วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-7
นางมาในชุดเครื่องแบบสีดำเรียบร้อยราวกับว่าตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ชานส่งสายตาบอกให้นั่งลง แต่มินอาทำแค่เพียงโค้งตัวเล็กน้อยและบอกว่าจะมาเพียงเพื่อแจ้งธุระเท่านั้น
“เมื่อคืนนี้ด้วยเรื่องของจินซึงฮวีทำให้ฝ่ายบาทและพระชายามีปัญหากันนิดหน่อย พระชายาจึงฝากทูลว่านับตั้งแต่นี้จะหยุดตามหาจินซึงฮวีและขอให้องค์ชายช่วยเหลือฝ่าบาทด้วยเพคะ”
“เรื่องของจินซึงฮวีหรือ”
“เพคะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
คิ้วของชานขมวดเข้าหากันขณะมองตามเบื้องหลังของมินอาที่เหมือนจะกล่าวลาแต่ก็เหมือนไม่ได้ลาแล้วจากไปจนเกิดเป็นรอยย่นด้วยความไม่พอใจ เรื่องทะเลาะกันเป็นไปตามคาด แต่เรื่องสาเหตุยังน่าสงสัย จนถึงตอนนี้ไม่เคยมีปัญหาเรื่องจินซึงฮวีเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทปกป้องหญิงคนนั้นหรอกหรือ แต่ดูจากที่หมู่นี้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นพิเศษ หรือจู่ๆ พระชายาจะหึงหวงขึ้นมา
ชานเวทนาตัวเองที่ติดอยู่กับความคิดไร้สาระ และตอนนี้ก็สายมากแล้วด้วย
รยูฮากำลังนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างไม่สบายใจ
“กราบทูลองค์ชายแล้วเพคะ”
มินอากลับมาแล้วลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้านหลังหญิงสาว รยูฮาเห็นหน้ามุ่ยๆ ของมินอาในกระจกก็ยกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง
“ยังไม่พอใจอยู่นี่เอง”
“กลับวังเถอะเพคะ แล้วทูลเรื่องทั้งหมดกับท่านอาจารย์”
“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ท่านคงชอบใจแย่เลย หลายคนตกอยู่ในอันตราย แล้วข้าเองก็ยังไม่อาจวางใจ”
มินอาเม้มปากเข้าเล็กน้อยเพราะคำว่ากล่าวอย่างสุภาพนั้น ก่อนจะคว่ำหน้าลงบนโต๊ะแล้วพูดเปิดใจออกมา
“หม่อมฉันน้อยใจเพคะ แค่ไม่ได้ร่วมสายเลือดเพียงเท่านั้น แต่ก็กินข้าวหม้อเดียวกัน ฝึกฝนมากับอาจารย์คนเดียวกันก็ถือเป็นพี่น้องที่เติบโตมาเดียวกันไม่ใช่หรือ แต่ลุ่มหลงสตรีจนจากไปไม่ลา จากกันแบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบ…”
“แล้วไม่ได้ตีจนสบายใจไปแล้วหรอกหรือ”
“ยังไม่พอเพคะ น่าจะถอนผมที่สำคัญเท่าชีวิตนั้นออกเสียด้วยเพคะ”
รยูฮาเตรียมตัวง่ายๆ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปลูบหัวมินอา
“อีกไม่นานคงมีเรื่องให้ได้เจอกัน แล้วค่อยบอกเขา”
ลมหนาวเย็นที่พัดผ่านไปทางเหนือพัดผ่านแก้มของรยูฮาที่ออกมาข้างนอก แต่ว่าชุดของนางไม่มีส่วนไหนต่างจากตอนที่อยู่ในวังเลย ตรงกันข้ามกับดูบางขึ้นไปอีก ฮอนเห็นอย่างนั้นจึงขมวดคิ้ว แต่ก็หันหน้าไปไม่พูดอะไรและบังคับบังเ**ยนม้าให้เริ่มออกเดินทาง
* * *
คณะผู้ติดตามขององค์รัชทายาทไม่ประวิงเวลาและก็ไม่มีเหตุให้ต้องทำเช่นนั้นจึงควบม้าติดต่อกันอยู่หลายวัน ยิ่งห่างออกมาจากวังทางที่ขรุขระและไม่มีผู้คนคนสัญจรก็ทำให้รู้ว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานรยูฮาไม่พูดกับฮอนเลยสักคำ ฮอนก็เช่นเดียวกัน
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะพระชายา ดูเหมือนว่าวันนี้ต้องตั้งค่ายพักกันที่นี่ ทรงไหวไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ชองโอ หัวหน้าองค์รักษ์เดินเข้ามาหารยูฮาที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ ระหว่างนั้นเหล่าผู้ติดตามต่างพากันอดประทับใจพระชายาที่ควบม้าตามกันมาด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยไม่ได้ แต่เรื่องตั้งค่ายก็เป็นอีกเรื่อง เป็นเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับสตรีสูงส่งที่เติบโตมาในฐานะลูกสาวคนเดียวของขุนนางชั้นสูง
ด้วยความคิดเช่นนี้ใบหน้าของชองโอจึงแสดงสีหน้าราวกับอยากจะทุบปากของตัวเองด้วยหินออกมา ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าคนอื่นเป็นสองเท่าและท่าทางที่ใกล้เคียงโจรป่ามากกว่าหัวหน้าองค์รักษ์ ทำให้เขาดูไม่เหมาะกับสีหน้าเช่นนั้นเลย รยูฮาเห็นแล้วจึงได้แต่ยิ้มเล็กๆ
“มีอะไรให้ต้องขออภัย ลำบากพวกเจ้าอยู่เรื่อยต่างหาก”
“ตรัสเช่นนั้นก็มีแต่จะทำให้กระหม่อมร้องไห้เพราะตื้นตัน กระหม่อมจะบอกผู้ติดตามให้เตรียมการให้ไร้ซึ่งความไม่สะดวกสบายให้ได้มากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
บทสนทนาระหว่างชองโอและรยูฮาจบลงเพียงเท่านี้ แต่คิ้วเข้มของฮอนที่เฝ้ามองทั้งคู่อยู่กลับขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ปากบอกให้ทิ้งระยะห่างแต่ความจริงใจกลับเดินตามชายเสื้อสีขาวมา จนท้ายที่สุดพอได้เห็นรอยยิ้มที่ส่งไปให้ทหารคนนั้นเขาจึงรู้ตัว ต่อมาความไม่สบอารมณ์ก็ปรากฏขึ้นบนตาของชานที่เดินผ่านแถวนี้พอดีด้วย
“ไม่สบายใจเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงอย่างนั้นก็ยังดีใจกับขวดน้ำที่ถูกส่งมาอย่างไม่ใส่ใจนัก น้ำเย็นไหลผ่านคอลงไปทำให้ใจสงบลงได้เล็กน้อย ถ้าพูดให้ละเอียดก็เป็นทั้งคู่แข่งทางการเมืองและคู่แข่งหัวใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นพี่น้องที่ไว้ใจได้ได้เลย
“เช่นนั้นแหละ เสด็จพี่”
“ไหนๆ ก็ตั้งค่ายแล้วฝึกดาบกับเหล่าทหารกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากได้ปลดปล่อย เรื่องพวกนั้นจะไม่หายไปหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ในโลกนี้จะมีใครรู้ใจได้แบบนี้อีกไหม ฮอนฉีกยิ้มในแบบที่สื่อความหมายในแง่บวกแล้วส่งกระบอกน้ำให้ชาน จากนั้นจึงเดินไปทางเหล่าทหารที่เตรียมการตั้งค่ายได้สักพักหนึ่งแล้ว คราวนี้สิ่งที่หมองลงคือใบหน้าของชานผู้ซึ่งมองตามเบื้องหลังของอีกฝ่าย แท้จริงน้องชายจะรู้ถึงใจที่ดำมืดของตนหรือไม่นะ
กลางคืนบนเขามาเยือนในชั่วพริบตา เช่นเดียวกันกับตรงบริเวณเพิงที่พักชั่วคราวของรยูฮาที่กินมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยไม่มีขุ่นเคืองใจ ท่าทางของหญิงสาวที่พอกินเสร็จก็เปลี่ยนใส่ชุดเครื่องแบบสีดำออกมารอทำให้มินอายกยิ้ม แล้วเอาดาบที่ถูกม้วนอยู่ออกมาขัด
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“ข้ามลำธารไปมีที่ว่างอยู่ มีต้นไม้รอบล้อมน่าจะไม่สะดุดตาง่ายๆ”
รยูฮายกมือขึ้นมัดผมให้แน่น มินอาไม่ค่อยชอบแผนการที่นี้สักเท่าไหร่ เพราะต้องหยิบดาบออกมาในที่ที่เหล่าทหารเดินวนเวียนอยู่ แต่จะทำอย่างไรได้ สีหน้าสดใสแบบนี้ของรยูฮาเพิ่งเห็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้หากรยูฮามีความสุขนางก็ไม่หวังสิ่งใดอีก
“เสด็จเถอะเพคะ ต้องออกเดินทางตอนเช้ามืด ฉะนั้นต้องรีบกลับมาเพคะ”
สองคนแอบออกมาไม่ให้ใครรู้ ข้ามลำธารมาจนมาเจอที่ว่างเปล่าที่รยูฮาพูดถึง อากาศบนเขาที่เย็นสบายชำระล้างความอึดอัดออกไป ใบหน้าของรยูฮาที่หยิบดาบออกมาสะท้อนกับแสงจันทร์เบ่งบานเหมือนดอกไม้ นิ้วขาวสัมผัสลูบไล้ไปตามคมมีด และริมฝีปากแดงก็ยิ้มหวาน
“เจ้าสบายดีไหม เบื่อใช่ไหมล่ะ”
แน่นอนว่าดาบมันไม่ได้ตอบกลับมา มีแค่มินอาซึ่งอยู่ข้างๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมา
“พระชายา อย่าทรงพูดคุยกับดาบเลยเพคะ เห็นทีไรหม่อมฉันขนลุกทุกที”
แทนที่จะตอบรยูฮาก็เริ่มยกดาบขึ้นมาร่ายรำ ทั้งที่ดาบนั้นไม่ได้เบาเลยแม้แต่น้อย แต่ปลายดาบที่ตัดแสงจันทร์อย่างนุ่มนวลนั้นผ่านไปไม่นานก็ไปจ่ออยู่ตรงลำคอของแขกไม่ได้รับเชิญ
“ลดดาบลงก่อนพระชายา”
“อ้า หม่อมฉันเสียมารยาท ไม่ทราบว่าเป็นองค์ชาย”
ไม่ใช่ว่ามินอาอยู่เฉยๆ แต่คนที่มีความสามารถอย่างรยูฮาไม่มีทางไม่รู้ว่ามีคนแอบซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคำโกหกแต่ว่าชานกลับหัวเราะแล้วหยิบเอาดาบของตัวเองออกมา
“กระหม่อมพอมีเวลาอยู่ อยากลองดวลดาบกับกระหม่อมไหม”
ดวงตาของรยูฮาที่มองเห็นดาบถึงกับเป็นประกายด้วยความอยากเอาชนะ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดวลดาบกับใครสักคน อีกอย่างมันก็อาจจะทำให้องค์ชายที่ตนเคยอยากจะทำให้คุกเข่าลงสักครั้งไห้ได้มาสยบแทบเท้าตนได้ ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเลย
“มั่นใจหรือเพคะ”
“หากเป็นดาบที่กระหม่อมไม่มั่นใจ ไม่ยกขึ้นมาจะเป็นการถูกต้องกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
ดาบของชานส่งประกายเย็นชาใต้แสงจันทร์เย้ายวนรยูฮา พอเป็นดาบขององค์ชายจึงงดงามไม่แพ้กัน แค่นึกถึงเสียงของดาบสองเล่มกระทบกัน เลือดก็ไหลพล่านไปทั่วร่างกาย รยูฮาพร้อมราวกับไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
“หากเสียงดาบดังขึ้นเหล่าทหารจะแห่กันมาเพคะ”
“กระหม่อมนัดกับองค์รัชทายาทไว้ว่าจะฝึกดาบกัน แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นมา”
ดวงตาของรยูฮาที่กวาดสายตาไปทางด้านหลังของชานซึ่งไม่มีใครอยู่ดูเหมือนเจ็บปวด ชานพูดต่ออย่างรู้ทัน
“องค์รัชทายาทคุยกับหัวหน้าองค์รักษ์อยู่ สักครู่คงมา”
“มาก็ยินดี”
สิ้นคำพูดนั้น เสียงดาบของรยูฮาก็ดังขึ้น แรงสั่นสะเทือนของสองดาบที่กระทบกันส่งเข้าไปถึงหัวใจของชาน หรือไม่ก็อาจจะเป็นริมฝีปากแดงเรื่อที่ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจของรยูฮาที่กำลังขบกัดใจของเขาอยู่
“ทำไมล่ะเพคะ ไหนคนที่บอกว่ามั่นใจ”
ขณะที่ชานหยุดชะงัก ดาบอีกเล่มก็กวัดแกว่งเป็นคลื่นไม่หยุด เป็นศิลปะการฟันดาบเฉพาะตัวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ตามตำราคือ การตัดหรือเฉือนนั้นจะต้องใช้น้ำหนักของดาบและแรงตวัด แต่สิ่งที่รยูฮาถืออยู่ในมือกลับเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล และในชั่วพริบตาก็พุ่งเข้ามาทำให้ต้องร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
“เรียนฟันดาบมาจากที่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังมีเวลาว่างตรัสถามอีกมากเพคะ”