วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-8
รยูฮาส่งปลายดาบไปด้านข้างของชาน แล้วทันใดนั้นก็ออกแรงลดดาบลงทางไหล่ด้านซ้ายของเขา แต่ดาบของชานเข้ามาขวางได้อย่างหวุดหวิดจึงไม่เกิดเหตุนองเลือด ดวงตาของทั้งสองคนสบกันท่ามกลางคมดาบที่ตัดกัน และริมฝีปากของรยูฮาที่เผยอขึ้นเล็กน้อยใกล้เข้ามาชนิดที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ยาก ทำให้ชานไม่มีแรงกวัดแกว่งดาบต่อ
“กระหม่อมแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝีมือใช้ได้เลยเพคะ หากจะฝึกฝนเพิ่มความสามารถอีก หม่อมฉันก็จะเป็นคู่ประลองให้”
รยูฮาผู้ซึ่งพ่นคำอวดดีออกมาโปรยยิ้มที่เคลิบเคลิ้มไปกับชัยชนะแล้วเก็บดาบลง แต่พอหันไปหามินอาที่อยู่ข้างๆ รอยยิ้มนั้นก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มเจื่อน มาตอนไหนกัน ฮอนยืนอยู่ข้างมินอาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วจ้องมองพวกเขาอยู่ ภาพนั้นทำให้ชานที่หันไปแทบจะพร้อมกับรยูฮาเกิดลำบากใจขึ้นมา
“ฝ่าบาท คือ…”
“ทั้งสองคนฝีมือเป็นเลิศมาก”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของฮอนที่กำลังเบะปากอย่างไม่พอใจไม่ใช่คำชมอันบริสุทธิ์ใจ รยูฮาก้มหน้าลงเล็กน้อยในสภาพที่รอยยิ้มถูกลบหายไปในพริบตา จากนั้นนางก็หายตัวไปในความมืดกับมินอาเงียบๆ หลงเหลือเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดเอาความอึดอัดเข้ามาระหว่างสองพี่น้องที่เหลืออยู่ข้างหลัง
“เป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าจะมาอบอุ่นร่างกายก่อนไปฝึกเลยมาเจอพระชายาเข้าโดยบังเอิญ”
พอมาคิดดูก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแก้ตัว แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนกับชานร้อนตัวจึงได้แก้ตัวออกมา ซึ่งท่าทางเช่นนั้นยิ่งไปกระตุ้นความโกรธและความหึงหวงของฮอน
“ทำเรื่องไม่ดีไว้หรือ เสด็จพี่ ทำไมกระวนกระวายเช่นนั้น”
‘เรื่องไม่ดี’ คำนั้นทิ่มแทงลงไปในใจชาน
“เสด็จพี่ที่ข้ารู้จักเป็นคนมั่นคงแล้วก็เย็นชา แต่พอพูดเรื่องภรรยาของข้า ท่าทางพวกนั้นก็หายไป”
เรียกว่าพระชายาก็ได้แต่ฮอนก็จงใจเรียกว่าภรรยา ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำแบบเด็กๆ แต่เขาก็ทำ ไม่ว่าจะอย่างไรก็อยากให้เสด็จพี่ตัดใจจากรยูฮา
ชานยืนนิ่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะโค้งตัวแล้วหันหลังไป
“อากาศตอนกลางคืนมันเย็น ฝ่าบาทควรรักษาเนื้อรักษาตัว รีบกลับเข้าไปเถิด”
* * *
พอมาถึงเพิงที่พักชั่วคราว รยูฮาก็ถอดเสื้อผ้าออกขว้างไปทั่วแล้วพุ่งไปนอนบนเตียงที่สร้างขึ้นใช้ชั่วคราว มินอาตามเก็บทีละชิ้นแล้วเอ่ยปากราวกับไม่เข้าใจ
“ลองทูลองค์รัชทายาทดูเป็นอย่างไรเพคะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่สตรีผู้นั้นมาพบองค์รัชทายาทได้อย่างไรไงเพคะ”
มินอาหมายถึงเรื่องที่แชยอนได้รับการยุยงจากพระสนมเอกมุนให้มาเข้าใกล้ฮอน รยูฮาฝืนยิ้มแล้วพลิกตัวไปทางมินอา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าบ้านั่นก็หันหัวม้ากลับไปถล่มวังซูอานน่ะสิ หลักฐานสักชิ้นก็ไม่มี ตรงกันข้ามจะกลายเป็นว่าไปกระทบอารมณ์ที่เสียพระสนมไปอีก ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
“ที่ทูลเช่นนั้นเพราะเกรงว่าพระชายาจะออกไปรับโทษจริงๆ ทรงอย่าลืมความจริงที่ว่าบนบ่าของท่านมีศักดิ์ศรีของตระกูลมหาเสนาบดีวางอยู่นะเพคะ”
“องค์รัชทายาทลงโทษข้าไม่ได้หรอก ไม่สิ ต้องบอกว่าจะไม่ทำเช่นนั้นถึงจะถูก”
“ทำไมทรงมั่นใจอย่างนั้นเพคะ”
“เจ้าเองก็ไม่รู้หรือ นิสัยของเขาน่ะ”
รยูฮารู้ดีว่าตนจะไม่ได้รับโทษตามที่ฮอนพูดไว้ แล้วก็กำลังสำนึกผิดที่ใช้ประโยชน์จากความจริงเรื่องนั้น
“ทราบสิเพคะ จะไม่ทราบได้อย่างไรกันเพคะ”
ถึงพูดอย่างนั้นแต่มุมปากของมินอาก็ยกยิ้มขึ้น ถึงแม้จะนานจนเผลอลืมไปบ้าง แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงเรื่องราวในคราวนั้นที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และไม่อาจลืมลง
ก่อนนั้นสมัยที่บิดาของรยูฮายังไม่ได้เป็นมหาเสนาบดี รยูฮาก่อเรื่องมากมายพอรู้ว่ามีมินอาคอยตามล้างตามเช็ดให้ยิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก
มาวันหนึ่งที่เกิดเรื่องขึ้น พระสนมยอนพาฮอนมาที่เรือนของรยูฮา
“ท่านน้า!”
พอพระสนมยอนลงจากเกี้ยวเข้าไปยังเรือนอีกหลังในอาณาเขตเดียวกัน รยูฮาก็ขว้างดาบที่กวัดแกว่งเล่นอยู่ทิ้งไป แล้วเข้าไปกอดพระสนมยอนในสภาพเลอะเทอะไปด้วยโคลน พระสนมยอนโน้มตัวลงมาเช็ดหน้าของรยูฮาอย่างอ่อนโยนแล้วยิ้มอย่างเงียบๆ
“ทำไมรยูฮาเปื้อนโคลนแล้วยังสวยอยู่แบบนี้”
พูดอย่างนั้นแล้วสายตาของพระสนมยอนก็ย้ายไปทางมินอาที่ลุกพรวดขึ้นเพราะตกใจ พอพระสนมยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้ มินอาถึงรีบวิ่งมายืนข้างรยูฮา
“พระสนมเสด็จมาหรือเพคะ”
“มินอาของข้าก็โตขึ้นเยอะเลย เจ้าสองคนดูอย่างไรก็เหมือนพี่น้องกัน!”
ตอนนี้เองที่ฮอนผู้ซึ่งหลบอยู่ด้านหลังกระโปรงของพระสนมยอนยื่นหน้าออกมา ฮอนตอนโตมีสายตาเย็นชา หากแต่ฮอนตอนยังเล็กกลับเป็นเด็กน้อยที่มีสายตาน่าดึงดูด ผิวขาวเหมือนพระสนมยอน และมีรูปปากชัดเจน
“ฝ่าบาท!”
“ถวายบังคมองค์ชายที่สามเพคะ”
คำกล่าวทักทายของรยูฮาและมินอาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตามสถานภาพ แต่ท่าทางของฮอนที่ยิ้มสดใสออกมาจากทางด้านหลังของพระสนมยอนพลางเข้ามาสวมกอดทั้งคู่ สำหรับทั้งคู่แล้วมันเหมือนกัน
มารดาของรยูฮาและพระสนมยอนมองตามเด็กน้อยสามคนที่จับมือกันอย่างเป็นมิตรเดินเข้าไปเล่นหลังเรือน แล้วพวกนางก็จับมือกันเดินเข้าไปในเรือนเพื่อพูดคุยเรื่องที่ยังคุยไม่จบ แล้วก็ไม่ลืมที่จะส่งคนของพระราชวังที่ติดตามมาด้วยให้เข้าไปพักผ่อนในห้องรับรอง ความจริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อเหล่าคนของพระราชวังหรอก แต่เพื่อให้พระสนมยอนสามารถพูดคุยได้อย่างสะดวกใจ
“ฮอน เรามาฟันดาบกันไหม”
รยูฮาตรวจดูว่าเดินออกมาห่างจากพวกซังกุงที่ดูน่ากลัวแล้ว จากนั้นก็กระซิบกระซาบล้อเล่นขึ้นก่อน
“นายหญิงบอกว่าตีองค์ชายไม่ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
มินอาพูดถูกแล้ว ครั้งก่อนนางฟาดฮอนด้วยดาบจนร้องไห้วุ่นวายกันทั้งเรือน จะไม่ให้โดนไม้เรียวได้อย่างไร พอนึกถึงไม้เรียวของท่านแม่ที่หวดลงมาอย่างไม่ปรานี รยูฮาก็ตัวสั่นขึ้นมา
‘ข้าก็อยากฟันดาบ ในวังมีแค่เสด็จพี่ที่ให้ฟันดาบด้วยได้ เสด็จพี่ก็ดีกับข้า แต่ไม่ยอมฟันดาบด้วย’
ริมฝีปากของฮอนที่พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำขมุบขมิบอย่างน่ารัก น่ารักจนอยากตีอีก รยูฮามองฮอนแล้วก็ครุ่นคิด จากนั้นก็ตบเข้าที่ไหล่ของมินอาเพราะนึกบางอย่างดีๆ ออก
“งั้นเจ้าก็สู้กับฮอนก็ได้สินะ!”
“‘เอ๋? ข้าหรือเจ้าคะ”
“ครั้งที่แล้วข้าเก่งกว่าฮอนเลยตีฮอนไปไม่ใช่หรือ เจ้าเรียนดาบยังไม่ได้นานเท่าไหร่ ฝีมือคงใกล้เคียงกับฮอน! ข้าจะคอยดูข้างๆ ว่าใครจะชนะ”
มินอาและฮอนมองตากันแล้วยิ้มแห้ง ทั้งคู่โตมาด้วยกันแต่ก็ยังมึนงงกับคำพูดของรยูฮาไม่มีเปลี่ยน รยูฮาลุกพรวดไปหยิบเอาดาบของเล่นที่ทำจากไม้มาแล้วยัดใส่มือทั้งสองคนคนละอัน
“อาจจะโดนจับได้ก็ได้ เพราะงั้นห้ามเสียงดังล่ะ เข้าใจหรือไม่ เริ่ม!”
รยูฮายกมือขึ้นสูงแล้วลดลง พร้อมกันนั้นดาบของเล่นก็กระทบกันเกิดเสียงดัง
“ไม่ออมมือให้เพราะว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ!”
“ไม่ออมมือให้เพราะว่าเป็นองค์ชายหรอกนะเพคะ!”
สองคนหัวเราะลั่นพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าที ข้างหลังที แล้วก็ต่อสู้อย่างดุเดือด อย่างไรเสียมินอาผู้ซึ่งเรียนดาบได้ไม่เท่าไหร่และตัวเล็กกว่าก็กำลังค่อยๆ ถอยร่นไปข้างหลัง มินอารู้สึกโกรธกัดฟันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีฟาดลงบนดาบของฮอน แต่ต่อมาสิ่งที่เหลืออยู่ในมือมินอากลับมีแค่เพียงด้ามจับเท่านั้น
“ฮอน…”
รยูฮาทำตาโตร้องเรียกฮอนอย่างตะกุกตะกัก มินอาตัวสั่นในสภาพถือด้ามจับที่หักไปอยู่อย่างนั้นแล้วยืนนิ่งไปเหมือนหิน เลือดที่ไหลตรงแขนเพราะโดนเข้ากับเศษไม้ที่แตกหักทำให้ชุดผ้าไหมเปื้อนเป็นสีแดงเข้ม ในสถานการณ์เช่นนี้ฮอนก็ยังกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด แล้วยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้รยูฮา
“รยูฮา เป็นอะไรหรือไม่”
รยูฮานั่งดูการฟันดาบอยู่แล้วเศษไม้ที่แตกออกก็ลอยไปทางนั้น แต่ว่าได้แขนของฮอนรับไว้มันจึงสะท้อนกลับไปอีกทาง รยูฮาจึงปลอดภัย
“ทำไงดี ทำไงดี…”
ต่อมารยูฮาก็เริ่มปล่อยโฮออกมา ในบรรดาเด็กน้อยสามคนมีเพียงคนที่บาดเจ็บเท่านั้นที่ไม่ร้องไห้
“ชู่ว เงียบหน่อย ถูกจับได้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”