วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 6-6
เวลาห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นเหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคนรวยและขุนนางครึ่งหนึ่งที่เรียกเก็บภาษีสูงเกินไปถูกจับและส่งตัวไป ฮอนและชานหมกตัวอยู่ในห้องทำงานในจวนของเจ้าเมืองพันด้วยกัน พวกเขาตรวจสอบเอกสารที่ไม่ถูกต้องทีละแผ่นจนล่วงเข้าสู่เวลาเช้ามืดถึงได้นอน วันนั้นเองก็เช่นกัน
“นำมื้อดึกมาถวายเพคะ”
เสื้อผ้าสีขาวของรยูฮาและชุดเครื่องแบบสีดำของมินอาดูเหมาะกันเสมอ สองคนเดินเรียงกันเข้ามาในห้องทำงานและถือถาดอาหารที่ถูกปิดไว้อย่างสะอาดเรียบร้อยเข้ามาด้วย
“ให้สาวใช้เอามาให้ก็ได้ ทำไมมาด้วยตัวเองเช่นนี้”
ปลายนิ้วของฮอนที่ลุกขึ้นรับเอาถาดอาหารสัมผัสกับปลายนิ้วของรยูฮา และไม่ได้มีแค่สัมผัสจากปลายนิ้วเท่านั้น
“ตั้งใจมาดูใบหน้าหล่อเหลาเพคะ”
หากแต่เป็นคำพูดที่ส่งไปอย่างไร้ความรู้สึกในขณะที่ริมฝีปากไม่ได้ยกยิ้มขึ้นเลย ไม่รู้เพราะอะไรฮอนถึงได้อารมณ์ดีนักจนยิ้มกว้างแกะผ้าห่อของออก ขณะเดียวกันชานกลับวางกระดาษที่ถืออยู่ในมือลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึมต่างจากปกติ
“หากไม่เสวยจะเอากลับไปนะเพคะ”
พอมินอายกถาดอาหารที่ยังไม่ได้วางลงขึ้นอีกครั้ง ชานก็ลุกจากที่
“ข้าจะออกไปรับลมสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา”
ตอนนี้เป็นฤดูที่ผ่านพ้นฤดูหนาวมาแล้ว แต่ลมทางภาคเหนือก็เย็นและบาดผิวเหมือนน้ำแข็ง มือของชานที่ออกมาข้างนอกคนเดียวสัมผัสเข้ากับลมหนาวและด้ามดาบ
“ประลองหน่อยไหมเพคะ”
มินอาที่ตามมาอย่างไม่รู้ตัวดึงดาบสีดำของตัวเองมาถือไว้ ปลายดาบที่ถูกดึงออกมาจากฝักพร้อมกับเสียงสดใสมุ่งมาทางเขา ชานจึงฉีกยิ้มแล้วจับดาบ
“ดี”
“มั่นใจหรือไม่เพคะ”
“ข้าจับดาบมาทั้งชีวิต ไม่คิดว่าจะแพ้ให้กับสตรี”
“ถ้าอย่างนั้นเดิมพันกับหม่อมฉันหน่อยไหมเพคะ”
เป็นข้อเสนอที่คาดไม่ถึง มินอาขอร้องให้เดิมพันหรือ ดูจากสถานะแล้วช่างเป็นคำพูดที่อวดดีมาก แต่ว่าในสายตาของชานที่มองหญิงสาวมันคือเรื่องสนุก
“ต้องการอะไรจากข้า แล้วเจ้าให้อะไรข้าได้บ้าง”
“หากหม่อมฉันแพ้ หม่อมฉันจะให้พระองค์สั่งให้หม่อมฉันทำอะไรได้หนึ่งอย่างในยามที่พระองค์จำเป็น หากหม่อมฉันชนะช่วยหักห้ามใจจากพระชายาด้วยเถอะเพคะ”
เหมือนอย่างทุกที่ ไม่สามารถอ่านจากใบหน้าของมินอาได้เลยว่านางรู้สึกอย่างไร สายตาเคร่งขรึมสบกันภายใต้อากาศหนาวเย็น ต่อมาเสียงของชานก็เรียกความสนใจไป
“เจ้าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ยามที่ข้าจำเป็น”
“หม่อมฉันถนัดการใช้ดาบและซุ่มโจมตี อีกทั้งยังยิงธนูได้ดีอีกด้วย สามารถเข้าออกวังได้ทั้งในฐานะผู้หญิงและผู้ชายจนเรียกว่าเป็นตากับหูได้เพคะ แล้วก็เป็นที่วางใจจากพระชายาและตระกูลซอซึ่งเป็นต้นกำเนิดขุนนางใหญ่ ในบรรดาลูกน้องที่พระองค์มี มีคนที่มีประโยชน์มากกว่าหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
ลองพิจารณาดูทีละอย่างแล้วนับเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ความจริงแล้วเรื่องหัวใจตัวเองถึงมินอาไม่พูดเขาก็จะตัดใจอยู่แล้ว และต่อให้ต้องตัดใจเพราะแพ้ก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือ มือที่เปลี่ยนมาจับตรงด้ามจับของชานยกขึ้นไปทางมินอาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน การฟันดาบของนางมินอาเป็นที่ยอมรับจากเขาคล้ายกับรยูฮา ดาบก็ทั้งเล็กและเบากว่า ต่อให้การเคลื่อนไหวร่างกายจะคล่องแคล่วและมีไหวพริบดี แต่ก็คงเทียบเขาไม่ได้
พระชายาใช้ผู้หญิงเช่นนี้ได้อย่างไร และตอนที่ความคิดนี้แล่นผ่านไปแล้วริมฝีปากของชานยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก็มองเห็นจุดอ่อนของดาบที่ทั้งเร็วและแม่นยำของมินอา ดาบของชานไม่พลาดโอกาสนั้นแล้วแทรกเข้าไปทั้งอย่างนั้น มินอาค่อยๆ ถอยไปเรื่อยจนหลังชิดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ สุดท้ายปลายดาบที่แทงไปด้านสีข้างของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นในสายตา ด้านข้างใบหน้าของมินอาที่หมุนตัวเพื่อป้องกันตัวเองมีแสงสะท้อนจากด้ามที่ปักอยู่บนต้นไม้ออกมาอย่างชัดเจน
“พลาดเสียแล้ว”
มินอายอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่พอใจ ชานเอาดาบออกมาแล้ววางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของหญิงสาว
“ข้าจะไม่ทำเรื่องให้พระชายาต้องตกอยู่ในความลำบากเพราะข้า อย่าลืมสัญญาล่ะ”
มินอาเม้มปากแน่นและเฝ้ามองเบื้องหลังของชานที่เดินกลับเข้าไป และบทสนทนาของพวกเขาก็ลอยเข้าหูของฮอนผู้ซึ่งถาดอาหารเปล่าเดินออกมา
* * *
“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ!”
ผ่านไปสามวัน วันที่ขบวนองค์รัชทายาทจะออกเดินทาง ราษฎรของเมืองนี้ต่างพากันออกมาหมอบตรงพื้นและเอ่ยสรรเสริญเพื่อส่งพวกเขาต่างจากตอนมา ทำไมจะไม่เป็นเช่นนั้น เหล่าครอบครัวที่ถูกส่งไปเป็นทาสแทนภาษีที่ไม่สามารถจ่ายได้ได้กลับมาอีกครั้ง และทรัพย์สินที่ถูกยึดไปเพราะการเรียกเก็บภาษีมากเกินไปก็ได้กลับคือมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นองค์รัชทายาทบอกว่า หากใครมีเรื่องทุกข์ใจถ้าไปที่จวนของเสนาบดีในเมืองหลวง เขาก็จะช่วยรับฟัง เหล่าชาวบ้านต่างพากันรู้สึกมั่นคงปลอดภัยราวกับพระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมา แค่ความสงบในฤดูใบไม้ผลิที่พวกเขาต้องการและกษัตริย์ปกครองอย่างเป็นธรรมแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“ขอบใจมาก เพราะเจ้าถึงช่วยเมืองหนึ่งไว้ได้”
พอออกมาจากหัวเมืองและมองไม่เห็นเหล่าชาวบ้านแล้ว ฮอนก็มองรยูฮาแล้วยิ้มกว้าง
“จะเป็นผลงานของหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ คนที่ทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำคือฝ่าบาทกับองค์ชายสอง หม่อมฉันแค่ตัดขาเจ้านั่นเองเพคะ”
รยูฮาค่อยๆ ตอบพร้อมกับรอยยิ้มเงียบๆ ชองโอผู้คอยอารักขาพวกเขา ถ้าว่ากันด้วยเรื่องความกล้าหาญก็ไม่แพ้ใคร แต่ว่าตอนนี้เขากำลังเหงื่อไหลไปตามแนวกระดูกสันหลัง พระชายาที่เหมือนจะไม่สามารถฆ่าได้แม้แต่แมลงวันสักตัว ใครจะไปรู้ว่าทรงโหดเ**้ยมเช่นนี้
ชานมองสีหน้าแปลกๆ ของเขาจากทางด้านข้าง แล้วเบนสายตาไปข้างหน้าก่อนจะพูดเสียงเบา
“ข่าวลือที่ว่าฝ่าบาทเสด็จแพร่สะพัดไปแล้ว เจ้าเมืองแต่ละเมืองคงพากันเครียดพ่ะย่ะค่ะ แค่มีบัญชีนี้ก็คงเอาผิดพวกเขาได้ไม่ยาก จะเสด็จกลับได้เร็วกว่าที่คิดพ่ะย่ะค่ะ”
สมุดบัญชีสามเล่ม สามคนถือเพื่อเตรียมพร้อมเผื่อไว้ ในบรรดานั้น ชานถือสมุดบัญชีควบคุมทรัพย์สินของจูเยฮึง การติดสินบนเก็บภาษีเป็นหนึ่งในความผิดร้ายแรง ผู้ที่อยู่ในสมุดบัญชีเล่มนี้จึงควรไปพบเจออย่างมาก แต่ว่าพอการย้ายสถานที่อย่างไม่มีหยุดพักจบลงและหมู่บ้านที่มาถึงตอนดวงจันทร์ลอยขึ้นบนฟ้ากลับดูมืดมน ถึงขนาดใบหน้าของเจ้าเมืองที่ออกมาต้อนรับก็ดูหม่นหมองจนแทบมองไม่เห็น
“นี่มันเป็นโรคติดต่องั้นรึ ทำไมบรรยากาศของหัวเมืองนี้ถึงได้…!”
น้ำเสียงของฮอนแทบจะเป็นการถอนหายใจ บ้านเรือนแต่ละหลังพังจนแทบไม่อาจบังลมหนาวได้ เหล่าร้านค้าที่ไม่มีสินค้าเลยสักชิ้นถูกปิดอยู่อย่างแน่นหนาราวกับไม่เคยเปิดตั้งแต่แรก แม้แต่คนสองสามคนที่นั่งหรือนอนอยู่แถวนั้นพอเห็นขบวนขององค์รัชทายาทที่ขี่ม้ามาก็หายเข้าไปซ่อนตัวในที่ที่อยู่ลึกเข้าไปมากที่สุดในบริเวณรอบๆ นั้น
แน่นอนว่าแถบเมืองหลวงก็มีความแตกต่างระหว่างความมั่งคั่งกับความยากจนข้นแค้นและมีผู้คนที่ยากลำบาก แต่ว่าตอนนี้ที่ฮอนเห็น ถ้าเทียบกับคนจนในที่แห่งนี้ ความยากจนที่เมืองหลวงก็ดูร่ำรวยไปเลย ที่แห่งนี้ที่ลมหนาวและหิมะมาเยือนก่อนใคร ได้แต่ปรารถนาให้ดวงอาทิตย์ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งยังเป็นที่ที่ดวงอาทิตย์สาดแสงไปไม่ถึง
“พอเข้าฤดูหนาวไม่มีของกินเหล่า พวกคนป่าก็จะเข้ามากวาดไปหมดพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะป้องกันอย่างดีที่สุดแล้วแต่กองกำลังทหารก็ขาดแคลน…”
ฮอนกายหน้าผากเพราะคำพูดของเจ้าเมืองที่ไม่สามารถพูดจนจบได้ เป็นช่วงเวลาที่ความจริงได้ปรากฏขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ชานบอกว่าเมืองนี้อยู่ห่างจากเขตแนวชายแดนออกมาอีกหน่อยสถานการณ์น่าจะดีกว่า เสียงร้องไห้ของเด็กๆ ที่ดังออกมาจากตรอกซอกซอยที่ขบวนผ่านยิ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจอันว้าวุ่นของฮอนเข้าไปอีก
“เสบียงอาหารที่สามารถช่วยพวกเขาได้ตอนนี้ล่ะ”
“ถ้าแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ลงบันทึกไว้ให้เสมอภาคกัน ก็มีเสบียงอาหารให้อยู่ได้อีกสิบวันพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่เสบียงอาหารที่อยู่ที่ที่ว่าการและในบ้านของกระหม่อมเองก็เอามาออกมาหมดแล้วพ่ะยะค่ะ”
เห็นชัดว่าคำที่เขาแสร้งบอกว่าเอาออกมาหมดแล้วมันไม่จริง แต่ไม่มีเวลาจะมาลงโทษให้เสียเวลา
“สิบวัน…”
ก่อนอื่นเลยฮอนเข้าไปที่ที่ว่าการทั้งที่ตกอยู่ในสภาพกลัดกลุ้ม โดยมีชานและรยูฮาขนาบข้าง ส่วนเจ้าเมืองนั้นนำทางอยู่ข้างหน้า
“ต้องจัดส่งเสบียงอาหารมาภายในสิบวัน ดูจากสถานการณ์ของเมืองนี้แล้ว เมืองใกล้เคียงก็ไม่น่าจะต่างกัน คงต้องส่งคนกลับไปเมืองหลวงแล้วนำเสบียงมา แต่ถ้าส่งกำลังคนไปขนส่งเสบียงก็จะไม่มีกองกำลังทหารคุ้มครองที่นี่ จะทำอย่างไรดีลองออกความคิดเห็นกันหน่อย”
สายตาอันน่าสงสัยของเจ้าเมืองมองปราดไปทางรยูฮา ต่อให้เป็นพระชายา แต่การที่สตรีนางหนึ่งที่ถึงบอกว่าเป็นลูกสาวของมหาเสนาบดีก็ตามมาปกครองที่แห่งหนึ่งและว่าราชการก็ไม่มีอะไรให้ถูกใจนัก ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่องค์รัชทายาทกำลังตรัสอย่างจริงจัง สายตาของหญิงสาวก็มองไปยังที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เสบียงอาหารที่ทรงตรัสว่าจำเป็นต้องไปหาจากที่ห่างไกลนั้น หากเดินทางข้ามไปอีกนิดอาจจะกองรวมกันอยู่เหมือนภูเขาก็ได้เพคะ”
ตอนนั้นเองที่ขนตายาวของรยูฮาค่อยๆ กะพริบช้าๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“อาหารชั้นเลิศเลยสินะพ่ะย่ะค่ะ”
ชานตอบรับอย่างยินดี พอเจ้าเมืองกีหันมองรยูฮาสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามมากขึ้น แม้แต่องค์ชายก็ทรงไว้ใจผู้หญิงคนนี้หรือ รยูฮารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ไม่สนใจและถามอย่างซื่อๆ
“เจ้าเมืองกี จากที่นี่ข้ามแดนไปถึงที่ที่เหล่าคนป่าอยู่ใช้เวลานานเท่าไหร่”
“หากควบม้าไปก็ไม่ถึงครึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีสิบวัน แค่ห้าวันก็เพียงพอแล้วเพคะฝ่าบาท”
ฮอนเข้าใจคำพูดของรยูฮาที่ตัดบททั้งหน้าและหลังในทันที และพยักหน้าตาม ตอนนั้นเองสายตาที่ดูนิ่งเฉยของรยูฮาก็ปราดมา
“เจ้าเมืองรับคำสั่งฝ่าบาทระดมกองกำลังทั้งหมด ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นหญิงหรือชายขอให้ทำงานได้ ทั้งสองพระองค์คงจะมอบงานที่ลำบากหน่อยให้ แล้วก็ทำสัญลักษณ์ให้พวกเขาตรงแนวชายแดนด้วย พอพวกเขาข้ามเส้นไป เราทั้งหมดจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร”