วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 6-10
ตอนที่ 6-10
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ เสียงของสาวใช้บอกให้รู้ว่าได้เวลาอาบน้ำแล้ว ภายในห้องอาบน้ำที่ตามพวกนางเข้ามาเหลือเพียงมินอาคนเดียว นอกนั้นมินอาสั่งให้ออกไปให้หมด และนางก็กำลังวัดอุณหภูมิของน้ำอยู่ พอถอดเสื้อผ้าโยนไปทั่วแล้วลงไปในน้ำ มินอาก็จัดการเก็บให้เรียบร้อยแล้วมายืนอยู่ข้างๆ
“ดีจัง เจ้าเองก็อยากลงมาอาบด้วยหรือไม่เล่า”
รยูฮาเอ่ยถามอย่างหยอกเย้า ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาของมินอาแน่นอนว่ามันคือการปฏิเสธ
“หม่อมฉันจะอาบทีหลังเพคะ”
“อืม งั้นมานี่ สระผมให้หน่อย”
พอสัมผัสอันคุ้นเคยสระผมให้อย่างอ่อนโยน หญิงสาวก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่สระผมไปได้ไม่นานนักก็…
ตูม!
“กรี๊ดดด!”
รยูฮายื้อข้อมือมินอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วดึงนางลงมาแช่ในน้ำทั้งอย่างนั้น มินอาเปียกปอนไปหมดทั้งตัว นางตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างยากเย็นแล้วแผดเสียง
“พระชายา!”
“ตอนบอกให้ลงมาก็ลงมาเสียก็สิ้นเรื่อง”
ท่าทางยิ้มกริ่มพร้อมกับตอบไปทำให้มินอาพูดไม่ออก แต่เปียกไปแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ มินอาเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจ ก่อนจะขว้างเสื้อผ้าที่เปียกไปข้างๆ อ่างอาบน้ำกว้างชนิดที่ว่าต่อให้ลงมาพร้อมกันคราวเดียวห้าหกคนก็ไม่เป็นไรจึงทำให้ร่างกายไม่รู้สึกอึดอัด แม้ใจจะอึดอัดอยู่นิดหน่อย แต่นั่นก็ไม่เท่าไหร่
“ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ อย่าทำเช่นนี้อีกนะเพคะ”
“ที่ว่าบอกผิดกฎระเบียบไม่ใช่คำที่เจ้าควรจะมาพูด”
มินอาถึงกับพูดไม่ออกเพราะการตำหนิของรยูฮา นางเม้มปากแล้วปล่อยผม รยูฮามองดูด้วยสีหน้าชอบใจแล้วเอ่ยปากราวกับคิดถึง
“ตอนเด็กพอฝึกเสร็จก็ลงมานั่งอาบน้ำด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน ตอนข้าอาบเจ้าก็มาอาบด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ต้มน้ำแล้วอาบน้ำเย็นไม่ใช่หรือไง”
“ตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็กจึงไม่รู้ความเพคะ นายหญิงเมตตาสาวใช้อย่างหม่อมฉันมาก ขนาดที่ว่าหม่อมฉันลืมสถานะของตัวเองไป”
คำว่าสถานะของตัวเองมันบาดความรู้สึกอย่างแปลกประหลาดและไม่ถูกใจ รยูฮานิ่วหน้าแล้วสะบัดน้ำใส่มินอา
“สาวใช้หรือ ท่านพ่อท่านแม่คิดกับเจ้าเหมือนเป็นลูกสาว ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกัน”
“แล้วทำอะไรได้เพคะ อย่างไรเสียก็เป็นเพียงคนชั้นต่ำ”
มินอาไม่เคยแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับสถานะหรือการเป็นสาวใช้ของตนเลยแม้แต่สักครั้ง แต่ว่าในน้ำอุ่นที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้าต่อหน้าผู้เป็นนาย นางกลับเผยความในใจออกมา แล้วก็เม้มปากอีกครั้ง แต่ว่าปากนั้นก็อ้ากว้างขึ้นกับคำพูดของรยูฮาที่พูดต่อมา
“คนชั้นต่ำ? เจ้าน่ะหรือคนชั้นต่ำ?”
“คะ? เพคะ? หมายความว่าอย่างไร…”
สายตาของรยูฮามองมินอาอย่างงงๆ พร้อมกับคำพูดที่ไม่อาจรู้ได้ยิ่งทำให้มึนงงเข้าไปใหญ่ มินอายังงุนงง อ้าปากหวอแล้วสบเข้ากับสายตานั้น
“จำไม่ได้หรือว่ามาบ้านข้าได้อย่างไร”
“ไม่เลยเพคะ เพราะหม่อมฉันก็อยู่ข้างๆ คุณหนูมาตลอดตั้งแต่ยังเด็กมาก”
อย่างนี้นี่เอง รยูฮาได้รู้ว่ามินอาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจึงตบมือเบาๆ
“คนที่พาเจ้ามาบ้านข้าคือญาติห่างๆ ของเจ้า บางครั้งท่านพ่อก็ช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนใช่ไหมเล่า ญาติที่พาเจ้ามาเป็นคนชั้นกลางทั้งพ่อของเจ้าและเจ้าก็เป็นคนชั้นกลางสิ เขามาขอร้องว่าเด็กคนนี้ไม่มีใครเลี้ยงเลยขอให้ให้ข้าวให้น้ำในฐานะทาสหรืออะไรก็ได้ แต่จะเรียกลูกของคนชั้นกลางว่าเป็นทาสได้อย่างไรกัน แต่จะรับเข้ามาในบ้านขุนนางอย่างพวกเราก็ไม่ได้ พอดีกับอายุเจ้าก็ไล่เลี่ยกับข้า เลยรับเข้ามาให้เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็คอยรับใช้ข้าน่ะสิ เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้นอนอย่างอบอุ่นข้างๆ ห้องข้าแล้วก็ได้ใส่เสื้อผ้าไหมน่ารักๆ ไม่ใช่หรือ”
ชาติกำเนิดที่เป็นความลับ แต่ไม่มีใครปิดบังไว้จะบอกว่าเป็นความลับก็คงจะเกินไป แต่ก็เป็นเช่นนั้นไปแล้ว มินอาผู้ซึ่งได้รู้สถานะของตัวเองเป็นครั้งแรกไม่สามารถปกปิดความมึนงงไว้ได้ ถ้าบอกว่าเป็นคนชั้นกลางก็สามารถทำงานราชการได้เนื่องจากมีฐานะสูงกว่าชนชั้นไพร่และชาวบ้านธรรมดา และหากว่ามีทรัพย์สินมากพอก็สามารถแต่งงานกับขุนนางได้มิใช่หรือ
“ทำไมถึงเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้ล่ะเพคะ”
“เพราะเจ้าไม่ได้ถาม”
เทียบกับความกลัดกลุ้มที่ผ่านมาแล้วช่างเป็นคำตอบที่ง่ายเหลือเกิน มินอายิ้มอย่างหมดแรงแล้วใช้ฝ่ามือกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า สายน้ำไหลผ่านนิ้วเรียวยาวลงไปทางศอก รยูฮามองแล้วยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“แต่ว่าอย่าด่วนร้อนใจไปมากล่ะ”
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
การย้อนถามของมินอาไม่ได้รับคำตอบที่ทำให้โล่งใจกลับมา รยูฮาแค่ยักไหล่แล้วบังคับให้มินอาหันหลังเพื่อนางจะได้ถูหลังให้ เสียงพร่ำบ่นแผ่วเบาของรยูฮาเอื้อยเอ่ยความเสียดายออกมา
“ต่อไปนี้อย่าอาบน้ำด้วยน้ำเย็นอีก ผิวของเจ้าหยาบกร้านไปหมดแล้ว”