วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 8-3
งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ซึ่งจัดขึ้นราวๆ ช่วงนี้ของทุกปีและมีเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดพร้อมทั้งข้าราชบริพารเข้าร่วมเป็นหนึ่งในงานที่เขารอคอยมากที่สุด หากได้ออกจากห้องทรงงาน ควบม้าออกไปแล้วปักบ้องไม้ไผ่ลงบนหัวใจของกวาง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวของตัวเองในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พระราชาของประเทศ เสียงของขันทีร่างบอบบางดังขึ้นปลุกพระราชาขึ้นมาจากจินตนาการที่ทำให้อารมณ์ดี
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“รัชทายาท? ให้เข้ามาได้”
ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ดี แต่ว่าอาณาจักรมันกว้างใหญ่ งานของพระราชาต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่มีจบสิ้น หากไม่ใช่การเข้ามาถามไถ่สุขภาพเป็นบางครั้งคราวก็ไม่ง่ายนักที่จะได้เจอหน้า การที่โอรสของตนมาหาถึงห้องทรงงานเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องใหญ่โตหรอกหรือ พระราชาใจหายขึ้นมาทันที แน่นอนว่าก่อนจะมาเป็นพระราชา เขาก็คือพ่อของสักคนมาก่อน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“นั่งก่อน เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นรึ”
ดูจากที่ผิวสะอาดและสีหน้าสดใสคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ตามที่เป็นกังวล พระราชาผู้ซึ่งวางใจได้นิดหน่อยยิ้มออกมาแล้วหัวเราะ
“กระหม่อมอยากพบจึงมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหัวเราะที่พยายามอดกลั้นกับท่าทีเสแสร้งของลูกชายคนสุดท้องระเบิดออกมา เขาไม่ใช่ลูกชายที่จะอยากเจอหน้าพ่อแล้วมาถึงห้องทรงงาน ต้องมีเรื่องขอร้องบางอย่างเป็นแน่ถึงมาหา
“อะไร ไหนพูดมาสิ คราวนี้เจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าได้เป็นอย่างดี เข้าจะให้รางวัลเจ้าสักหน่อย”
ฮอนแอบยิ้มเงียบๆ กับคำพูดที่เหมือนว่าจะอ่านใจตัวเขาเองออก คราวนี้คงกู้หน้าของรยูฮาได้
“เมื่อครู่นี้กระหม่อมเห็นใต้เท้าเยบูออซา[1]ออกไป หรือว่ามาปรึกษาหารือเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์กันพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว”
ถ้าเป็นเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์ก็ย่อมเป็นเรื่องดี ใบหน้าของพระราชาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“ล่าสัตว์คราวนี้กระหม่อมอยากพาพระชายาไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พระราชาเอียงคอเพราะคำขอร้องที่เหนือความคาดหมาย สถานภาพของหญิงสาวไม่ได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าสามารถให้สืบทอดตระกูลได้เลย หากต้องการจะออกไปล่าสัตว์ไม่ว่าจะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือพระราชินีก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย แต่ที่เขาเอียงคอสงสัยเพราะมาถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครเอ่ยออกมาเลยว่าจะขอออกไปล่าสัตว์ด้วย หรืออาจจะเคยมีนางสนมสักสองคนหรือไม่นะที่ตามออกไปด้วยเพราะหวังจะได้รับความโปรดปรานจากพระราชาเป็นพิเศษ
“ไม่มีอะไรที่ไม่ได้หรอกนะ แต่ด้วยร่างกายของผู้หญิงเช่นนั้นจะขี่ม้าได้หรือ”
“นางเคยเรียนขี่ม้ามาก่อน แล้วก็บอกว่าเคยจับสัตว์มาแล้วบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นบอกว่าถ้าเป็นเสือก็เคยจับเสือตัวเล็กมาแล้ว ฮอนคิดว่าไม่ใช่คำโกหก ฮอนไม่สามารถจับใจความคำพูดของพระราชาที่เอ่ยพึมพำอย่างใจลอยได้
“เหมือนกันกับ…”
“ทรงตรัสว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไร ข้าจะให้ขุนนางเตรียมที่เพิ่มให้อีกหนึ่ง เตรียมตัวมาก็แล้วกัน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อนจึงกังวลเล็กน้อย แต่ก็โปรดให้ทำโดยง่ายดายอย่างคาดไม่ถึง คราวนี้ก็จะได้เจอเหยี่ยวชื่อคยอกรังที่รยูฮาเลี้ยงไว้แล้วสินะ ประตูเบื้องหลังของฮอนที่หันหลังกลับออกไปถูกปิดลง พระราชาเบนสายตาไปยังม้วนกระดาษที่ต้องจัดการวันนี้ แต่ก็ไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย
“คราวนี้ฝ่ายรัชทายาทคงชนะสินะ น่าเสียดาย”
ดวงตาของพระราชาที่ยกยิ้มขึ้นมีความคิดถึงเล็กน้อยเข้ามาปะปน แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่อยู่ภายในจิตใจของพระราชาเท่านั้น ฮอนผู้ไม่มีทางรู้ว่าพระราชาคิดอะไรอยู่ หอบข่าวดีมุ่งหน้าไปยังวังซึงกอน
“พระชายา พระชายา!”
ถ้าเป็นปกติ หากตะโกนเรียกพระชายาเช่นนี้ฮอนคงโดนทำโทษไปแล้ว แต่วันนี้รยูฮาไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความจริงแล้วคนที่ส่งฮอนไปห้องทรงงานก็คือหญิงสาว
“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
การแข่งขันล่าสัตว์ของวังหลวงเป็นงานที่แค่เคยได้ยินจากท่านพ่อผู้ซึ่งเข้าร่วมทุกปี รยูฮาผู้ซึ่งชื่นชอบการล่าสัตว์จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน สายตาของหญิงสาวที่ถึงขั้นกลืนน้ำลายเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ฮอนเห็นอย่างนั้นแล้วก็ทิ้งความคิดที่จะบอกข่าวดีโดยเร็ว เขายกยิ้มก่อนจะโน้มตัวลงไปเพื่อให้สายตาของตนเองอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของรยูฮา
“เจ้าจะให้ข้าบอกโดยที่เจ้าไม่ตอบแทนสิ่งใดเลยหรือ ตรงนี้ ตรง…อื้อ!”
ก่อนที่จะพูดจบ ริมฝีปากที่เคยสัมผัสลงเบาๆ อย่างหยอกล้อก็ถูกกลืนกินเข้าไปในริมฝีปากของรยูฮา มันใกล้เคียงกับกระแทกริมฝีปากลงไปมากกว่าประกบปาก รยูฮาจับใบหน้าของฮอนไว้แล้วควานเข้าไปในปาก จากนั้นนางก็ปล่อยแล้วเช็ดริมฝีปากด้วยแขนเสื้อ แม้จะเป็นเวลาไม่นานแต่ก็ใบหน้าของฮอนก็เต็มไปด้วยความสบายใจ
“เฮ้อ จริงๆ เลย”
“คราวนี้ก็บอกมาได้แล้วเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้รับอนุญาตแล้ว ในสามวันนี้ พวกเรามาจับสัตว์ให้เต็มที่กันเถอะ”
“จริงหรือ? จริงหรือ? จริงหรือเพคะ”
หน้าของรยูฮาบานกว่าตอนดื่มเหล้าเสียอีก ฮอนแปลกใจกับความจริงข้อนั้น ถึงจะดูสวยแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่เงียบๆ
“ตอนข้ามาหาก็ช่วยยิ้มแบบนี้ให้ด้วยสิ”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพคะ”
“ทำไม”
“ก็หม่อมฉันมองฝ่าบาทอยู่นี่เพคะ”
รยูฮายกยิ้มอย่างหยอกล้อ ก่อนที่หญิงสาวจะหยอกเย้าฮอนต่อ เขาก็ได้แต่รู้สึกประหม่าเพราะสีหน้าที่นางทำประจำมันต่างออกไป อีกทั้งยังรู้สึกถึงบางอย่างนุ่มนิ่มบนฝ่ามือที่รยูฮาคว้าไปจับอย่างรวดเร็ว
“ตรงนี้มันเต้นแรงเพคะ จะยิ้มได้อย่างไร”
“พระชายา!”
ฮอนตกใจรีบดึงมือออกแล้วซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ ตอนนี้สิ่งที่เต้นแรงคือหัวใจของเขาต่างหาก เลือดร้อนไหลเวียนไปทั่วร่างในคราวเดียว ส่วนใบหน้าก็แดงเสียยิ่งกว่าอาทิตย์อัสดงที่ส่องสว่างข้างนอก
“พระชายา…ช่างมีความสามารถในการทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ…เฮ้อ”
เขาพึมพำอย่างสับสนแล้วลูบหน้าขึ้นลงไปมา แต่ว่าร่องรอยสีแดงก็ยังไม่หายไป อีกแล้ว พังหมดอีกแล้ว ไม่อาจจะรู้ได้ว่าทำไมถูกโจมตีอยู่ทุกครั้งไป ฮอนทำใจให้สงบลงแล้วหมุนตัวอย่างกะทันหันเอื้อมมือไปแตะประตู
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“เตรียมที่นอน”
ดูท่าแล้วฮอนคงตกใจมาก รยูฮาคิดว่าฮอนขุ่นเคืองใจจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วลูบลงบนหลัง
“จะไปบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“วันนี้ข้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่”
เฮ้อ ฮอนหันกลับไปอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วดึงรยูฮาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น พอร่างกายแนบชิดกันจนลมไม่สามารถพัดผ่านไปได้ รยูฮาถึงรู้สาเหตุที่เขาพยายามจะเลี่ยงออกไป ข้างใบหูของหญิงสาวที่พยายามหลบซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำในอ้อมกอดเขา บางทีก็เหมือนได้ยินเสียงกระซิบของความเสียใจ บางทีก็ได้ยินเหมือนเสียงกระซิบหอมหวานไหลเข้ามา
“นอนหลับให้สบายเถอะ ถึงข้าอาจจะลำบากหน่อย”
คล้อยหลังเสียงปิดประตู ความค้างคาที่ฮอนทิ้งไว้ก็ขาดผึ่งแล้วร่วงลง รยูฮาทิ้งตัวลงนั่งราวกับโลกถล่มลง แล้วซบใบหน้าลงตรงหัวเข่า หลังจากนั้นมินอาก็เข้ามาข้างในบอกให้นอนแล้วยืนนิ่งอยู่
“ทำไมเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“จะบ้าตาย มินอา”
ท่าทางของรยูฮาที่พูดพึมพำในขณะที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาดูไม่คุ้นเคยราวกับเป็นคนอื่น มินอาเข้าไปนั่งตรงข้ามแล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตตรงนั้นตรงนี้ใกล้ๆ ติ่งหูของรยูฮาที่โผล่พ้นเส้นผมที่ปรกลงมาอย่างกระจัดกระจายเป็นสีแดงก่ำราวกับลูกพลับที่ห้อยอยู่บนปลายกิ่ง
“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือเพคะ”
รยูฮารู้สึกประหม่าแล้วก็เขิน มันเป็นคำถามที่ถามออกมาเพราะตอนแรกไม่คิดว่า เพราะความรู้สึกเช่นนั้นนางจึงอยู่ในอาการแบบนี้ ถึงมินอาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ทำให้ใจที่เต้นโครมครามของรยูฮาสงบลงได้และสามารถเคลื่อนที่จากตรงพื้นไปยังเตียงนอนได้
“ใจเย็นลงหน่อยเถอะเพคะ อย่าโมโหมาก”
“คงเย็นลงแหละ เฮ้อ ข้าจะทำอย่างไรดี คือ…เฮ้อ”
จะบ้าตาย ทำอย่างไรดี รยูฮาหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดสองคำนี้ซ้ำไปมาจนมินอาส่ายหน้าแล้วออกไป และก็เข้าสู้เช้าวันใหม่ นางนอนดึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำกระซิบบอกที่ฮอนทิ้งไว้ข้างใบหูวนเวียนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน จนพระอาทิตย์ขึ้นถึงได้รู้สึกตัวว่าเป็นความฝัน แน่นอนว่าฮอนผู้ซึ่งเดินกลับไปตามทางแคบๆ ก็มีอาการเช่นเดียวกัน
* * *
[1] เยบูออซา คำเรียกขุนนางที่ดูแลเรื่องงานราชประเพณีของเกาหลีในสมัยก่อน