว้ ร่างกายของฮอนจึงร้อนรุ่มขึ้นจนน่าแปลกใจ รยูฮาผู้ซึ่งเป็นฝ่ายยั่วยวนถึงกับคาดไม่ถึง
“บอกให้กลับไปไง ข้าชอบจนบ้าตายอยู่แล้ว คราวนี้กลับไปได้แล้ว”
ฮอนได้สติเพราะน้ำเสียงของตัวเองที่แผดออกมาแล้วหมุนตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าที่โฮจินยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ลมเย็นสบายยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวเย็นลงและล้างปอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นกายของรยูฮา
“ขอโทษด้วย ก่อนที่ข้าจะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้…”
ฮอนที่เอ่ยขอโทษพร้อมถอนหายใจออกมา จู่ๆ ก็หยุดพูดอย่างคาดไม่ถึง พอได้จัดการความคิดในหัว ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างแปลกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ฮอนหันหลังกลับไปมองในขณะที่นึกขึ้นมาได้และสิ่งที่เห็นคือภาพที่ไม่ชินตาเอาเสียเลย หัวเข่าและฝ่ามือของรยูฮาวางอยู่บนพื้นทั้งที่นางไม่เหมาะกับพื้นแม้แต่น้อย
“พระชายา!”
ฮอนเข้าใจว่าหญิงสาวเมาจนไหลจนร่วงลงมาจากเตียงจึงรีบวิ่งเข้าไปประคอง เพราะไม่อาจคิดได้ว่ารยูฮาจะลงไปคุกเข่าด้วยตัวเอง แต่ว่ารยูฮาสะบัดฮอนออกในสภาพก้มหน้าลง น้ำเสียงของหญิงสาวที่จู่ๆ ก็ขอรับโทษสงบนิ่งและมั่นคงเหมือนทุกที
“จะทรงปลดหม่อมฉันก็ได้ หรือฆ่าทิ้งเสียหม่อมฉันก็จะรับโทษนั้นเพคะ”
ทุกอย่างมันจะไม่กะหันทันไปหน่อยหรือ เข้ามาบอกว่าจะรินเหล้าให้ เรียกไปที่เตียงแล้วตอนนี้มาบอกให้ปลดจากตำแหน่งพระชายา ยิ่งไปกว่านั้นคือสั่งให้ปลิดลมหายใจทิ้ง ก่อนอื่นฮอนเข้าไปจับแขนของรยูฮาผู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องทั้งหมดให้ขยับตัวลุกขึ้น
“เจ้าพูดเรื่องอันใดกัน คงไม่ใช่ว่า…ที่เป็นเช่นนี้เพราะข้าทำผิดพลาดหรอกนะ เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”
แต่ต่อให้ลูบหลังปลอบแค่ไหนรยูฮาก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว คำพูดที่นางพ่นออกมาเหมือนอาเจียนทำให้หัวใจของฮอนเยือกยะเย็น
“จินแชยอนหรือซึงฮวีรักใคร่ชอบพอกันกับองค์รักษ์ และตอนนี้หนีไปไกลแล้วเพคะ คนที่ช่วยพวกเขาก็คือหม่อมฉันเอง ถึงฝ่าบาทจะทรงลงโทษใดๆ หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่โต้แย้งเลยเพคะ”
ตอนแรกคิดว่าแค่ล้อเล่นแบบไม่ขำเท่าไหร่นัก ความจริงแล้วก็อยากเชื่อเช่นนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคำพูดของนางนั้นจริงใจ คำพูดหลากหลายบินว่อนในหัวของฮอนแต่เอาเข้าจริงๆ กลับพูดไม่ออก
คืนนี้ เขาคิดไปว่ารยูฮาเปิดใจให้เขาแล้ว แต่ฮอนนั้นกลับรู้สึกขัดแย้งในใจและเหมือนตนเองโดนกดดัน เพราะมุมหนึ่งในหัวใจถูกกดไว้ด้วยความกังวลเกี่ยวกับแชยอน ความรู้สึกที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดว่าคือความรักใคร่ถวิลหา แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น ดังนั้นการกอดรยูฮาตอนนี้จึงเป็นเรื่องไม่ดีต่อทั้งสองคน
หัวใจถูกหลอกลวง ความจริงแล้วฮอนโกรธมาก แต่มากกว่าความโกรธคือมันใกล้เคียงความเสียใจมากกว่า เพราะอย่างนั้นเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่กว่าจะเปล่งออกมาได้นั้นใช้เวลาสักพักของเขาเหมือนเสียงของคนอื่น
“เจ้าช่วย…บอกว่าไม่รู้เถอะนะ บอกว่าจินซึงฮวีซ่อนตัวเก่งมากจนหาไม่เจอ ไม่สิ บอกไปว่านางตายไปแล้วดีกว่า”
“ต่อให้ถูกตัดหัว หม่อมฉันก็จะไม่โกหกเพคะ”
ฮอนปิดหน้าต่างที่ถูกเปิดออกด้วยมืออันสั่นเทา หากมีใครมาได้ยินเข้าจะสร้างความลำบากให้กับรยูฮาอย่างมาก
ถึงอย่างนั้นก็เป็นห่วงรยูฮา เขาหัวเราะแหบแห้งกับตัวเองแล้วจุดไฟตรงตระเกียง
“เจ้าก็รู้ดี อย่างไรเสียสำหรับข้าแล้ว ข้าเป็นสวามีของเจ้า หวงแหนและไม่อาจลงโทษเจ้าได้ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม”
แม้แต่จะถูกหักหลังจนหัวใจขาดวิ่น พระชายาของเขาก็ยังคงงดงามใต้แสงตะเกียง ชนิดที่ว่าสงสารมือเรียวเล็กนั้นที่ค้ำลงไปบนพื้น
รยูฮาถามว่าคิดเห็นอย่างไร ระหว่างที่เขายังหาคำตอบของคำถามนั้นไม่ได้ รยูฮาก็ลงไปที่พื้น และบอกว่าอย่าห่วงเลย ตอนที่ได้ยินคำนั้นเขาก็กำลังเป็นห่วงรยูฮาอย่างมากเสียแล้ว
“กลับไปเสีย ไปให้ห่างจากข้า หากใจข้าออกห่างจากเจ้าได้แล้ว ถึงจะลงโทษเจ้าได้”
รยูฮาลุกจากที่นั่งเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงคำนับแล้วกลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง ฮอนไม่ชอบใจ นึกว่าพอถ้ารยูฮาว่าง่ายเขาจะสบายใจ แต่พอนางแสดงกิริยาอันไม่คุ้นเคยต่อเขากลับทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีกำแพงที่ไม่สามารถทุบลงได้ก่อขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่
“หม่อมฉันขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์เพคะ”
พอประตูถูกปิดลงเงาของรยูฮาก็ห่างออกไป ฮอนจงใจไม่หันไปทางประตูห้อง เขาอยากรั้งนางไว้แล้วขอร้องว่าอย่าห่างไปไกล อย่าจากไป ทั้งที่เขาเองเป็นคนผลักไสนาง
วันต่อมาเจ้าเมืองเตรียมมื้อเช้าอย่างดีแต่ไม่เห็นพระชายาปรากฏตัวขึ้น มีเพียงแค่ฝากความมาบอกว่าไม่อยากอาหารและอยากพักผ่อน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจคือใบหน้าขององค์รัชทายาทที่ปรากฏตัวตามมาทีหลัง องค์รัชทายาทที่ทำให้ผู้อื่นใจเต้นด้วยรอยยิ้มอันงดงามเมื่อวันก่อน มาตอนนี้ในเวลาเพียงข้ามคืน พระองค์กลับปรากฏตัวด้วยท่าทางเหมือนกับทูตมรณะ
“ฝ่าบาท ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮอนส่ายหน้าให้กับคำถามของชานแล้วหยิบตะเกียบกับช้อนขึ้นมาเงียบๆ และเพราะบรรยากาศที่เหมือนทุกคนทำเป็นแสร้งไม่รู้ ฮอนจึงลุกขึ้นก่อนแล้วหายไปอย่างไร้คำพูดใดๆ ตอนนั้นเองการกินอาหารเช้าถึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ชานวางชามข้าวลงทั้งที่กินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก่อนจะลุกไปหาขันทีผู้จงรักภักดีขององค์รัชทายาท
“เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฝ่าบาท”
“ทรงบอกว่าบรรทมไม่หลับจึงรับสั่งให้ไปหาเหล้ามา แต่พระชายาจะทรงเอาเข้าไปถวายด้วยตัวเอง กระหม่อมจึงถวายให้ หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาไม่ปรากฏตัวในเวลามื้อเช้า ส่วนองค์รัชทายาทเองก็มีสีหน้าบูดบึ้งจนน่ากลัว คิดว่าเมื่อคืนทั้งคู่คงทะเลาะกัน นั่นก็หมายถึงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงทิ้งระยะห่างออกไป
“บ้าเอ๊ย”
ชานหลุดก่นด่าออกมา แต่ไม่ใช่ด่าว่าฮอนหรือรยูฮา สองคนนั้นยิ่งห่างกัน เขาหมดหวังในตัวเองที่ดีใจกับความจริงเรื่องนี้ ชานสะบัดชายเสื้อหมุนตัวออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าตึงเครียดเพื่อขานชื่อเหล่าผู้ติดตามอย่างที่เคยทำทุกที หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของ ตอนนั้นเองมีผู้มาเยือนอันคาดไม่ถึงมาหาชาน
“องค์ชาย มินอาเองเพคะ”
“เข้ามา”