วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 7-7
ช่างน่าขอบใจเสียเหลือเกินที่ดูเหมือนว่าทหารนายหนึ่งดูออกถึงความตั้งใจของเขา ผู้ลอบสังหารจึงมีแรงฮึด เคลื่อนไหวมืออย่างตั้งใจ แต่ว่าก่อนจะเขียนได้ถึงครึ่ง น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาก็บาดคอเขา
“เปิดปากง่ายอย่างนั้นไม่ได้สิ เป็นคนไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
ภายใต้ความหวังอันดำมืด น้ำชะล้างข้อมูลที่ผู้ลอบสังหารใช้เลือดเขียนไปจนหมดจด ในคุกเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานอีกครั้ง ถึงขนาดต้องทิ้งชุดขาวที่เต็มไปด้วยเลือดไปหนึ่งชุด
“ตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
ในระหว่างที่ฮอนหลับไป รยูฮาส่ายหน้าให้กับคำพูดของชานที่นั่งอยู่ตรงข้าม นางไม่เปิดเผยความจริงที่ผู้ลอบสังหารอยากบอกเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างมาก ความจริงแล้วเบื้องหลังที่รู้นั้นไม่ใช่เบื้องหลังจริงๆ ผู้ลอบสังหารองค์รัชทายาทไม่มีทางจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ
“ถึงไม่อาจรู้เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือไม่ได้ตั้งใจจะปลงพระชนม์องค์รัชทายาทจริงๆ มิใช่หรือเพคะ”
“…เรื่องนั้นก็จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกจุดแปลกไปหมด ทั้งที่ช่วงเวลาที่ฮอนอยู่คนเดียวก็มีมากพอ แต่เลือกลอบสังหารตอนที่รยูฮาอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมีดมันสั้นเกินกว่าจะแทงไปที่ขั้วหัวใจได้ พิษที่กระจายอยู่ตรงนั้นก็มีปริมาณไม่มากพอทำให้ถึงแก่ความตาย
เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง เจ้าเมืองจึงใช้มือสังหาร แต่ทันทีที่แผนการล้มเหลว เขาก็แขวนคอตัวเอง นั่นเป็นเพราะความผิดที่ใหญ่กว่าทุจริตคือความผิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือสายเลือดราชวงค์เอาไว้ได้ เจ้าเมืองจะไม่รู้เลยหรือ หากองค์รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์ในที่ว่าการของตัวเอง ตัวเองก็อาจต้องโทษประหารชีวิตตามไปด้วย
“มันคือการเตือนเพคะ เป็นทั้งการเตือนองค์รัชทายาทและเป็นการเตือนหม่อมฉันด้วย”
รยูฮาพูดเสียงเบา ชานก็พยักหน้าราวกับเห็นด้วย
“จูเยฮึง องค์ชายมองว่าเป็นเรื่องที่เขาก่อหรือไม่เพคะ”
“ท่านก็รู้ความจริงจากหลักฐานที่พวกเราได้มาแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ จากนี้ไปพวกเราต้องระวังตัวกันให้มากขึ้น เพราะตัวท่านก็รู้ดีว่าคนที่ถูกเพ่งเล็งว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้คือใคร”
ตึก ตึก ชานมองดูปลายนิ้วของรยูฮาที่เคาะลงบนโต๊ะทำให้นึกอีกคนที่มีนิสัยแบบนี้
“…แล้วพระสนมเอกล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่ปรารถนาให้ฮอนหายไปมากกว่าใคร คนที่ปรารถนามาทั้งชีวิตว่าจะผลักฮอนออกไป แล้วให้ชานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน คนที่คลอดแล้วก็เลี้ยงชานมา
“ตอนนี้…มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพคะ ด้วยอาการบาดเจ็บองค์รัชทายาท ทำให้ต้องกลับไปพระราชวังอีกครั้ง ถึงจะตรวจตรามาได้หลายเมืองแล้ว แต่ก็ยังตรวจตราไม่ครบทั้งแนวเขตชายแนบ นับว่าปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ อีกอย่างถ้าหัวหน้าองครักษ์ต้องกลับพระราชวังไปก็คงไม่พ้นต้องได้รับโทษ จะไม่กลายเป็นว่าเสียบริวารที่ซื่อสัตย์ขององค์รัชทายาทไปหรือเพคะ”
ชานเงี่ยหูฟังคำพูดเบาๆ ของรยูฮาแล้วใช้มือลูบหน้า นางไม่ได้คิดต่างไปจากใจของเขาเลย ความจริงที่ว่าความคิดเขาเหมือนกับความคิดของรยูฮามันเต็มเติมในหัวใจ มันคือโรคร้ายแรง ไม่อาจควบคุมได้
“ขอเข้าไปนะเพคะ”
ตอนนี้เองมินอาผู้เย็นชาก็เข้ามายืนในห้อง หญิงสาวพยายามอย่างมากไม่ให้ชามยาสมุนไพรสีขาวที่วางอยู่บนถาดหก
“ไปรินยาสมุนไพรมาเพคะ หม่อมฉันเคี่ยวเอง”
“ขอบใจมาก เอามานี่มา”
รยูฮารับถ้วยยาสมุนไพรมาแล้วเดินไปที่เตียง หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหาร มินอาก็ระวังมากขึ้นแม้แต่น้ำแก้วเดียวนางก็เป็นคนไปตักและมาเคี่ยวยาเอง ยืนเฝ้าประตูทั้งเวลากลางวันกลางคืน ตรวจสอบทุกคนที่เดินผ่านไปมา เพราะนาง รยูฮาถึงวางใจได้อีกนิด แต่ยิ่งเวลาผ่านไปท่าทางที่ดูอิดโรยของมินอายิ่งทำให้มีแต่สงสาร
“ข้าจะถวายยาแล้วก็คอยดูแลอยู่ข้างๆ เจ้าไปพักเถอะ”
“ได้เวลาองค์ชายสองออกไปขานชื่อทหาร หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่ก่อนเพคะ”
“นี่เป็นคำสั่ง”
มินอาโค้งหัวลงครั้งหนึ่งโดยเก็บความไม่ชอบใจไว้และหมุนตัวออกไป ชานที่รู้ตัวว่าถึงเวลาขานชื่อทหารแล้วก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตู ระหว่างที่ปิดประตูลง เขาเห็นรยูฮาที่นั่งลงบนเตียงค่อยๆ ลูบไปที่ฮอนเพื่อปลุก เขาจึงพยายามทำหน้าให้ไร้ความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
“ลำบากเจ้าแย่เลย”
ชานที่เดินไปตามโถงทางเดินพูดขึ้น มินอาหันมองเขาครู่หนึ่งแล้วเบนสายตาไปเบื้องหน้า
“ไม่ใช่เรื่องลำบากหรอกเพคะ การช่วยพระชายาเป็นงานของหม่อมฉันอยู่แล้ว”
“ที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อองค์รัชทายาทหรอกหรือ”
“ช่วยเรื่องหัวใจพระชายาก็เป็นงานของหม่อมฉันเพคะ ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทสั่นคลอนอีกครั้ง พระชายาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะอย่างนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจจะถวายการคุ้มครองเองเพคะ”
นางดื้อดึงตั้งมั่นแน่วแน่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลลึกซึ้งเหมือนรยูฮามาก ชานคิดเช่นนั้นแล้วลูบลงบนหัวของมินอา แน่นอนว่าทำไปด้วยใจเอ็นดู แต่กลับหนีไม่พ้นถูกมินอาคว้าข้อมืออย่างอัตโนมัติ
“อึก!”
ชานขมวดคิ้วเนื่องจากการจู่โจมอันคาดไม่ถึงและส่งเสียงร้องเบาๆ มินอาตาเบิกกว้างกับสิ่งที่ทำลงไปอีกครั้ง
“หม่อมฉันเสียมารยาทอีกแล้วเพคะ มันติดเป็นนิสัย”
“นี่เรียกว่านิสัยหรือ”
เป็นนิสัยป้องกันตัวจากโฮจินที่มักจะเข้ามาใกล้เสมอ แต่ชานไม่มีทางได้รู้ ชานนึกสงสงสัยว่าเด็กคนนี้ใช้ชีวิตแบบไหนมา แต่มินอาเข้าใจว่าคำนั้นที่ชานถามย้ำอีกครั้งเป็นเพราะความผิดที่บังอาจจู่โจมพระราชโอรส นางจึงคุกเข่าหมอบลงตรงนั้น
“ลงโทษหม่อมเถิดเพคะ”
ชานกำข้อมือข้างที่เจ็บแน่น เขาหมดคำพูดไปชั่วขณะและมองลงไปยังมินอา และต่อมาตอนนั้นเอง
“ฮ่าๆ!”
เสียงหัวเราะที่ระเบิดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทำให้มินอามองชานอย่างมึนงง ชานหัวเราะจนตัวงอกับท่าทางแบบนั้นของมินอา จนผ่านไปสักพักใหญ่การหัวเราะจึงเงียบลงอย่างยากเย็น เขาลูบหัวมินอาอีกครั้งแต่คราวนี้ข้อมือไม่โดนจับแล้ว
“ทำไมเหมือนเจ้านายเจ้าขนาดนี้ ข้าไม่คิดลงโทษแม้แต่น้อย ลุกขึ้นเถอะ”
“อ้า อย่างนั้นหรือเพคะ”
มินอาปัดเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นราวกับไม่รู้ว่าคุกเข่าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นางมองไปทางชานอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วโค้งตัวลง
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปโปรดระวังเรื่องการเข้าใกล้ตัวหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเป็นคนของพระชายา นอกเหนือจากเรื่องของพระราชวังแล้วจะมาสัมผัสโดนตัวผู้ชายไม่ได้เพคะ”
ชานมองเบื้องหลังของมินอาผู้ทิ้งคำสุดท้ายไว้แล้วเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะยกยิ้ม แม้แต่สีหน้า การพูดการจาก็เหมือนกันราวกับพี่น้อง แต่ว่าในหัวของชานที่กำลังจะลบมินอาออกอย่างหมดจดในไม่ช้า กลับมีเสียงของฮอนที่ทำให้เขาทั้งดีใจและทรมานในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง
‘หากต้องมาตายก่อนได้เข้าหอกับเจ้า ต่อให้ตายไปข้าก็คงจากโลกนี้ไปไม่ได้’
คำพูดที่แอบได้ยินจากนอกประตูทำให้ชานเกิดความหวัง
พระชายายังไม่ได้เข้าหอ
“เจ้าว่าคนร้ายฆ่าตัวตายงั้นรึ มันทำได้อย่างไรกัน”
สายตาเฉียบแหลมราวกับคมมีดพุ่งไปที่ชองโอซึ่งกำลังกระสับกระส่าย
“ตั้งใจว่าจะเอาน้ำให้เลยปลดโซ่ตรวน แต่เขากลับกัดมือของทหารที่จับคางไว้แล้วก็กัดลิ้นตัวเอง ยกโทษให้กระหม่อมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
รยูฮาเม้มปากแน่น ยังไม่ทันล้วงข้อมูลออกมาได้เลยแต่ก็ไม่เสียดายที่นักโทษตาย แต่จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้สิ พอหลับตาภาพใบหน้าอันหม่นหมอง ดวงตาซีดเผือด และเลือดที่ไหลลงมาจากไหล่ของฮอนก็ปรากฏขึ้น ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นรยูฮาจะสะดุ้งตื่นในขณะนอน แล้วกัดฟันมุ่งหน้าไปที่คุก
“…ไม่ใช่ความผิดเจ้า ออกไปเถอะ”
พอปล่อยชองโอออกไปแล้ว ภาพของดาบที่ถูกว่างอยู่อย่างเรียบร้อยก็เข้ามาในดวงตาของรยูฮา วันที่จู่ๆ ก็ประกาศว่ารยูฮาจะได้เป็นพระชายาอย่างกะทันหัน ดาบของฮูหยินตระกูลจองก็ตกมาเป็นของรยูฮา
‘รยูฮา ต่อจากนี้ดาบเล่มนี้คือของเจ้า ใช้ดาบนี้ทำลายคนที่ขวางทางฮอน แล้วก็คุ้มครองเขา แน่นอนว่าทั้งร่างกาย จิตใจ ตำแหน่งของเขา รวมไปถึงราษฎรของเขา เจ้าทำได้หรือไม่’
‘เจ้าค่ะ ท่านแม่’
ดาบที่ตอนแรกยกด้วยสองมือก็ยังร้องเสียงโอดโอย พอฤดูกาลเปลี่ยนผันก็ค่อยๆ เบาขึ้น สามารถยกได้ด้วยสองมือ ดึงดาบออกมาแล้วก็กวัดแกว่ง จนในที่สุดก็สามารถถือไว้ได้ด้วยมือเดียวและโยนไปมาได้ นางผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจนดาบรวมเป็นหนึ่งกับร่างกาย
แต่ว่าพอถึงคราวจำเป็นจริงๆ การฝึกฝนนั้นกลับไม่ได้ฉายแสง หากระมัดระวังรอบข้างอีกสักนิด หากเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด หากไม่ละความสนใจไปจากสายตา ใบหน้าที่ถูกทำให้แดงและแขนที่โอบกอดตัวนางเอง…
ในขณะเดียวกันมินอาผู้ซึ่งเฝ้าประตูห้องที่ฮอนอยู่ราวกับสิ่งไม่มีชีวิตก็ว้าวุ่นภายในใจเช่นเดียวกัน ขันทีหนึ่งเดียวกำลังเดินทางมา ดังนั้นเรื่องจัดการเสื้อผ้าของฮอนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องสรงน้ำในวันนั้นจึงเป็นงานที่มินอาต้องทำ เพราะเสื้อผ้าขององค์รัชทายาท คนของพระราชวังเท่านั้นถึงจะจับต้องได้
สิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากออกไปจัดการกับเสื้อผ้าในระยะเวลาสั้นๆ ช่างน่าเศร้าใจนัก ภาพของเลือดที่สาดไปทั่วห้องบรรทมและเจ้านายที่เลือดท่วมตัวทรมานมินอาทั้งยามหลับยามตื่น แบบนี้ได้รับโทษเสียดีกว่า แต่ทั้งพระชายาและองค์รัชทายาทไม่มีใครถามหรือมีความคิดจะโทษนางเลย เพราะอย่างนั้นนางจึงลงโทษตัวเองด้วยการทรมานตัวเอง
“แล้วเจ้าจะได้นอนเมื่อไหร่กัน”