วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 8-5
เสียงควบเท้าม้าและผู้คนหายไปในชั่วพริบตา ฮอนและรยูฮาที่เฝ้าดูเบื้องหลังของพวกเขาอย่างนิ่งเฉยจึงเริ่มควบม้าไปบ้าง มินอาที่อยู่ด้านข้างและเหล่าทหารรักษาความปลอดภัยจึงตามทั้งคู่ไป
“เห็นคนที่จับได้สีขาวใช่หรือไม่ หน้าตาดูไม่ได้เลย”
พอฮอนพูดขึ้นอย่างร่าเริง รยูฮาก็ยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้
“คอยดูเถอะเพคะ พวกนั้นได้อ้าปากค้างแน่ ลูกธนูเตรียมมาเพียงพอใช่หรือไม่เพคะ”
“แน่นอน มินอาคงเหนื่อยมากทีเดียว”
คยอกรังที่ถูกส่งขึ้นไปบินวนเป็นวงกลมบนท้องฟ้าแจ่มใส แล้วโฉบลงบนพื้นดินเหมือนฟ้าผ่า ในขณะเดียวกันเสียงร้องคร่ำครวญของเหล่าสัตว์ป่าก็ดังขึ้นในป่า
“ตามไป!”
เหล่าทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตีฆ้องเล็กขึ้นพร้อมกัน หมูป่าที่ถูกจะงอยปากแหลมคมจิกลงกรีดร้องอย่างไร้สติ และพอได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งตรงข้ามก็วิ่งไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ แต่ว่าลูกธนูเล็กก็ปักลงตรงขาหน้าอย่างแม่นยำ จากนั้นลูกธนูขนาดใหญ่ก็เจาะทะลุตรงต้นคอหนา ทำให้มันล้มลงบนพื้น
“ว้าว!”
“จับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารสองนายวิ่งไปพร้อมเสียงโห่ร้องยินดี ส่วนลมหายใจของเจ้าหมูที่หอบฮักๆ ก็สิ้นลง มันคือหมูป่าที่ดูแล้วขนาดตัวของมันประมาณหนึ่งคนโอบ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวสำหรับสัตว์ตัวแรกที่ล่าได้
“เวลาสั้นๆ เช่นนี้ถือว่าไม่เลวเลยเพคะ”
ถึงจะเป็นน้ำเสียงแหบแห้งไร้รอยยิ้มแต่ก็คือคำชม ฮอนยักไหล่พลางยกแขนเข้าโอบไหล่ของรยูฮาและพยายามจะจุมพิตลงบนหน้าผากของนาง แต่ว่ารยูฮาหลบไปทางด้านหลัง ริมฝีปากนั้นจึงค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าสงสาร
“คนมองเยอะเพคะ รักษาหน้าตาด้วย”
“เย็นชาเหลือเกิน”
แทนที่จะตอบ รยูฮากลับหยิบอาหารที่อยู่ในกระเป๋าห้อยข้างอานม้าออกมาแล้วโยนขึ้นสูง ท่าทางของคยอกรังที่บินโฉบเข้ามารับแล้วนั่งลงทำให้เหล่าทหารพากันอุทานออกมา
“เจ้าตัวเล็กพลังเหลือล้นมากพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
“เหยี่ยวจับหมูป่าได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮอนเองก็ยื่นแขนไปทางคยอกรังด้วยใจที่นึกอิจฉา เหยี่ยวตัวเล็กหลบเขาเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของรยูฮา แล้วหันไปมองทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“เย็นชาเหมือนเจ้าของไม่มีผิด”
กลับพระราชวังไปต้องหาซื้อเหยี่ยวล่าสัตว์ฉลาดๆ สักตัวแล้วสิ ฮอนตั้งใจเช่นนั้นแล้วเอ่ยปากกับรยูฮา
“พระชายา มาพนันกันดีหรือไม่ ตั้งแต่นี้ไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน ใครจับได้สัตว์ตัวใหญ่และมากกว่าเป็นผู้ชนะ”
“พนันด้วยอะไรเพคะ”
“คนแพ้ต้องรับคำขอของคนชนะไง”
สายตาของรยูฮาเฉียบแหลมขึ้นก่อนคำพูดจะจบลงเสียอีก และตอนนั้นเองนางก็ยกธนูขึ้นเล็งไปทางพงหญ้า สายธนูที่ถูกดึงจนตึงทำให้เกิดเสียงที่ฟังแล้วกระปรี้กระเปร่า จากนั้นฝั่งตรงข้ามมีบางอย่างบินสูงขึ้นแล้วร่วงลงมา มินอามุ่งหน้าเข้าไปในดงหญ้าแล้วกลับมาพร้อมไก่ฟ้าตัวใหญ่ รยูฮาหันไปทางฮอนที่กำลังขมวดคิ้วแล้วยิ้มอย่างร่าเริง
“ไก่ฟ้าหนึ่งตัว ตอนนี้หม่อมฉันกำลังชนะอยู่สินะเพคะ”
* * *
ช่วงเวลากลางวันในป่าช่างสั้นนัก เวลาในการล่าสัตว์จึงไม่ยาวนัก ผู้คนที่กระจัดกระจายกันออกไปล่าสัตว์ก็เข้ามารวมตัวกันเป็นวงกลมตรงเพิงที่พักชั่วคราว ขันทีคลี่กระดาษม้วนที่บันทึกรายการสัตว์ป่าที่ล่ามาได้วันนี้ออกแล้วค่อยๆ อ่านทีละอย่าง
“ต่อไปเป็นองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ หมูป่าสองตัว ไก่ฟ้าสี่ตัว กวางสามตัว กระต่ายห้าตัว…”
เทียบกับเหล่าทหารที่มีความสามารถสูงก็ถือว่าเป็นตัวเลขจำนวนมากเกินความคาดหมาย ตอนที่เสียงแหลมของขันทีพูดว่าหมีหนึ่งตัว เสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความชื่นชม พระราชาเห็นเหล่าขุนนางที่เคยยิ้มเยาะเหยี่ยวตัวเล็กน่ารักของพระชายาถึงกับอ้าปากค้าง
“หืม หากพรุ่งนี้ข้าไม่ออกแรงตั้งแต่เช้ามืดมีหวังโดนตราหน้าแน่ องค์รัชทายาทจับหมีนั้นมาได้อย่างไรกันแน่”
“กระหม่อมโชคดีพ่ะย่ะค่ะ เจอมันหลับอยู่เลยได้มาเป็นหน้าเป็นตาพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มเย็นชาถูกวาดลงบนในหน้าของชานผู้ซึ่งฟังที่ฮอนตอบอย่างถ่อมตัวอยู่เงียบๆ เขารู้ว่าลูกธนูที่ปักลงบนคอของหมีอย่างแม่นยำเป็นอันเดียวกันกับที่รยูฮาเอามา หญิงสาวยิงลูกธนูใส่หมีที่มีรูปร่างใหญ่กว่าตัวเองถึงสามเท่า
ชานนึกถึงความรู้สึกตื่นเต้นตอนที่ปะทะดาบกับหญิงสาวขึ้นมา ทั้งเพลงดาบที่งดงามน่าหลงใหลและริมฝีปากแดงที่มองเห็นหลังคมดาบนั้น นึกถึงรอยยิ้มที่เผยออกมาเงียบๆ รับกับปรอยผมนั้น ความคิดของเขาที่เริ่มแปลกประหลาดหยุดลงแล้วกลับมาที่เดิมเพราะน้ำเสียงของพระราชา
“ไม่ต้องดูก็รู้ว่าผู้ชนะวันนี้คือองค์รัชทายาท เหล่าขุนนางดูอย่างองค์รัชทายาทไว้แล้วพรุ่งนี้ก็พยายามให้มากขึ้น จุดไฟเสีย ส่วนสุราก็ดื่มแต่พอดี”
ความสนุกของงานแข่งขันล่าสัตว์คืองานเลี้ยงที่นำบรรดาสัตว์ที่จับมาได้มาย่างตรงกองไฟ กลิ่นเนื้อที่กำลังจะสุกช่างน่าอร่อยและเสียงพูดคุยเสียงดังชวนให้อยากสุรา รยูฮาผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าไปแทรกตรงนั้นได้เอาไก่ฟ้าที่จับมาได้มาย่างทั้งตัว แล้วยกเหล้าตรงหน้าที่ขโมยมาเทอย่างเต็มที่ เรื่องเช่นนี้นางไม่มีทางทำได้ตอนอยู่ในพระราชวัง รยูฮายกตะเกียบขึ้นแล้ววางลงก่อนจะชี้นิ้วไปทางมินอาที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระแวดระวัง
“มินอา ข้าขออีกขวดนึง…”
“ไม่ได้เพคะ”
“ไม่ดื่มเยอะหรอก”
“ไม่ได้เพคะ”
ถึงจะนึกขอบคุณที่มินอาเป็นห่วงกลัวว่าจะทำกริยาไม่เหมาะสมต่อหน้าพระราชา แต่นางก็ทำเกินไป โยนแก้วชาใส่หน้าผากนั้นดีไหมนะ รยูฮาครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะยกแก้วชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา นางดื่มสิ่งนั้นซึ่งไม่ชอบใจเข้าไปหนึ่งอึกแล้วขมวดคิ้ว ตอนวางลงใครบางคนก็หอบลมหนาวเข้ามาแล้วเข้ามายืนในเพิงที่พักชั่วคราว
“ฝ่าบาท!”
รยูฮาคิดว่าเป็นฮอนจึงไม่ได้หันไปมอง แต่กลับลุกพรวดจากที่นั่งอย่างตกใจเพราะน้ำเสียงมินอา
“ฝ่าบาท เสด็จมาได้อย่างไร…”
“นั่งลงเถอะ”
“ข้ามาดื่มเหล้ากับลูกสะใภ้เสียหน่อย อีกสักครู่องค์รัชทายาทก็จะตามมา”
พระราชาผู้ซึ่งดื่มสุราอย่างหนักจนอารมณ์ดีมาแล้วระเบิดเสียงหัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นแล้วส่งสัญญาณมือออกไป แต่เสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจเมื่อมองเห็นชาและอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ พระราชานิ่วหน้าขึ้นมาทันที หัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบก้มหัวลงอย่างตกใจ
“ฝ่าบาท หากมีสิ่งไม่พอพระทัย…”
“นี่มันทุ่งหญ้าหรือ คงกินกระต่ายที่องค์รัชทายาทจับมาได้หมดแล้วสินะ เฮ้อ ไปเอากวางย่างกับเหล้ามา!”
หัวหน้าองครักษ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วรีบวิ่งออกจากเพิงที่พักไป สีหน้าของรยูฮาที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะจู่ๆ ก็เสด็จมาเริ่มคลายออกอย่างสดใส เนื้อและเหล้าทยอยเข้ามาวางจนขาโต๊ะแทบหักพระราชาถึงพอใจ อีกทั้งยังยกขวดเหล้ารินใส่แก้วของรยูฮาจนเต็ม
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ”
“มหากรุณาธิคุณอะไรกัน วันนี้พระชายาเหนื่อยมามาก”
ภาพของพระราชาที่พูดเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีซ้อนทับกับใบหน้าของฮอน ตอนแรกนางคิดว่าฮอนคล้ายกับพระสนมยอน แต่มาดูตอนนี้รอยยิ้มกลับคล้ายพระราชา สายเลือดไม่อาจปิดซ่อนได้จริงๆ
“หม่อมฉันทำอะไรถึงได้เหนื่อยเพคะ ฝ่าบาทต่างหากที่ต้องทรงเหนื่อยเพราะพาหม่อมฉันติดตามมาด้วย”
“เหนื่อยตรงไหนกันเล่า พระชายาจับหมีตัวเท่าบ้านมา เจ้าต่างหากที่เหนื่อย”
ดวงตาของรยูฮาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหว แม้แต่สายตาที่มองผ่านไหล่ของพระราชาไปยังที่ไกลๆ ก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ
“จับหมีมาอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท หมายความว่าอย่างไรเพคะที่ว่าหม่อมฉันจับหมีตัวใหญ่นั้นมา”
“เจ้าคิดจะโกหกต่อหน้าข้างั้นหรือ”
พระราชายิ้มแล้วถามขึ้นราวกับว่ารู้อยู่แล้ว รยูฮาตระหนักได้ว่าควรจะหยุดแล้วยกเหล้าที่รับมาขึ้นดื่ม
“ขอประทานอภัยด้วยเพคะ แต่ทรงทราบได้อย่างไรว่าหม่อมฉันจับมาเพคะ”
“เพราะพ่อแม่เจ้าเป็นข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ของข้า ทั้งเจ้ายังคล้ายฮูหยินท่านมหาเสนาบดีไม่มีผิด”
“ทรงรู้จักพ่อแม่ของหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
พระราชาขยับคิ้วเล็กน้อยแทนคำตอบแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม ตอนนั้นเองที่ประตูที่พักชั่วคราวถูกเปิดออกแล้วฮอนกับชานก็เดินเรียงกันเข้ามา รยูฮาเม้มปากลงในสภาพที่เสียโอกาสที่จะได้ถามซ้ำอีกครั้ง
“เสด็จมาก่อนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทอะไรกัน ในที่แบบนี้เรียกเสด็จพ่อ เฮ้อ ไปสั่งเหล้ามาอีกสักสองสามขวดแล้วเจ้าก็มานั่งนี่เสีย!”