วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 9-11
“หม่อมฉันน่าจะทูลให้ทราบก่อนหน้านี้”
เป็นเสียงที่สงบนิ่ง แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเห็นใจ ความทุกข์และความคิดถึงซึ่งสั่นไหวมาทีละนิดผ่านสายลมอ่อนๆ
“หมายความว่าท่านรู้เรื่องสมัยเด็กของข้าอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ”
ทั้งพระพันปี พระราชา พระมเหสี และแม้แต่พี่ต่างมารดาต่างก็หลบสายตาและหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่เขาถามถึง จึงทำให้เขาไม่อยากรู้เรื่องความทรงจำของผู้เป็นแม่แท้ๆ อีกต่อไป ฮอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่ของรยูฮาจะรู้เรื่องนี้ด้วย น้ำเสียงของเขาจึงสูญเสียความสุขุมไปจนหมดสิ้น
“รู้ตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทยังทรงไม่ลืมตาดูโลก ไปจนถึงสมัยที่ฝ่าบาทยังทรงเยาว์วัยเพคะ”
สายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนและความสับสนหันไปมองรยูฮาซึ่งจ้องมองแม่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และนั่งอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเฉย
“พระชายาก็ด้วย…?”
แววตาของภรรยาที่ไร้การสั่นไหวมองมาที่เขาแล้วพยักหน้า
“ตอนที่หม่อมฉันเจอฝ่าบาทเป็นครั้งแรก ฝ่าบาทมีอายุได้สี่ชันษาเพคะ”
“แล้วทำไมถึงไม่บอกอะไรข้าเลยล่ะ”
ฮอนเอ่ยถามราวกับเสียใจ น้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่งของนายหญิงตระกูลจองรับคำพูดของเขาที่เจือความขุ่นเคืองเล็กน้อยเอาไว้
“หม่อมฉันสั่งไว้เช่นนั้นเองเพคะ เพราะคิดว่าการรื้อฟื้นความทรงจำของพระสนมยอนไม่ได้มีอะไรดีต่อฝ่าบาท แต่ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะคิดผิดเพคะ เพราะในตอนนี้ฝ่าบาททรงเติบโตกลายเป็นองค์รัชทายาทที่แข็งแกร่งไม่ใช่เด็กน้อยในสมัยนั้นอีกต่อไป”
นายหญิงตระกูลจองลูบหลังมือของลูกเขยซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเบาๆ เผลอแป๊บเดียวมือขาวที่เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนกับใบต้นเมเปิ้ลได้เติบโตกลายเป็นมือของชายหนุ่มซึ่งมีเส้นเลือดนูนขึ้นมาบนหลังมือและนิ้วที่เรียวยาวเสียแล้ว นายหญิงตระกูลจองจ้องมองมือนั้นสักพักแล้วจึงชักมือออก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดในขณะที่รินน้ำจากกาน้ำชาที่สาวใช้นำเข้ามาพอดี
“หม่อมฉันเคยเป็นลูกสาวนอกสมรสเพคะ ซึ่งก็คือลูกสาวที่เกิดนอกครอบครัวพ่อของหม่อมฉันเพคะ”
เรื่องนั้นรยูฮาก็รู้อยู่แล้วเช่นกัน แต่เพราะว่านางไม่เคยต้องเศร้าเพราะเรื่องนั้นจึงไม่ได้คิดมากนัก
“มันลำบากมากเพคะ ทั้งยังไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ได้ และเพราะสายเลือดของตระกูลผู้สถาปนาชาติจึงไม่สามารถไปเป็นภรรยาคนที่สองหรืออนุภรรยาได้ด้วยเพคะ ดังนั้นท่านพ่อจึงให้หม่อมฉันจับดาบแทนสะดึง และหลังจากวันนั้นท่านก็กล่าวว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมาก จนในปีที่อายุได้สิบแปดปี หม่อมฉันจึงได้เข้ามาในวังหลวงเพคะ”
“วังหลวงงั้นหรือ…อย่าบอกนะว่า?”
นายหญิงตระกูลจองยิ้มให้กับคำถามของฮอนซึ่งเอียงคอด้วยความสงสัย มันคือช่วงเวลาที่ทั้งมืดมนและเปล่งประกาย ช่วงเวลาเหล่านั้นที่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่งดงามที่สุดในชีวิตของนาง เมื่อลองนึกย้อนกลับไปราวกับเรื่องเหล่านั้นได้เกิดขึ้นอีกครั้งตรงหน้าโอรสของพระราชา
“หน่วยทหารคุ้มกันของพระราชา ฝ่าบาทเองก็น่าจะทรงทราบนะเพคะ พวกที่ถูกเรียกว่าเงา ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ผู้ชาย แต่นานๆ ครั้งมากๆ ที่จะมีผู้หญิงสักคนในหน่วย ซึ่งผู้ที่รู้ว่ามีผู้หญิงอยู่เพียงคนเดียวในตอนนั้นมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือพระราชาและท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมซึ่งมีหน้าที่ดูและฝึกฝนหน่วยทหารคุ้มกันเพคะ”
“ท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมคนนั้น…คือท่านพ่อใช่ไหมเจ้าคะ”
ที่พระราชาเคยตรัสว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นข้าหลวงที่ซื่อสัตย์คงเป็นเรื่องนี้สินะ การที่ไม่นางสังเกตเห็นแม้จะเคยได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ตามไม่ใช่เพราะว่ารยูฮาไม่มีไหวพริบ แต่ว่าเงาของพระราชาอย่างนั้นหรือ ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงเช่นนั้นจะเป็นภรรยาของมหาเสนาบดี
“เพคะ พระชายา เดิมทีแล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถมีได้ แต่ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการช่วยให้สามารถจัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่กับท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมซึ่งเป็นข้าราชบริพารของตนเองได้เพคะ และในวันหนึ่งซึ่งใกล้จะถึงวันพิธีในอีกไม่กี่วัน หม่อมฉันก็ได้พบกับนางในคนหนึ่งที่วังโดยบังเอิญ นางชื่อว่าอาจินซึ่งเคยเป็นสหายสมัยเด็กคนเดียวของหม่อมฉัน จำได้ว่าในตอนนั้นครอบครัวของนางพังพินาศ พ่อกับแม่ก็เสียชีวิต ท่านพ่อของหม่อมฉันสงสารเด็กที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งคนนั้นจึงส่งนางมาที่วังหลวงเพคะ”
อาจิน คือชื่อเก่าก่อนที่นายหญิงตระกูลจองจะแต่งงานและถูกเรียกว่าฮูหยินท่านใต้เท้าหรือไม่ก็ฮูหยินท่านเสนาบดี ฮอนมีสีหน้าเช่นเดียวกับรยูฮาที่เอียงคอด้วยความสงสัยอยู่ข้างๆ
“แม้จะมีนามเช่นเดียวกับแม่คนนี้ แต่นามสกุลของเด็กคนนั้นคือยอนเพคะ เพราะอย่างนั้นจึงเริ่มสนิทกันเพคะ จองอาจิน ยอนอาจิน”
ยอนอาจิน แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ยินใครเรียก รวมถึงไม่เคยเรียกจากปากตัวเองเช่นกัน เพราะอย่างนั้นแม้ว่าฮอนจะถามซ้ำอีกรอบก็ยังยากที่จะเชื่ออยู่ดี
“ท่านบอกว่าเคยเป็นสหายสมัยเด็กของเสด็จแม่แท้ๆ ของข้าอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ พระสนมยอนซึ่งทรงเป็นพระมารดาแท้ของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทราบความจริงเรื่องนั้นอยู่แล้วจึงส่งให้อาจินไปข้างนอกพระราชวังสักพักหนึ่งในวันที่จัดพิธีสมรสของพวกเรา หม่อมฉันไม่มีทางที่จะตอบแทนบุญคุณนั้นได้เลยเพคะ ผ่านไปได้ไม่นาน อาจินก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณและถูกแต่งตั้งเป็นพระสนม ส่วนครอบครัวของเราก็ให้กำเนิดบุตรชายสามคนและธิดาอีกหนึ่งคนเพคะ และในตอนที่ธิดาเริ่มเดินเตาะแตะ หม่อมฉันก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากฝ่าบาทเพคะ”
ฮอนกับรยูฮาจับมือกันและจมลึกเข้าไปในเรื่องราวของนายหญิงตระกูลจองโดยไม่รู้ตัว โดยที่จ้องมองที่ริมฝีปากของนางไม่หยุด ส่วนกาน้ำชาที่เย็นชืดได้ถูกลืมไปนานแล้ว
“ทรงขอให้หม่อมฉันปกป้องพระสนมยอนกับบุตรในท้อง ทั้งสองพระองค์ก็น่าจะทรงทราบ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซึ่งคอยดูแลหลังให้อยู่เสมอจะสามารถให้คำยืนยันได้ว่าบุตรคนที่สามจากนางสนมที่ไม่มีอำนาจใดๆ เป็นคนอุ้มท้องจะเกิดมาได้โดยปลอดภัย หม่อมฉันจึงต้องฝากพระชายาให้แม่นมดูแลและเฝ้าอยู่ด้านบนหลังคาของวังซออันทั้งคืนจนกระทั่งพระโอรสทรงลืมตาดูโลกได้โดยปลอดภัยเพคะ หากรวบรวมหัวของผู้ลอบสังหารที่หม่อมฉันฆ่าในตอนนั้นก็น่าจะประมาณหนึ่งลังไม้เพคะ สามารถบอกได้เลยว่าฝ่าบาททรงฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
การที่นางทำสีหน้าใจดีและพูดเรื่องที่รุนแรงแบบนั้นเหมือนกับไม่ใช่เรื่องแปลกช่างเหมือนกับรยูฮาเสียจริง ฮอนคิดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย
“หลังจากพระโอรสประสูติโดยปลอดภัย พระองค์ก็ทรงได้รับพระนามว่าฮอน ในตอนนั้นหม่อมฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กคนนั้นจะเติบใหญ่และกลายมาเป็นพระสวามีของบุตรสาวตัวน้อยของหม่อมฉัน จำได้แค่ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเพคะ พระสนมมักจะเคาะกำแพงเรียกหม่อมฉันในตอนกลางดึก จากนั้นจึงบอกว่าองค์ชายทรงถีบแรงมากจนนอนไม่หลับ แล้วทรงอวดกึ่งขอร้องให้หม่อมฉันลองจับท้องดูเพคะ สีหน้าของนางในตอนนั้น หม่อมฉันยังคงจำได้ชัดเจน”
“เสด็จแม่ทรงรักข้ามากเลยหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ อย่างในวันที่แดดดี พระสนมผู้ซึ่งเป็นคนเงียบและไม่ค่อยพูดมักจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านเพียงลำพังพร้อมกับลูบท้องไปและพูดไปว่า ลูก อันนี้คือผีเสื้อ ส่วนอันนี้คือดอกไม้ ลูก ลูก…เพคะ”
ท้ายประโยคของนายหญิงตระกูลจองมีน้ำตาซึมออกมา อาจินซึ่งเป็นสหายเพียงคนเดียวในชีวิตที่ลำเค็ญของนางซึ่งไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยเนื่องจากเป็นลูกนอกสมรส นักดาบและเป็นเด็กที่ถูกซ่อนเอาไว้ ภาพที่นางอมยิ้มบนใบหน้าสวยและลูบท้องที่นูนขึ้นมาราวกับพระจันทร์เต็มดวงนั้นยังคงติดตาอยู่อย่างชัดเจน นายหญิงตระกูลจองจิบชาที่เย็นไปแล้ว จากนั้นจึงหยุดน้ำตาแล้วพูดต่ออีกครั้ง
“หลังจากองค์ชายทรงมีอายุเกินร้อยวันอย่างปลอดภัย หม่อมฉันจึงได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง เลี้ยงดูพระชายาและลูกชายที่ไม่สามารถดูแลได้ในตอนนั้น รวมถึงเด็กผู้หญิงผู้น่าสงสารที่มาขอข้าวกินด้วยตัวเอง และรับเด็กคนนั้นมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของครอบครัวเราเพคะ ซึ่งนางก็คือเด็กที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยพระองค์ทั้งสองในครั้งนี้เพคะ ทั้งยังเป็นลูกสาวที่หม่อมฉันให้กำเนิดด้วยหัวใจอีกด้วย”
“มินอาหรือเพคะท่านแม่ จริงหรือ?”
“แน่นอนเพคะพระชายา”
เมื่อเกิดรอยยิ้มบนริมฝีปากของรยูฮา ฮอนเองก็มองนางพร้อมกับยิ้มเช่นกัน แต่รอยยิ้มเหล่านั้นกลับเลือนหายไปอีกครั้งด้วยคำพูดต่อมาของนายหญิงตระกูลจอง
“หลังจากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาได้หลายปี หม่อมฉันก็ได้รับจดหมายลับจากพระราชาอีกครั้งหนึ่งเพคะ ว่าพระสนมทรงดื่มยาพิษที่ไม่ทราบชื่อและหมดสติไป หม่อมฉันจึงรีบเข้าไปที่พระราชวังและได้พบกับผู้ลอบสังหารโดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าจะดื่มยาพิษเข้าไปแต่พระสนมไม่สามารถทิ้งโอรสที่ยังเล็กไว้และตายไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมาเพื่อตัดลมหายใจสุดท้ายของพระสนมซึ่งอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ทว่าในคืนนั้นหม่อมฉันไม่สามารถปกป้องพระสนมไว้ได้เพคะ เพราะในตอนที่หม่อมฉันชักดาบออกมา องค์ชายที่จะแอบออกมาหาพระมารดาเปิดประตูออกมาพอดีเพคะ หม่อมฉันจึงไม่สามารถหยุดยั้งดาบที่แทงลงไปในหน้าอกของพระสนมได้ และอุ้มองค์ชายวิ่งไปที่วังกอนชองเพคะ หลังจากนั้นองค์ชายก็ประชวรหนัก ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทรงทราบเพคะ พระมเหสีทรงนำตัวองค์ชายที่เสียแม่แท้ๆ ไปเลี้ยงดูจนถึงตอนนี้เพคะ”
น้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองซึ่งเล่าเรื่องราวที่อยู่ในใจออกมาจนหมด นางทำตามคำสั่งของพระราชาที่ขอให้ปกป้องพระสนมไม่สำเร็จ และวันนั้นคือวันที่นางชักดาบเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอได้เห็นองค์ชายที่นางเคยปกป้องเติบโตอย่างสง่างามและจับมือของลูกสาวอยู่ตรงหน้า หากย้อนกลับไปได้นายหญิงตระกูลจองก็คงจะเลือกเหมือนเดิม เพราะอาจินอีกคนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราก็คงจะต้องการอย่างนั้นเช่นกัน