วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 5-9
ฮอนหายใจเข้าลึกๆ แล้วไปหยิบเศษไม้มาเหมือนตัดสินใจบางอย่างได้ เลือดที่ไหลซึมเป็นวงไหลลงตามปลายนิ้วที่ซีดเผือดแล้วก็ไหลลงบนพื้น มินอาเห็นอย่างนั้นถึงกับสติหลุดทรุดตัวลงบนพื้น
“มินอา!”
กระทั่งมินอาก็ล้มลงจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฮอนจับลงบนไหล่ของรยูฮาที่กำลังสับสนและสายตาพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา
“รยูฮา เงียบก่อน ไปพาเสด็จแม่ของข้ามา อย่าให้ใครเห็นนะ ไปเร็วเข้า”
รยูฮาเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งไปตามคำสั่งของฮอนที่ดูสุขุมเยือกเย็น ไม่นานพระสนมยอนและนายหญิงตระกูลจองก็จับมือรยูฮาตามมา ทั้งคู่ไม่เชื่อสายตากับภาพอันน่าเวทนา มินอาที่สติหลุดไปนั่งทรุดอยู่กับวงเลือดที่อยู่บนพื้น พระสนมยอนหน้าซีดและก่อนจะได้เปิดปากพูด ฮอนก็ก้าวเข้ามายืนต่อหน้าแล้วแจ้งเรื่องอย่างสง่างาม
“ท่านแม่ ข้าขึ้นไปบนต้นไม้แล้วแขนถูกกิ่งไม้เสียบจนได้แผล”
แต่ว่าสายตาอันแหลมคมของนายหญิงตระกูลจองกลับมองดาบไม้ที่หักอยู่ข้างๆ มินอาไม่วางตา หญิงสาวอกสั่นขวัญหายหมอบก้มหน้าลงกับพื้นต่อหน้าสหาย
“ประทานโทษตายหม่อมฉันเถิดเพคะ”
พระสนมยอนเพิ่งเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ร่างกายขององค์ชายได้รับบาดเจ็บ จะให้หายสนิทก็ต้องรอเวลาอย่างเดียว ต่อให้ถูกมองว่าจัดการเรื่องนี้เบาไปแต่ก็ไม่สามารถให้โทษประหารกับรยูฮาและมินอาได้ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นธิดาในสกุลชั้นสูงโทษที่ทำร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พระสนมยอนรีบประคองนายหญิงตระกูลจองให้ลุกขึ้นแล้วหยิบเอามีดสั้นออกมา ตรงชุดผ้าไหมนั้นเกิดเสียงแหลมดังขึ้นและฉีกขาดเหมือนผ้าขี้ริ้ว พระสนมยอนใช้สิ่งนั้นพันแขนของฮอนแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ลุกขึ้นเถอะ จินอา รีบเก็บของพวกนี้ก่อนที่คนอื่นจะมา รยูฮาเรียกมินอาแล้วพากันเข้าไปข้างใน องค์ชายเก่งมาก ลูกอดทนได้ดีมาก”
เรื่องที่เกิดถูกแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและราบรื่น รยูฮาและมินอาเข้าไปซ่อนตัวในห้องเหมือนกับว่าอยู่ในนั้นตั้งแต่ต้น นายหญิงตระกูลจองซ่อนดาบไม้ไว้ใต้กระโปรง จากนั้นเสียงร้องอย่างเสียขวัญของพระสนมยอนก็เรียกผู้คนมารวมตัวกันตรงหลังเรือน
จากนั้นก็วุ่นวายกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงที่ว่าพระสนมและองค์ชายออกมาเดินเล่น องค์ชายปีนขึ้นไปบนต้นไม้คนเดียวจนเกือบจะตกลงมาและโดนกิ่งไม้เสียบเข้าที่แขน ฮอนช่วยชีวิตรยูฮา มินอาและทุกคนในบ้านมหาเสนาบดีไว้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะจำไม่ได้ว่ารอยแผลเป็นที่เกิดตรงแขนของตัวเองเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ตาม
มินอานึกย้อนไปแล้วยกยิ้มขึ้นเหมือนคิดถึง รยูฮาเองก็นึกย้อนกลับไปถึงฮอนในวัยเด็กด้วยสีหน้าคล้ายๆ กัน
“นิสัยคนไม่ไปเปลี่ยนหรอก อีกอย่างฝ่าบาทเหมือนไม่ได้รักข้ามากกว่าตอนนั้นด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ ว่าแต่ว่า…”
รยูฮาถอนหายใจอย่างเป็นกังวลแล้วซบหน้าลงบนแขนตัวเอง
“ตอนนั้นแค่น่ารัก มาตอนนี้กลับทำให้หลงเสน่ห์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วสินะ”
* * *
หัวหน้าองครักษ์และเหล่าทหารผู้น้อยลอบมองอาการเบื้องบนทั้งสามพระองค์ที่ดูเคร่งเครียดขึ้นแล้วควบม้าไปอย่างไม่มีหยุดพัก จนมาถึงปากทางเข้าเขตภาคตะวันตกเฉียงเหนืออย่างไม่ทันได้รู้ตัว ที่นั่นลมหนาวหนาวเย็นเป็นพิเศษชนิดที่ว่าแทรกทะลุผ่านเข้าไปถึงในกระดูก
“…ว่าแล้วเชียว”
ฮอนที่อยู่หน้าสุดถอนหายใจยาวออกมา แค่ปรากฏตัวให้เห็นเลือนรางตรงปากทางเข้าเมือง เหล่าเด็กน้อยที่เล่นอยู่ตรงนั้นพอเห็นขบวนม้าก็พากันกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป ช่างแตกต่างจากเด็กๆ ในเมืองอื่นที่จะเฝ้ามองพวกเขาอย่างสนใจ
“เป็นเพราะพวกคนป่ามักจะเดินทางโดยใช้ม้า ที่นี่ห่างจากเขตชายแดนก็จริงแต่จากสภาพการดำรงชีพของชาวบ้านก็บอกไม่ได้ว่าดีนัก”
ชานสังเกตเห็นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรฮอนจึงถอนหายใจเลยอธิบายให้ฟังอย่างบริสุทธิ์ใจ ฮอนหันกลับหลังไปแล้วจมอยู่ในความคิดสักครู่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“ไม่ต้องเข้าไปในเมือง ให้ไปตั้งค่ายตรงเนินเขาตรงนู้น”
“ฝ่าบาท แต่ว่าที่นี่มันพื้นที่อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชองโอออกมาข้างหน้าเพื่อห้ามปราม แต่ก็โดนฮอนว่ากลับมาจนพูดไม่ออกถอยร่นไป
“เพราะเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจึงติดตามมาด้วยไม่ใช่หรือ จะมากินแล้วก็เที่ยวเล่นอย่างนั้นรึ อย่าพูดอะไรไร้สาระแล้วรีบเตรียมการซะ แล้วก็ต้องเข้มงวดเรื่องเขตชายแดนรอบๆ ห้ามใช้ไฟด้วย”
เหล่าทหารเหน็ดเหนื่อยจากการตั้งค่ายติดต่อกันหลายวัน แต่ก็ไม่ใครกล้าขัดคำสั่งขององค์รัชทายาท ระหว่างออกมาตั้งที่พักชั่วคราวตรงเชิงเขาที่ห่างออกมาหน่อย ตระเตรียมอาหารเย็นแล้วก็ขานชื่อเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามตะวันตกดิน หลังจากฮอนและชานกินมื้อเย็นอย่างง่ายๆ เป็นเนื้อตากแห้งแล้ว ทั้งคู่ก็เข้าไปในที่พักชั่วคราวด้วยกัน
“เป็นเมืองที่ตระกูลพันดูแลอยู่ แน่นอนว่าตำแหน่งสำคัญในที่ว่าการเขาก็ยกให้พวกญาติๆ ไหนจะชอบเรียกระดมคนมาทำงานสารพัดอย่าง แล้วก็ขึ้นภาษีอยู่เป็นประจำ เป็นสาเหตุทำให้พวกที่ยากจนกับพวกคนร่ำรวยแบ่งแยกกันอย่างเห็นได้ชัด กับพวกคนรวยที่ติดสินบนให้ก็เก็บภาษีลดลงและหลับหูหลับตาให้เวลาพวกนั้นทำผิดกฎหมายสารพัดอย่างเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ต่อให้ไม่ได้เตรียมเอกสารมา แต่รายงานที่ได้ยินมาเมื่อครั้งที่แล้วยังคงอยู่ในหัวของชาน แต่แทนที่ชานจะอธิบายสิ่งที่รู้มาทั้งหมดให้ฮอนฟัง เขากลับทิ้งช่วงให้ฮอนได้คิด
“อาวุธก็ไม่พร้อมไว้ป้องกันพวกคนป่า ดูท่าคงยักยอกเงินส่วนที่ใช้ปกป้องอาณาจักรไปด้วย”
หัวคิ้วของฮอนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเขาก็จมอยู่ในความคิด
“ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ติดชายแดน ถึงขนาดที่พวกคนป่าจะเข้ามาปล้นถึงที่นี่ได้ก็คงเสียหายไม่น้อย”
“กระหม่อมไม่รู้ถึงขั้นนั้น แต่มั่นใจว่าสถานการณ์ทางชายแดนเทียบไม่ได้กับทางนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดว่าตรงชายแดนไม่มีอะไรให้ปล้นเลยมาถึงที่นี่ก็เป็นได้”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
บทสนทนาดำเนินต่อไปแต่ก็ไม่มีส่วนที่ทั้งคู่มั่นใจ ยกเว้นความจริงที่ว่ามีบางอย่างไม่เข้ารูปเข้ารอย
“คงต้องตรวจสอบภายใน เสด็จพี่ช่วยแนะนำหน่อยได้หรือไม่”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
พอปรึกษางานกันเสร็จแล้วแต่ละคนก็พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าจนตอนท้ายที่ต่างสำรวจเครื่องแต่งกายของตน ประตูที่พักชั่วคราวก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีสัญญาณเตือน ขณะที่ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา สตรีที่คุ้นเคยดีแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนคนแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น
“พระชายา?”
ทั้งสองคนที่มองไปยังจุดเดียวกันพร้อมกันมีเพียงชานเท่านั้นที่อ้าปากกว้าง รยูฮาก้มหัวพอผ่านๆ แล้วมองตรงไปทางฮอนก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างเฉียบขาด
“หม่อมฉันจะไปด้วยเพคะ”
“ด้วยสภาพเช่นนั้น?”
บทสนทนาของคู่สามีภรรยาที่ไม่ได้คุยกันหลายวันแข็งกระด้างจนเกินไป เหมือนสีหน้าของฮอนที่กวาดตามองรยูฮาตั้งแต่บนลงล่าง
“ใช่เพคะ หม่อมฉันกับมินอาจะแยกไปต่างหาก อย่าสนพระทัยเลยเพคะ”
รยูฮาอยู่ในชุดผ้าไหมที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ แต่ว่าเป็นชุดของบุรุษไม่ใช่สตรี พอผ้าไหมอันหรูหราและความมันเงาของผ้าไหมอยู่บนด้านหลังบังเ**ยนม้าประกอบกับมินอาที่ยืนอยู่ข้างกันในชุดสีดำยิ่งทำให้ดูสะดุดตา
“ตามใจ”
ฮอนไม่เปิดปากอีกแล้วเดินผ่านรยูฮาที่หลบอยู่ข้างๆ ไป กลิ่นกายของรยูฮาที่ลอยมาตามลมต่างไปจากปกติ หรือจะเป็นเครื่องหอมที่ผู้ชายใช้ เขายกยิ้มให้กับความรอบคอบแม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้และไม่ทันสังเกตชองโอที่ออกมาโค้งตัวอยู่ข้างหน้า
“เอาม้ามา เลือกตัวที่ดูธรรมดาๆ”
“อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะติดตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเจ้าไม่อยู่แล้วที่นี่ใครจะดูแล”
หัวหน้าองครักษ์จอมเซ่อซ่าไม่สามารถตอบอะไรได้เพราะคำตำหนิของฮอน แล้วก็ไปลากเอาม้ามาสองตัว เสื้อผ้าชุดธรรมดาที่ชานกับเขาสวมใส่ก็ยังดูมีราคาแต่ทำมาจากผ้าทอ ทั้งคู่ออกไปข้างหน้าแล้วขึ้นม้าไปอย่างคล่องแคล่วก่อนจะหันมามองมินอา
“ดูท่าคงไม่รู้ว่าใส่แบบนั้นมันเรียกความสนใจให้ดูรู้ว่าเป็นคนชั้นสูง”
“คงอยากให้เจ้าเมืองนำทางตั้งแต่ปากทางเข้าเมืองไปถึงวัดกระมังพ่ะย่ะค่ะ”