วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 8-4
งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ทั้งพระราชาและรยูฮาตั้งหน้าตั้งตารอ ในที่สุดก็มาถึง ก่อนที่ดวงดาวจะหายไปยามรุ่งสาง มินอาที่ออกไปข้างนอกก็ถือกรงนกขนาดใหญ่กลับมา รยูฮารอและมองไปทางนอกหน้าต่างอย่างกระวนกระวายใจ นางต้อนรับมินอาด้วยรอยยิ้มสดใส ที่ถูกคือนางยิ้มรับเหยี่ยวที่อยู่ในกรงที่มินอาถือมา
“คยอกรัง ไม่คิดถึงพี่สาวคนนี้บ้างเลยรึ”
เป็นเหยี่ยวตัวเล็กที่มีปีกสีน้ำตาลและหัวสีขาว แต่สายตไม่แพ้เหยี่ยวตัวใหญ่เลย รยูฮาเอาเหยี่ยวออกมาแล้วจับมันนั่งลงตรงปลอกแขน ก่อนจะลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นท่าทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดูราวกับทำกับเด็กน้อย
“พระชายา หม่อมฉันเพิ่งเคยเห็นเหยี่ยวเป็นครั้งแรกเพคะ”
“สวยมากเลยเพคะ พระชายา”
เหล่านางในมารุมล้อมรยูฮาไว้อีกครั้งเพื่อชมคยอกรัง แต่ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือไปจับ ฮอนที่เปลี่ยนใส่ชุดล่าสัตว์ตั้งแต่เช้ามืดและมาหาที่วังซึงกอนเห็นเหยี่ยวตัวน่ารักก็ยกยิ้มขึ้น
“เจ้าตัวน้อยนี่คืออะไรกัน นกพิราบสื่อสารงั้นหรือ”
“อย่าได้ดูถูกไปเชียวนะเพคะ เหยี่ยวตัวไหนในพระราชวังก็ไม่ฉลาดไปกว่าคยอกรังหรอกเพคะ”
ท่าทางของหญิงสาวที่บอกเช่นนั้นพร้อมกับสบตาคยอกรังไปด้วยช่างดูอ่อนโยน ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเขาหึงหวงเหยี่ยวหรือนี่ ฮอนรู้สึกเวทนาตัวเอง เคาะนิ้วลงบนกรงนกแล้วบอกให้รีบเก็บมันกลับเข้าไปโดยเร็ว
“รีบเก็บมันแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
“ฝ่าบาทออกไปก่อนถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เพคะ”
“ไม่เอา ครั้งที่แล้วพระชายาก็ยัง…โอ๊ย”
ในที่สุดรยูฮาก็หลบสายตาของเหล่านางในแล้วหยิกลงบนต้นขาของฮอน ฮอนถือกรงนกและถูกไล่ออกไปอย่างหน้าสลด ก่อนจะบ่นพึมพำหาเรื่องเหยี่ยว
“เจ้าของแกโหดร้ายจริงๆ…ใช่ไหมเล่า”
“…”
“เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ จะมารักษาระยะห่างอะไรกัน ไหนๆ ก็เห็นมาแล้ว”
“…”
ถึงไม่ได้พูดแต่รู้สึกเหมือนกับว่าเหยี่ยวส่ายหน้า ฮอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและแสดงความไม่พอใจออกมา
“คยอกรัง นี่แกเข้าข้างเจ้าของหรือ”
“…อิๆ”
ไม่ใช่เหยี่ยวที่หัวเราะ ฮอนหันไปตามเสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาและเจอเข้ากับนางในคนหนึ่งที่ก้มหมอบลงบนพื้น
“เจ้าหัวเราะรึ”
“ประทานโทษตายหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
กล้าหัวเราะเยาะองค์รัชทายาท ต่อให้หัวหลุดออกจากบ่าตรงนี้ก็ไม่มีคำจะพูด ฮอนเริ่มแหย่นางโดยย่อตัวลงข้างๆ แล้วมองไปยังหญิงสาว ยอนฮวายิ่งก้มหน้ามุดลงไปบนพื้นอีก
“เด็กยกชาของพระชายานี่เอง ใช่หรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันยกถวายเองเพคะ”
“เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ยอน ยอนฮวาเพคะ”
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความกลัวตอนนี้มีกระทั่งน้ำตาไหลออกมาซึมลงไปบนพื้นไม้ เขาแค่ลองแหย่ดูเพราะน่าแกล้งเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงขั้นร้องไห้เช่นนี้ ฮอนเริ่มรู้สึกผิดและคิดว่าควรเลิกล้อเล่นได้แล้วก่อนจะตบลงบ่าของยอนฮวาเบาๆ
“จะมาฆ่าทิ้งเพราะหัวเราะได้อย่างไรกัน ความจริงข้าก็กลั้นขำตัวเองอยู่ พื้นมันเย็นลุกขึ้นเถอะ”
เป็นคำพูดที่อ่อนโยนเหนือความคาดหมาย ในสายตาของยอนฮวาซึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเจอเข้ากับใบหน้าที่กำลังกลั้นยิ้มอย่างหยอกล้อ ยอนฮวาตกใจจนสะอึกแทน
“อึก อึก!”
ตอนแรกว่าจะไม่ล้อเล่นต่อแล้ว แต่ท่าทางของนางในที่กำลังสะอึกในขณะที่มีหยดน้ำตาอยู่ตรงหางตาก็ดูน่าสนุกดี ฮอนระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน ตอนนั้นเองที่รยูฮาเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมาตรงโถงทางเดิน ก่อนจะมองยอนฮวากับฮอนสลับกันไปมา
“ทำอะไรอยู่หรือเพคะ ยอนฮวา เจ้าร้องไห้ทำไม”
“หม่อม หม่อมฉัน อึก! หัว…หัวเราะต่อหน้าฝ่าบาท…อึก!”
รยูฮาก็หัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นอีก เพราะเป็นน้องเล็กที่น่ารักอยู่ตลอดจึงอดไม่ได้ที่จะทั้งสงสารแล้วก็นึกขำ
“ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วเพคะ ฝ่าบาท นางยังเด็กอยู่ อย่าล้อเล่นสิเพคะ”
“ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ ขอโทษด้วย”
ฮอนยอมรับผิดอย่างอ่อนโยนแล้วขอโทษอย่างว่าง่าย เขาตบเบาๆ ลงบนไหล่ของยอนฮวาสองครั้งราวกับรู้สึกผิดจริงๆ องค์รัชทายาทล้อเล่นกับคนในวังแล้วก็ขอโทษหรือนี่ ยอนฮวาตาเบิกกว้างกับเรื่องไม่น่าเชื่อแล้วยืนงง ระหว่างนั้นเองรยูฮาก็ลูบหัวของยอนฮวาแล้วเดินเคียงคู่ฮอนออกจากวังไป
“ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็เป็นม้าพันธุ์ดีนะเพคะ”
รยูฮามองม้าสีดำที่กำลังรอฮอนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาชื่นชม ตรงขนที่เรียบและเป็นมันหารอยด่างไม่เจอเลยสักที่ ดวงตาก็มีสีดำและเด่นชัดเหมือนขน นางถูกใจอยากขี่แต่รู้ดีว่าเป็นม้าที่ฮอนหวงมากจึงไม่ทำอย่างนั้น
“เพราะพระราชาทรงเลือกให้เองเลย เจ้านี่ก็ฉลาดเหมือนเหยี่ยวของพระชายา”
ฮอนยกยิ้มแล้วชมคยอกรังกลับไป ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงสถานที่ล่าสัตว์พร้อมกับเหล่าองครักษ์ แสงแดดยามเช้าก็เริ่มส่องสว่างแล้วและกำลังทำให้อากาศที่เย็นยะเยือกอุ่นขึ้น ขณะที่การถวายความเคารพถูกลดขั้นตอนลงให้เข้ากับสถานที่ ชานก็เข้ามาใกล้แล้วโค้งคำนับ
“พระชายามาล่าสัตว์ด้วยหรือนี่ น่าตกใจมากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงขนาดตกใจเลยหรือเพคะ”
รยูฮายิ้มหวานแล้วเอาคยอกรังออกจากกรงมาเกาะไว้ที่แขน เหล่าขุนนางที่เอาเหยี่ยวมามีอยู่สองสามคน แต่ในบรรดาเหยี่ยวเหล่านั้น เหยี่ยวของนางกลับตัวเล็กที่สุด ใบหน้าของเหล่าขุนนางที่เห็นเช่นนั้นคล้ายกับมีรอยยิ้มเยาะประดับบนใบหน้า
“จะใช้เหยี่ยวตัวเล็กนี้ล่าสัตว์หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชานยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวสีขาวของคยอกรังราวกับจะบอกว่าน่ารัก แต่คยอกรังกลับกระพือปีกอย่างรุนแรงและจิกลงบนมือนั้น จนเขาต้องผละออก
“ตัวเล็กแต่ดุแฮะ”
“แปลกจริง คยอกรังไม่จู่โจมคน องค์ชายไม่ได้ไปล้อว่ามันตัวเล็กใช่ไหมเพคะ”
“นั้นสิ เมื่อกี้ข้าก็จับตัวมันไปไม่ใช่หรือ?”
“คยอกรัง? เหยี่ยวตัวนี้ชื่อคยอกรังหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง ชานหวนคิดพลางขมวดคิ้ว เป็นชื่อที่เคยแอบได้ยินข้างล่างต้นไม้ตอนไล่ตามนางสนมขององค์รัชทายาทเมื่อหลายเดือนก่อน หรือว่าชื่อที่พูดถึงในตอนนั้นคือเหยี่ยว ชานคาดเดาในใจแล้วยกยิ้ม
“ที่เสด็จพี่ได้ยินคือตัวนี้ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นข้าไล่ตามมินอาไปแล้วลองถามเรื่องนี้กับนาง”
ชานหันไปถามมินอาด้วยสายตา มินอาพยักหน้าตอบว่าใช่ ตอนนั้นพอดีเสียงกลองที่บอกให้รู้ว่าพระราชาเสด็จมาถึงแล้วก็ดังขึ้น บทสนทนาจึงยุติลง ทุกคนมารวมกันแล้วโค้งคำนับไปทางเดียวกัน พระราชาที่ปรากฏตัวในชุดล่าสัตว์ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมาดูสดใสอย่างมาก
“เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เข้าร่วมในวันนี้ฟังให้ดี การแข่งขันล่าสัตว์คราวนี้จะแบ่งออกเป็นสามฝ่ายคือมูยองวัง องค์รัชทายาท แล้วก็ข้า แล้วจะแบ่งว่าใครอยู่ทีมใดด้วยการจับฉลาก เมื่อล่าสัตว์เสร็จจะนำสัตว์มารวมกัน ฝ่ายที่จับสัตว์ใหญ่และได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ต้องรวมเงินกันเลี้ยงฝ่ายที่ชนะจนอิ่มหนำสำราญ แล้วก็คนที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุดข้ามีสุรากับรางวัลใหญ่ให้ด้วย แต่นอกเหนือจากการแพ้ชนะแล้ว ข้าอยากให้ทุกคนสนุกและทำให้เต็มที่ที่สุด เริ่มได้!”
กล่องที่มีรูขนาดหนึ่งมือล้วงเข้าไปได้ถูกวนไปตามผู้คน ตรงมือที่ล้วงเข้าไปในกล่องแล้วยกออกมามีทั้งความสุขและความเศร้าตามแต่สีที่ติดอยู่ คนที่ได้อยู่ฝ่ายสีแดงของพระราชากับฝ่ายสีน้ำเงินขององค์ชายสองต่างตะโกนโห่ร้องยินดี แต่ฝ่ายสีขาวขององค์รัชทายาทกลับพากันเสียใจ
องค์รัชทายาทผู้ซึ่งทำคะแนนเพิ่มสูงขึ้นทุกปีบาดเจ็บตรงหัวไหล่และไม่ได้สะพายแม้แต่ธนูไว้ รวมไปถึงพระชายาที่อยู่ข้างๆ เหมือนกิ่งหลิวก็ไม่ได้ห้อยไว้ จำนวนของคนที่เข้ามาถูกกำหนดไว้แน่ชัด หมายความว่ายกเว้นทั้งคู่คนที่เหลือต้องจับมาให้ได้มากกว่านั้น
“ดูเหมือนว่าท่านขุนนางจะไม่ชอบใจที่ได้อยู่ฝ่ายข้า”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ฝ่าบาท!”
ฝ่ายอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะราวกับสะใจ เรื่องเงินนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่การโดนหัวเราะเยาะในงานเลี้ยงนั้นแย่ยิ่งกว่า ก่อนที่องค์รัชทายาทจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นการบอกว่าให้เริ่มออกเดินทางได้
“ย๊า!”