วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 9-10
ฮอนพูดค้างไว้และจิบชาหนึ่งอึก ดูเหมือนว่านิสัยการเลือกคำอย่างรอบคอบของรยูฮาจะติดมาสู่ฮอนด้วย เมื่อรู้อย่างนั้นโฮจินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าก็แค่สงสัยว่าเด็กผอมแห้งที่เคยอยู่ในวังตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สดใสขึ้นบ้างไหมเท่านั้นเอง”
“…สบายดี กินเก่งแถมยังยิ้มเก่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดผ้าไหมใหม่ๆ และเครื่องประดับหลายสิบชิ้นทุกวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้กำลังตั้งใจเรียนหนังสืออยู่ อีกไม่นานก็คงจะสามารถอ่านเขียนได้พ่ะย่ะค่ะ”
ส่วนสุดท้ายจากในบรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับแชยอนที่โฮจินเล่าให้ฟังเหมือนไม่เต็มใจนักทำให้ฮอนเอียงคอสงสัย
“แชยอนไม่รู้หนังสือหรือ”
“ทรงไม่ทราบเรื่องนั้นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คำถามที่โฮจินถามกลับอย่างประหลาดใจทำให้ฮอนหลบสายตาประหนึ่งอับอาย พอมาคิดๆ ดูแล้ว นอกจากดื่มเหล้า ไปเดินเล่นบ้างเป็นครั้งคราวและมีอะไรกันก็ไม่เคยทำอะไรร่วมกับแชยอนอีกเลย ก็ถูกแล้วที่ว่าไม่มีความคิดที่จะทำอย่างอื่นด้วยกันเลย ช่างเป็นความสัมพันธ์ซึ่งต่างกับที่ไปยิงธนูล่าสัตว์ ออกไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ และอ่านหนังสือด้วยกันจนมืดค่ำกับรยูฮาโดยสิ้นเชิง
“เจ้าไม่ชอบข้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ก็ชัดเจนอยู่แล้ว”
“แต่ข้าชอบเจ้านะ”
“อึ่ก”
โฮจินขมวดคิ้ว ตัวสั่นเทา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นท่าทางของคนที่ได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน
“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในโลกนี้คือผู้ชายพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าบาท”
“ข้าขอขอบใจเจ้ามาก ทั้งที่ช่วยแชยอนและที่ช่วยรยูฮาด้วย”
“อ้า ขอร้องหยุดเถอะ! ข้าเข้าใจแล้ว!”
โฮจินขนลุกไปทั้งตัวพร้อมกับยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มอึกๆ มันไม่ใช่อะไรที่ฟังได้ตอนที่มีสติครบถ้วนจริงๆ แต่ถึงแม้จะไม่เมาขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าสิ่งที่ได้ยินตอนนี้
“แล้วต้องการจะพูดอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ รีบ ๆบอกแล้วปล่อยกระหม่อมไปเสียที”
แม้การพูดจาของโฮจินจะเริ่มเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่ถือสา เพราะถ้าเทียบกับมินอาที่พูดจาสุภาพแต่กลับให้ความรู้สึกไม่เคารพแล้วนั้น แบบนี้ยังรู้สึกดีกว่าเยอะ
“จัดพิธีแต่งงานแล้วหรือยัง”
“ใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ จะไปมีได้อย่างไรกันล่ะ พิธีแต่งงาน”
“เห็นว่าท่านมหาเสนาบดีส่งไปอยู่กลุ่มการค้า ก็กินดีอยู่ดีมิใช่หรือ”
“ชิ”
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะบอกรายละเอียดยิบย่อยหมดเลยสินะ หลังจากจัดการโฮจินที่ปีนข้ามรั้วมากลางดึกโดยเจตนาเรียบร้อยแล้ว มหาเสนาบดีก็ส่งเขาไปที่ฮเยกุกซึ่งอยู่ติดกับแทซากุกและสั่งให้ไปรับหน้าที่หัวหน้ากลุ่มการค้าเสีย เพราะเหตุนี้ตอนนี้เขาจึงใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุขกว่าที่แทซากุก
“แล้วกลับมาที่นี่ทำไม”
“พระชายาทรงเรียกมาพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าบรรยากาศในพระราชวังดูยุ่งเหยิงจึงสั่งให้มาคอยช่วยอยู่ข้างๆ”
“เจ้าคือนักดาบมือหนึ่งใช่หรือไม่”
“ก็ต้องเคยถูกเรียกแบบนั้นอยู่แล้วสิพ่ะย่ะค่ะ”
“การพูดการจาช่างหมิ่นเบื้องสูงเหลือเกินนะ”
“พอดีกระหม่อมเรียนมาแค่ความสามารถในการฆ่าคนเพียงอย่างเดียว”
ฮอนยักไหล่ก่อนจะดึงแก้วเหล้าที่โฮจินไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อยมา
“รินให้ข้าสักแก้วสิ”
มันคือเหล้าที่เขากระดกดื่มไปแล้ว คำพูดของฮอนที่บอกว่าจะดื่มมันอย่างไม่ขัดเขินจึงทำให้โฮจินหันไปมองเขาสักพัก ถึงตอนเจอกันเมื่อก่อนจะดูไม่เอาไหน แต่ก็พัฒนาขึ้นพอสมควร โฮจินยิ้มออกมาพลางรินเหล้าลงในแก้วเปล่าจนล้น
“แม้จะไม่มีเรื่องให้ต้องเจอหน้าค่าตากันบ่อยๆ แต่เราอยู่ด้วยกันอย่างดีกันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“หากนั่นทำให้เจ้าทำหน้าที่ที่พระชายามอบหมายไว้เสร็จเรียบร้อยเป็นอย่างดีก็ย่อมได้”
ขวดเหล้าและแก้วเหล้ากระทบกันพร้อมกับส่งเสียงดังแกร็งกลางอากาศ ฮอนดื่มเหล้าในแก้วหมดรวดเดียว และวางมันลงตรงหน้าโฮจินอีกรอบ
“หลังจากได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ ข้าจะยกเลิกการออกหมายจับเจ้าและแชยอนเป็นอย่างแรก และให้พวกเจ้ากลับมาที่แทซากุก จัดพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับเชิญแม่ของนางมาด้วย”
ถึงแม้ว่าจะไม่พูด แต่โฮจินก็รู้ว่าแชยอนคิดถึงแม่อยู่เสมอ ดังนั้นข้อเสนอที่ฮอนยื่นให้จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะอึดอัดใจ แต่ก็เริ่มรู้สึกชอบไอ้บ้านี่ขึ้นทีละนิดพลางวางขวดเหล้าลง
เขารู้สึกถูกใจกับความไม่มากเรื่องและใจกว้างของหัวขโมยที่จู่ๆ ก็พาตัวนางสนมที่เขาเคยมีอะไรด้วยมาตั้งหลายปี ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารักจากใจจริงก็ตามไปภายในพริบตา ถูกใจแววตาที่สดใสขึ้นผิดกับเมื่อก่อน และถูกใจนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่คล้ายกับรยูฮาจนเหมือนกับว่ากำลังมองนางอยู่ตรงหน้า ฮอนเริ่มมีลักษณะท่าทางที่สมกับเป็นผู้สืบทอดของแทซากุกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
อีกด้านหนึ่งในขณะที่ทั้งสองคนกำลังทำสงครามประสาทกันอยู่นั้น ณ ห้องนอนอันเงียบสงบ มหาเสนาบดีและนายหญิงตระกูลจองนั่งหันหน้าเข้าหากันและกำลังจ้องมองกันและกันอยู่
“คิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ”
“ผู้หญิงที่เย็บแต่ผ้าอยู่ในเรือนจะไปรู้อะไรเล่าเจ้าคะ”
“ข้ารู้นะว่า…เจ้าเย็บผ้าไม่เก่ง…”
มหาเสนาบดีค่อยๆ แสดงความคิดเห็นตรงกันข้ามอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาและปิดปากเงียบอีกครั้งเพราะรอยยิ้มของภรรยาที่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน มหาเสนาบดีเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในนามของนักดาบมือหนึ่งเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม อีกทั้งยังครองตำแหน่งมือขวาของพระราชาด้วยความสามารถในการมองอย่างทะลุปรุโปร่งและอุปนิสัยที่เถรตรง แต่ต่อหน้าฮูหยินของเขาแล้ว เขาก็ไม่ต่างอะไรกับแกะเชื่องๆ ตัวหนึ่งเลย
“ครั้งนี้ฮูหยินก็ไม่เห็นใช่หรือไม่ อย่างนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเขาทำ เพราะฉะนั้นเราไปทูลเรื่องทั้งหมดให้องค์รัชทายาททรงทราบและเตรียมการล่วงหน้าไว้ไม่ดีกว่าหรือ”
เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดอะไรไม่ออก เขามักจะมาปรึกษาฮูหยินของเขา ส่วนนางก็ไม่เคยให้คำตอบที่ชัดเจนเลย ทว่าเพียงแค่ได้สบตากับสายตาที่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ สมองของเขาก็โล่งและดวงตาที่มืดมนราวกับมีหมอกปกคลุมก็สว่างทันที
“นั่นสิเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเองก็อายุเยอะแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนว่าองค์รัชทายาทที่โตเป็นหนุ่มแล้วเป็นเด็กน้อยเจ็ดขวบอยู่เลย”
แม้จะหาคราบของผู้หญิงเย็นชาซึ่งเคยใช้มือเดียวในการควงดาบสีนิลและควบคุมธนูราวกับเป็นร่างกายของตนเองด้วยสีหน้าสุขุมและเสียงที่พูดอย่างนุ่มนวลไม่เจอแล้ว แต่มหาเสนาบดีก็รู้ดีกว่าฮูหยินของเขายังคงไม่พอใจกับการจับเข็มแทนการจับดาบ นางสนุกกับการใช้เข็มนั้นแทงแมลงวันหรือผึ้งที่โชคร้ายเข้ากับกำแพงมากกว่าการเย็บปักถักร้อยเสียอีก การวางดอกไม้ที่นางเองไม่ได้ชอบไว้ตรงหน้าต่างที่จงใจเปิดออกกว้างไว้คือหลักฐาน
“อ๊ะ พูดถึงก็เสด็จมาพอดี”
เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นจากข้างนอกจนนายหญิงตระกูลจองไม่กล้าพูดจนจบ เสียงฝีเท้าอีกหนึ่งที่ไม่ใช่ของรยูฮาน่าจะเป็นของฮอน คู่สามีภรรยาจึงลุกขึ้นจากที่นั่งและไปเปิดประตูต้อนรับพวกเขา
“จะเสด็จกลับพระราชวังแล้วสินะเพคะ หม่อมฉันคงเหงาแน่เพคะ”
“อีกไม่นานข้าจะพาท่านทั้งสองมาที่พระราชวังสักครั้ง ไว้ตอนนั้นเรามาใช้เวลาดีๆ ร่วมกันอีกเถิด”
ฮอนยิ้มกว้างพลางตอบอย่างอัธยาศัยดี เผลอแป๊บเดียวเขาก็กลายเป็นชายหนุ่มที่เชื่อถือได้เสียแล้ว หากสนมยอนยังคงมีชีวิตอยู่จะคุยโม้โอ้อวดขนาดไหนกันนะ นายหญิงตระกูลจองยิ้มพลางคิดถึงเรื่องที่เพ้อเจ้อที่สุดในโลก
“งานนี้ ห้ามแพร่งพรายไปสู่ภายนอกเป็นอันขาดจนกว่าข้าจะบอก รบกวนด้วย”
ฮอนที่นั่งอยู่ขอร้องพร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายใจจนดูจริงจัง
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“หลังจากที่มินอาอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะส่งคนในวังมารับ นางคืออคนที่ท่านทั้งสองรักเหมือนกับลูกแท้ๆ เพราะฉะนั้นข้าขอฝากนางด้วย”
“ขอบพระทัยอย่างยิ่งที่ตรัสเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หากมีคนที่ข้าเชื่อใจและพึ่งพายิ่งกว่าพระราชา คนคนนั้นก็คือพระชายา ซึ่งคนที่ข้าไว้ใจมีเพียงท่านทั้งสองเท่านั้น แม้จะเกรงใจ แต่เพื่อพระชายาแล้ว ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนให้อย่างแน่นอน”
นายหญิงตระกูลจองกับรยูฮามีความคล้ายคลึงกันมากในตอนที่ยิ้มอย่างเดียวและไม่ได้พูดอะไร มีบางอย่างที่ชัดเจนถูกวาดขึ้นในหัวของฮอนซึ่งกำลังจ้องมองใบหน้าของแม่ยายอีกครั้ง ซึ่งภาพนั้นคือนายหญิงตระกูลจองซึ่งดูมีอายุมากกว่ารยูฮาในตอนนี้นิดหน่อย ด้านข้างของนางมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ เสียงที่แข็งกร้าวแต่ก็สั่นเครือเล็กน้อยพูดอะไรบางอย่าง
‘ทรงทำได้ดีแล้วเพคะ องค์ชาย…’
“ฝ่าบาท?”
จู่ๆ ฮอนก็ขมวดคิ้วและจับจ้องไปที่นายหญิงตระกูลของ รยูฮาตกใจ จับมือพร้อมกับเรียกเขา
“มะ ไม่มีอะไร ข้าขอไปรับลมเสียหน่อย แล้วค่อยไปเตรียมตัวกลับวัง”
ฮอนลุกขึ้นจากที่นั่งโดยจับจุดไม่ถูกเลยว่ามันคือความทรงจำหรือภาพปลอมที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นกันแน่ หลังจากออกมาข้างนอก สายลมที่พัดโชยผ่านแก้มของเขาไปทำให้สติของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ฮอนจมอยู่กับความคิดและก้าวออกไปช้าๆ โดยไม่ดูทางข้างหน้า รยูฮาเองก็เดินไปพร้อมๆ กับเขาเช่นกัน และแล้วเท้าของทั้งคู่ก็เดินอ้อมเรือนและเข้าไปยังลานด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
“ฝ่าบาท ทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ”
เสียงของรยูฮาเรียกฮอนซึ่งจมอยู่ในห้วงความคิด
“ก็แค่ ข้าเห็นภาพแปลกๆ อยู่เรื่อยเลยน่ะ”
“แบบไหน…?”
สายตาของฮอนซึ่งกำลังจะเอ่ยปากพูด กวาดตามองลานหลังบ้านหนึ่งรอบก่อนจะหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ที่ว่างอันกว้างขวาง ห้องเก็บของที่ตั้งอยู่ตรงมุมนู้น นั่นคือสถานที่ที่นายหญิงตระกูลจองหมอบซึ่งเห็นอยู่ในหัวเมื่อสักครู่
* * *