วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 9-6
นายหญิงตระกูลจองจมอยู่กับความคิดแล้วลูบไล้ใบหน้าของลูกสาวนิ่งๆ เหมือนเมื่อวานนี้เองที่ภายในบ้านซึ่งมีลูกชายสามคนและมีลูกสาวคนเล็กเพียงหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ตอนนี้เติบใหญ่ออกเรือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลในฐานะพระชายาขององค์รัชทายาทผู้สง่าผ่าเผย วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“อีกหน่อยก็จะทรงทราบเพคะ”
“เพราะพระ…”
รยูฮาตั้งใจจะถามว่าเป็นเพราะพระมเหสีหรือไม่ แต่ก็ไม่พูดต่อแล้วเงียบลง เพราะนายหญิงตระกูลจองจับมือของรยูฮาไว้แน่นด้วยสองมือแล้วส่ายหน้า ดวงตาที่เคยยิ้มเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดขาด
“ถึงรู้ก็อย่าพูดนะเพคะ โลกเราบางครั้งไม่รู้ดีกว่าเพคะ”
ความคิดของรยูฮาถูกต้องแล้ว ท่านแม่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่เงียบไว้ ทำไมท่านแม่ถึงรู้และเก็บงำความลับเอาไว้ แม้แต่กับรยูฮาที่อาศัยอยู่ในวังด้วยความช่วยเหลือของพระพันปีก็ให้รู้ไม่ได้เลยหรือ นายหญิงตระกูลจองผ่อนแรงที่มือราวกับกำลังอ่านความคิดนั้น
“กำลังสงสัยใช่ไหมเพคะว่าแม่รู้ได้อย่างไร”
“เจ้าค่ะ”
สายตาของนายหญิงตระกูลจองที่ลูบไล้ใบหน้าของรยูฮาอยู่มองไปยังแหวนคู่ที่ส่องประกาย ใช่แล้ว ตอนนี้รยูฮาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่คือสตรีผู้สง่างามที่จะกลายเป็นพระมเหสีของประเทศนี้ นางตัดสินใจแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก
“หม่อมฉันคือคนผิดเพคะ เมื่อก่อนแม่คนนี้เคยทำผิดต่อองค์รัชทายาท และตอนนั้นพระราชาเองก็ทำผิดด้วยเพคะ”
“ท่านแม่เคยถวายงานพระราชาหรือเจ้าคะ”
รยูฮาถามอย่างตรงไปตรงมา นายหญิงตระกูลจองไม่ตกใจ รอยยิ้มเล็กที่ถูกยกขึ้นบนมุมปากของนางเต็มไปด้วยความคิดถึง
“ฝ่าบาทตรัสให้ฟังหรือเพคะ”
“ทรงตรัสออกมาตอนออกไปล่าสัตว์ บอกว่าท่านแม่เป็นบริวารผู้ซื่อสัตย์ ข้าแน่ใจว่าทรงตรัสว่าเป็นท่านแม่ไม่ใช่ท่านพ่อ”
ท่านผู้นั้นก็เหลือเกิน นางหญิงตระกูลจองพึมพำพร้อมกับรอยยิ้มและลุกจากที่นั่ง แล้วดื่มชาที่รยูฮาดื่มก่อนหน้านี้ น้ำชาเย็นไหลผ่านคอไปทำให้รู้สึกเย็นสบายและทำให้หัวเย็นลง
“ใช่แล้ว เมื่อนานมาแล้วแม่คนนี้เคยเป็นข้าราชบริพารของพระราชาเพคะ แต่ว่าไม่อาจทำหน้าที่ครบถ้วนได้ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ถือว่าเป็นข้าราชบริพารอีกต่อไป และที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ แม่คนนี้ก็ไม่อาจเรียกตนเองว่าเป็นข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ได้เช่นกันเพคะ”
ใบหน้าที่พูดเช่นนั้นเริ่มหม่นหมองลง รยูฮาจึงเลิกถามแล้วลุกจากเตียง ดึงแผ่นหลังของท่านแม่ที่ดูเล็กลงเข้ามากอด
“ฝ่าบาทไม่ได้คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ทรงบอกว่าเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ ไว้ท่านแม่อยากเล่าค่อยเล่านะเจ้าคะ ข้าจะรอ”
* * *
“แถวนี้มีตลาดกลางคืนมาเปิด”
ฮอนนั่งตรงข้ามรยูฮาพลางเสวยมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบร้อย ตลาดกลางคืนหรือ สถานที่ที่เหล่านักแสดงต่างพากันแสดงผาดโผนภายใต้โคมไฟหรูหราและเต็มไปด้วยสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือสถานที่ที่สามารถดื่มเหล้าและกินของว่างได้อย่างเต็มที่ รยูฮามองหน้าฮอนแทนคำตอบ และก่อนจะได้ตอบก็เปิดประตูออกไปเสียแล้ว
“รีบไปกันเถอะเพคะ”
“ข้างนอกมันหนาว ต้องสวมเสื้อผ้าให้พร้อม มินอาอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“เตรียมตัวออกไปข้างนอก”
ไม่นานเสื้อนอกและเสื้อผ้าสำลีไปจนถึงหมวกและปลอกแขนกันหนาวก็ถูกสวมลงบนร่างกายของรยูฮา ไม่ให้ลมพัดผ่านเข้ามาแม้แต่นิด ฮอนสำรวจโดยละเอียดจนพอใจแล้วจึงพยักหน้าเดินเคียงคู่รยูฮาออกไปข้างนอก มินอาและจูฮวันเองก็เปลี่ยนชุดก่อนจะเดินตามเจ้านายไปโดยทิ้งระยะไปห้าหกก้าว รยูฮาอยากผละออกมาจากสองคนนี้แล้วสนุกกันสองคน แต่นางรู้ดีว่าต่อให้ฝืนผละออกมา สองคนนี้ก็จะเร่งฝีเท้าตามติดราวกับเงาอยู่ดี จึงคิดว่าหรือจะใช้ความเป็นเชื้อพระวงศ์ดี แต่ก็ละทิ้งความคิดนั้นไป
“เอาเงินมาพอไหมเพคะ”
“ในตลาดกลางคืนใช้เงินเยอะหรือ”
“ไม่ใช่แค่ตลาดกลางคืนหรอกเพคะ ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามยิ่งกระเป๋าเงินยิ่งหนักยิ่งสนุกนะเพคะ”
เป็นคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากของพระชายา แต่ท่าทางจริงจังนั้นก็ดูน่ารัก ฮอนหัวเราะคว้ารยูฮาเข้ามาจุมพิตลงบนหน้าผากมน
“อย่ากังวลไปเลย ข้าเอามาจนสามารถซื้อตลาดกลางคืนนี้ได้ทั้งตลาด”
ว่าแล้วก็หยิบออกมาให้ดู รยูฮาถึงกับตาเป็นประกายกับกระเป๋าเงินหนาก่อนจะหันหลังไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง จนสบเข้ากับมินอาที่ยังคงตามมาด้านหลังด้วยความเร็วคงที่ มินอาขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้เพคะ เอาไปใช้ซื้อของฟุ่มเฟื่อยยังดีเสียกว่าเพคะ โธ่”
“…ฮึ”
ได้ออกมาทั้งที ท้องฟ้ายามค่ำคืนปลอดโปร่ง ท้องถนนเสียงดังครึกโครมและลมหนาวพัดมา ช่างเป็นวันที่เหมาะกับการเล่นพนันไม่ใช่หรือ ฮอนมองออกถึงความเสียดายของรยูฮาจึงเก็บกระเป๋าเงินลงอีกครั้ง แล้วกระซิบลงตรงหูที่อยู่ใต้หมวก
“ไม่เป็นไร ใช้ซื้อเหล้าดื่มเถอะ ดีไหม”
“เท่าที่อยากดื่มไหมเพคะ”
“ดื่มเท่าที่เจ้าอยากดื่ม”
“ที่ไหนล่ะเพคะ”
“ถ้าเป็นที่ที่เจ้าต้องการ จะที่ไหนก็ได้”
ถึงไม่ยิ้มแต่ก็รู้ว่ารยูฮาอารมณ์ดีขึ้น เพราะนางคล้องแขนของตัวเองที่แขนของฮอน ทั้งที่ปกติแล้วนางจะไม่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ภาพของหนุ่มรูปงามผอมสูงกับหญิงงามราวกับดอกไม้เดินคล้องแขนกันอย่างอ่อนโยนเหมือนกับภาพวาด คนที่เดินขวักไขว่ตามถนนหนทางต่างก็หลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว ในระหว่างนั้นเท้าของรยูฮาที่เดินทอดน่องมองนั่นมองนี่ก็ไปหยุดอยู่ที่แผงขายของของหญิงชราที่เต็มไปด้วยโคมไฟ
“โคมไฟเจ้าค่ะ ท่านสามี”
“วะ ว่าอย่างไรนะ”
ทันทีที่ฮอนตกใจจนพูดตะกุกตะกักออกมา รยูฮาก็หันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่รู้จักโคมไฟหรือเจ้าคะ ถ้าขอพรแล้วเอาไปแขวนไว้ที่สูงพรนั้นจะเป็นจริงเจ้าค่ะ”
“มะ ไม่ใช่เรื่องนั้น…”
“ว่าอย่างไรคะ ท่านสามี”
ท่านสามี ท่านสามี ท่านสามี คำนั้นก้องวนเวียนอยู่ในหัวของฮอนเหมือนเสียงระฆัง ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ไพเราะและหอมหวานเช่นนี้ รู้อย่างนี้ตอนอยู่กันสองคนคงขอร้องให้นางเรียกแบบนี้แล้ว รยูฮามองฮอนแล้วถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า เจ้าคนบ้าทำตัวบ้าอีกแล้ว รยูฮาแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วนั่งลงด้านหน้าแผงขายของ พลางชี้นิ้วไปที่โคมไฟสีขาวที่ชอบ
“ขออันนั้นเจ้าค่ะ”
สายตาพร่ามัวของหญิงชราหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ชั่วขณะหนึ่งรยูฮาคิดว่านางมองไม่เห็น แต่คนตาบอดคงไม่สามารถขายของที่มีสีสันได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางถึงขั้นดันตัวออกมาข้างหน้าแล้วสำรวจรยูฮาอย่างละเอียดราวกับจะดูให้ชัด
“ทำไมมองข้าเช่นนั้นเจ้าคะ”
“คุณหนูผู้สูงส่งขาดเหลือสิ่งใดถึงจะขอพรหรือ”
คำพูดนั้นลอยเข้าหูฮอนที่นั่งลงข้างรยูฮาและกำลังเลือกโคมไฟอย่างตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกหญิงชราอย่างกระตือรือร้น
“คุณหนูผู้นี้เป็นผู้สูงส่งหรือ แล้วข้าล่ะ”
หญิงชราละสายตาจากใบหน้าของรยูฮาแล้วขยับตัวไปอีกทาง ดวงตาสีขาวเหมือนลูกแก้วใต้หนังตาที่มีรอยเ**่ยวย่นกลอกไปมา จากนั้นหญิงชราก็ยิ้มด้วยริมฝีปากที่ไร้ฟันก่อนจะหยิบโคมสีเหลืองยื่นให้ฮอน มือนั้นเ**่ยวย่นและผมแห้งเหมือนเปลือกไม้
“เป็นสามีของคุณหนูผู้สูงส่งก็ต้องเป็นผู้สูงส่งแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นายท่านใช้อันนี้เถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเงิน”
“ไม่ได้สิ ซื้อของก็ต้องจ่ายเงิน”
ฮอนจ่ายเงินมากกว่าราคาโคมไฟสองอันแล้วดึงรยูฮาลุกขึ้น แล้วพอหันหลังกลับมาก็เจอเข้ากับเหล่าผู้ติดตาม เขาจึงส่งสัญญาณมือเรียก
“พวกเจ้าก็เลือกคนละอัน นานแล้วไม่ได้ออกมาต้องทำให้หมด”
“แหะๆ จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มินอาผู้อยู่ข้างๆ จูฮวันซึ่งยิ้มแล้ววิ่งไปเลือกโคมไฟก็ชี้เลือกไปหนึ่งอันราวกับอิจฉาอยู่ในใจ จูฮวันเลือกสีเขียวเหมือนชุดขันทีที่เจ้าตัวใส่อยู่ตลอด ส่วนมินอาเป็นสีดำ
พอสิ่งนั้นถูกส่งมาจากมือของหญิงชรา ฮอนก็เปิดกระเป๋าเงินอีกครั้งหยิบเหรียญให้หญิงชราแล้วออกมาจากตรงนั้น หญิงชราที่ถูกทิ้งให้เหลืออยู่ด้านหลังบ่นพึมพำคนเดียวพลางจัดโคมไฟ พร้อมกับมองตามพวกเขาด้วยตาที่มองเห็นไม่ชัดนัก
“เจ้าขอพระอะไรหรือ”
ฮอนจุดเทียนอย่างพอใจแล้วถามรยูฮา เป็นเทียนที่อยู่ในโคมไฟสี่อันที่ซึ่งห้อยอยู่ใต้หลังคา
“แล้วท่านสามีเล่าเจ้าคะ”
“ความลับ”
“ของข้าก็เป็นความลับเช่นกันเจ้าค่ะ”