วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 7-8
ชานที่พาหมอเข้ามานั้น เห็นมินอาเข้าพอดีถึงกับคิ้วขมวดเป็นปม แก้มแดงระเรื่อที่เคยดูดีกลับซูบผอมลง กระดูกนูนขึ้นมาเพราะริมฝีปากที่เม้มแน่น ดูเหมือนว่าคนที่จำเป็นจะต้องให้หมอตรวจคงไม่ใช่ฮอนแต่คือมินอาต่างหาก ผ่านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแต่แทบจะไม่เห็นมินอาออกห่างจากหน้าประตูห้องของฮอนเลย อย่างดีก็พักนอนแค่เพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น
“หม่อมฉันนอนทุกครั้งที่ว่างเพคะ อย่าสนใจเลยเพคะ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
เมื่อสำรวจไปทั่วใบหน้านั้นทุกซอกทุกมุม ใบหน้าบูดบึ้งก็เข้ามาในสายตาของชาน จริงๆ แล้วเขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปใส่ใจ แต่ถึงอย่างไรสำหรับรยูฮาแล้วมินอาก็เป็นสาวใช้ที่นางหวงแหนมากที่สุด หากเกิดเรื่องอะไรกับหญิงสาวคนนี้ไม่อยากแม้แต่จะคิดเลยว่านางจะทรมานแค่ไหน
“งานอารักขาฝ่าบาทเป็นงานของหัวหน้าองครักษ์กับเหล่าทหาร ที่พาพวกเขามาก็เพราะอย่างนี้ เจ้ากลับไปดูแลพระชายาเถอะ”
“หม่อมฉันจะละเลายหน้าที่ในการดูแลพระชายาไปไม่ได้เพคะ อีกทั้งหัวหน้าองครักษ์ต้องดูแลการเข้าออกอาคารทั้งหมดของที่ว่าการ ส่วนเหล่าทหารก็เชื่อไม่ได้ ผู้ลอบฆ่าจะรู้ตำแหน่งขององค์รัชทายาทภายในวันเดียวที่มาถึงเลยหรือเพคะ หากไม่มีใครบอกก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพคะ”
มินอาผู้ซึ่งแย้งขึ้นมาเบนสายตากลับมาทางเดิมอีกครั้งแล้วเงียบลง
“เสด็จพี่ ล้มเลิกความตั้งใจเถอะ ข้าโน้มน้าวหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย”
ฮอนที่กำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาพูดขึ้นมาในห้อง ชานส่ายหน้าแล้วมองไปทางหมอที่อยู่ด้านหลัง
“ต้มยาสมุนไพรให้ที ใจใส่เป็นพิเศษด้วยเพราะเป็นของผู้หญิงกิน”
หลังจากร่างของชานหายเข้าไปในประตู ประตูบานนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง พอไออุ่นที่ออกมาห้องหายไปอากาศตรงโถงทางเดินก็ยิ่งทำให้มินอาหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม มินอาเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนที่ทำบ่อยๆ เวลาพยายามจะตั้งสติ แล้วกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง จ้องมองแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านเข้ามาตรงปลายโถงทางเดิน
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่ลากด้วยม้าสี่ตัวและหมอหลวงที่ถูกส่งมาจากพระราชวังก็มาถึง ด้วยความที่เป็นรถม้าที่รถเทียมม้าสี่ตัวเช่นนี้มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้ ฮอนจึงดื้อดึงไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แต่ต่อหน้าคำสั่งของกษัตริย์ ในที่สุดแล้วเขาจึงทำได้แค่ขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกเหมือนกับนั่งลงบนเบาะที่เต็มไปด้วยหนาม
“พระชายา ไม่ลำบากหรือ มานั่งด้วยกันสิ”
“อย่างที่ฝ่าบาททรงบอกนี่เป็นรถม้าที่มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้นะเพคะ หม่อมฉันนั่งไม่ได้หรอกเพคะ”
ฮอนเปิดหน้าต่างออกไปพูดกับรยูฮาแล้วก็เงียบปากลงเพราะคำตอบที่เหมือนกับดาบ พอขึ้นมานั่งบนนี้มันก็ทั้งสบายและอบอุ่นจึงคิดว่าถ้าให้รยูฮาขึ้นมานั่งแล้วทำดีด้วยคงได้จูบนางอีกสักครั้ง แบบนี้มันจะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ รยูฮาฝากเสียงผ่านสายลมไปยังฮอนที่ทำหน้าสลดอยู่อีกครั้ง
“พอกลับไปวังซึงกอนจะเล่นน้ำทุกคืนก็ได้ อย่าทรงน้อยใจไปเลยเพคะ”
“พูดจริงใช่หรือไม่ เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะ”
พอเห็นฮอนที่ดูสดใสขึ้นทันทีรยูฮาก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา ความจริงแล้วจะเข้าไปที่พักของพระชายา หรือจะเข้าที่พักของนางสนมล้วนเป็นการตัดสินใจขององค์รัชทายาท ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของที่พัก ท่าทางของฮอนที่ดูชอบใจกับคำที่บอกว่าให้มาที่วังซึงกอนได้เหมือนกับจะลืมแม้แต่ความจริงข้อนั้นไปดูใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย แม้มีคำพูดพร่ำเสียดสีแต่รยูฮาก็รู้เกี่ยวกับข่าวลือเหลวไหลที่ว่าฮอนเป็นพวกสำมะเลเทเมาหรือเป็นเมล็ดพันธ์กษัตริย์ทรราช
“หากฝ่าบาทจะเสด็จมา…”
“ข้าจะนำสุราไปด้วย”
ฮอนยกแขนข้างที่ไม่บาดเจ็บวางบนกรอบหน้าต่างแล้วเกยข้างลงบนนั้น เขาสบตากับรยูฮาแล้วยิ้มออกมา อันตรายอีกแล้ว รยูฮาถึงกับสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะ และพอต้องจัดการกับหัวใจที่ถูกทำให้หวั่นไหว นางจึงลบรอยยิ้มออกจากใบหน้าแล้วกลับมาทำหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
“อย่ายิ้มเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“ทำไม ไม่ชอบมองหรือ เห็นเจ้าชอบบอกว่าข้าหล่อเหลาอยู่เสมอนี่”
“เพราะว่าเป็นเช่นนั้นอย่างไรเล่าเพคะ หากใจหม่อมฉันสั่นคงช่วยเหลือฝ่าบาทลำบาก ช่วยระวังด้วยเพคะ”
“ใจสั่นหรือ จริงหรือ เพราะข้า?”
ไม่ได้ปรารถนาไปจนถึงขั้นถวิลหา ไม่สิ ความจริงแล้วปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอย่างมากแต่กลัวถูกปฏิเสธจึงไม่กล้าถาม จะไม่ให้ฮอนดีใจไปกับคำพูดที่ลอยมาอย่างคาดไม่ถึงได้หรือ แค่ได้ยินถึงคำว่า ‘หากใจสั่น’ ฮอนก็ยื่นแขนที่เคยเท้าคางอยู่ไปทางรยูฮา
“จับหน่อย”
“หม่อมฉันจับบังเ**ยนม้าอยู่เพคะ”
“ขนาดบนหลังม้ายังถือดาบถือกระบี่ได้เลย”
เล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นไปเรียนมาจากไหน รยูฮายิ้มแห้งอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วผละมือออกจากบังเ**ยนม้าก่อนจะวางลงบนมือของฮอนที่ยื่นออกมานอกหน้าต่าง และพอคิดว่าจะลองดึงมือนั้นดูสักนิดดีไหม
จุ๊บ
ริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสลงบนหลังมือของรยูฮาแล้วผละออก
“อะไรกันเพคะ”
“บอกอีกทีสิ ว่าใจสั่นหรือไม่”
ถ้าบอกว่าใจไม่สั่นก็เป็นเรื่องโกหก แต่เพราะไม่สามารถโกหกได้รยูฮาจึงเลือกจับบังเ**ยนม้าอีกครั้งแล้วเร่งความเร็วให้พ้นจากสายตาของฮอนแทนที่จะตอบ
* * *
“พระสนมเอก เห็นว่าองค์ชายสองเสด็จเข้าเมืองหลวงมาแล้วเพคะ”
ลมอุ่นเพียงเล็กน้อยพัดผ่านใบหน้าของพระสนมมุนผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเพียงครู่แล้วก็หายไป ใจอยากออกไปหาที่พระราชวังแต่ไม่อยากทำความเคารพพระมเหสีที่เกลียดชังจนรู้สึกอึดอัดราวกับจะอาเจียนออกมา ตอนไปส่งก็ไม่ได้ออกไปจะทำอย่างไรดี พระสนมมุนมองประตูที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
ข่าวสำคัญเรื่องขบวนเสด็จองค์รัชทายาทถูกส่งไปยังวังชังชุนอันเงียบสงบ ภายใต้ริ้วรอยตรงดวงตาของพระพันปีผู้ซึ่งถามไถ่ถึงหลานชายและหลานสะใภ้ส่องประกายด้วยความรู้สึกยินดีเพราะมีหวังจากข่าวที่ถูกส่งมา นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุลอบสังหารองค์รัชทายาท พระพันปีก็นอนไม่หลับด้วยความกังวล ทุกเช้ามืดจะลุกขึ้นมาอธิษฐาน ขอให้หลานชายมาถึงอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุใหญ่ด้วยร่างกายที่ไม่มีบาดแผล
“เตรียมพระกระยาหารเช้าที่องค์รัชทายาทจะเสวยพรุ่งนี้ให้ดี ถือเป็นงานใหญ่ของวังชังชุน”
“จะจัดเตรียมตามนั้นไม่ให้มีบกพร่องเลยเพคะ พระพันปี”
เตรียมพระกระยาหารเช้าให้องค์รัชทายาทหรือ ก่อนที่จะมีงานอภิเษกนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลย งานใหญ่ขององค์รัชทายาทที่รู้กันดีโดยทั่วไปคือในหนึ่งปีจะจัดขึ้นสักครั้งสองครั้งรวมทั้งวันประสูติด้วย ตระกูลของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ส่งหญิงสาวที่ถูกใจพระพันปีมากเข้ามาในพระราชวัง ถึงจะไม่ได้พูดแต่ท่าทางขององค์รัชทายาทที่มักจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระชายาก็เป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย ทั้งยังสายตาขององค์รัชทายาทยามทอดมองไปที่องค์ชายสองกับพระชายาซึ่งเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาบนหอสูง วันนั้นหัวใจของพระพันปีผู้เฝ้าดูหนุ่มสาวทั้งคู่ผ่านด้านหลังถ้วยชารู้สึกอบอุ่นเหมือนช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
ในเวลาเดียวกันนั้นเชื้อพระวงศ์แต่ละคนเข้าใจสถานการณ์และกำลังยุ่งวุ่นวาย ขบวนขององค์รัชทายาทที่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมากกว่าต้อนเดินทางออกไป และกำลังมุ่งหน้าสู่พระราชวัง
รถม้าที่ตามหลังรถม้าที่ฮอนนั่งมาอย่างสง่างามเป็นของรยูฮา หญิงสาวสวมชุดสีแดงซ้อนกันเป็นทบๆ แทนเสื้อไหมสีขาวนั่งอยู่ภายในนั้น ชานเองก็อยู่ในชุดเครื่องแบบที่ตัดเย็บด้วยไหมสีทองแทนชุดธรรมดาคุ้มครองอยู่ข้างๆ แต่ว่าดวงตาที่ต้องมองไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่รู้ทำไมถึงเบนไปหาใบหน้าด้านข้างของรยูฮาที่โผล่พ้นออกมาทางมู่ลี่เล็กน้อย
งดงาม ลำคอส่องประกายมันวาวภายใต้ปรอยผมที่ตกลงมาไม่กี่ช่อ บนหัวที่ถูกตกแต่งด้วยหงส์สีทองซึ่งรองลงมาจากพระพันปีก็อนุญาตให้แค่พระชายาขององค์รัชทายาทเท่านั้นที่ใส่ได้ ปีกของมันสยายและสั่นไหว หงส์นั้นไม่ได้บินสูงขึ้นมา มันเพียงแต่ทำให้ใจของชานที่รู้ดีว่ารยูฮาคือพระชายาขององค์รัชทายาทเจ็บปวด นอกจากเขากับองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่มีชายหนุ่มคนไหนได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างๆ หญิงสาวเลย ความจริงนั้นมันหนักหน่วงและทรมานชาน
“พระสนม คราวนี้ได้เวลากลับแล้วเพคะ”
ภายในฝูงชนที่มารวมตัวกันเหมือนฝูงมด หญิงคนหนึ่งกระซิบบอกหญิงอีกคนที่ใบหน้าถูกปิดบังไว้อย่างระมัดระวัง
“อีกสักหน่อย”
หญิงผู้กระซิบบอกย่ำเท้าไปมา อาศัยช่วงชุลมุนออกมาเตรียมต้อนรับองค์รัชทายาท แต่นางต้องกลับก่อนที่ขบวนนี้จะเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง แต่สายตาของพระสนมมุนที่ออกมาต้อนรับการกลับมาของชานโดยไม่เผชิญหน้ากับพระมเหสีจับจ้องอยู่ที่ลูกชายผู้ซึ่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างามและด้านข้างของพระชายาผู้ซึ่งลูกชายของตนเฝ้ามองอย่างห่วงใย
“…เข้าใจแล้ว”
“คะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”