วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 9-8
ไม่มีอะไรจะน่าดูไปมากกว่านี้ ถึงจะออกมาจากพระราชวังด้วยชุดธรรมดาแต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ดูสะดุดตา ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าเหลือบมองพวกเขาอยู่บ่อยๆ ยิ่งมีเสียงกระซิบกระซาบยิ่งทำให้มินอาไม่สะดวกใจ
“ดูเหมือนว่าคงต้องกลับกันแล้วขอรับ”
จูฮวันพูดกับมินอาที่กำลังขมวดคิ้ว เดิมทีหากไม่ใช่ขันทีหรือพระสนมเอกเขาจะพูดไม่มีหางเสียง แต่ไม่รู้ทำไมกับสาวใช้ที่พระชายาพามาด้วยถึงไม่เป็นเช่นนั้น สำหรับจูฮวันที่ต้องพึ่งพาวังหลวงนั้น ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเหมือนมีพลังอันน่าประหลาดใจที่ทำให้ตัวเขาเล็กลง
“นั้นสิเจ้าคะ พานายท่านของแต่ละคนไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
มินอาไปจัดการจ่ายเงินค่าอาหารกับเจ้าของร้านเหล้าแล้วกลับมาพร้อมพึมพำว่ากินเยอะ ขันทีเหงื่อออกมือจับฮอนที่ดื้อดึงบอกว่าน่าเสียดายที่ทั้งคู่ต้องไปจากที่นี่แล้ว
“คุณหนู ลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”
“มินอา มินอาของฉัน คุณหนูอะไรกัน! เรียกท่านพี่สิ! ดื่มไหม”
“ไม่ได้ค่ะ ต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไร ไม่เอา ขออีกแก้วเดียวนะ นี่เป็นคำสั่ง! คำสั่ง”
คำสั่งอะไรกัน ข้าคงไม่ได้ตายตามอายุขัยแล้วสินะ มินอาบ่นพึมพำในใจแล้วแตะที่หลังคอของรยูฮาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ หากเป็นปกติรยูฮาก็คงจะไม่พลาดท่าอย่างเด็ดขาด แต่ร่างที่เมามายเต็มที่สุดท้ายก็ร่วงลงในอ้อมแขนของมินอาอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
“ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว ข้าจะให้ขี่หลังไปเจ้าค่ะ”
“หา? ฮูหยิน! ไม่ได้นะ เดี๋ยวข้าจะให้ขี่หลังไปเอง!”
ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นรยูฮาที่หลับตาพริ้มและถูกแบกอยู่บนหลังมินอา ฮอนจึงลุกพรวดขึ้นและเดินโซซัดโซเซตามมา แต่มินอาก็แบกรยูฮาไปได้อย่างสบายๆ และออกมาจากร้านเหล้า ไร้วี่แววของผู้คนที่เคยรวมตัวกันอย่างพลุกพล่าน และมีเพียงโคมไฟที่ผู้คนห้อยไว้เท่านั้นที่ส่องแสงระยิบระยับผ่านถนนที่ดูอันตราย ดวงตาของมินอาที่เดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ารยูฮาจะตื่นขึ้นมาวุ่นวายมองทะลุเข้าไปในความมืดมิดอย่างแหลมคม กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามลมกระจายไปตามด้านล่างโคมไฟอย่างรุนแรง
“ท่านขันที”
“ขอรับ?”
“ตามหลังข้ามานะเจ้าคะ”
เมื่อสะเดาะกลอนประตูที่ปิดอยู่ของร้านค้าที่อยู่ใกล้ออกก็เห็นกองลังที่ซ้อนกันอยู่สูง หลังจากที่มินอาวางรยูฮาลงด้านหลังนั้น จูฮวันที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ก็พาฮอนตามมาเช่นกัน
“ฮูหยิน!”
หลังจากแน่ใจแล้วว่าฮอนที่ยังคงตั้งสติไม่ได้ตามรยูฮาเข้าไปแล้ว มินอาจึงปิดประตู เมื่อต้นขาเต่งตึงภายใต้กระโปรงของมินอาซึ่งถูกถกขึ้นปรากฏออกมาอวดโฉม จูฮวันจึงรีบเบือนหน้าหนีด้วยความตกใจ แต่มินอาไม่ได้สนใจและเอามีดสั้นที่อยู่ในนั้นออกมา พร้อมกับสังเกตมองบริเวณโดยรอบ
ตอนที่ออกมาจากบ้านมหาเสนาบดี นางสัมผัสได้ว่ามีคนห้าคนตามมาอย่างแน่นอน แต่พอออกมาจากร้านเหล้า จำนวนก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบคนและสัมผัสได้ถึงความอำมหิตที่แปลกประหลาดอีกด้วย คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแน่ๆ ในขณะที่อยู่ในร้านเหล้า ให้ตายเถอะ มินอาพึมพำเบาๆ แล้วกัดปาก
ทางฝั่งนั้นคือนักฆ่าที่มีความสามารถพอที่จะเอาชนะทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทได้ แต่ทางฝั่งเรามีตั้งสองคนที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสู้ได้ มินอาคงจะต้านทานไว้คนเดียวได้ไม่นานนัก ต่อมานางจึงตัดสินใจพลางกระซิบกับจูฮวันซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง
“วิ่งไปที่บ้านมหาเสนาบดีและไปตามคนมา ข้าจะทำทุกทางเพื่อปกป้องทั้งสองคนเองเจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
เสียงฝีเท้าของขันทีเริ่มไกลออกไป หลังจากเงี่ยหูฟังว่ามีใครทำร้ายเขาไหม แต่จำนวนคนที่สัมผัสได้ไม่ลดน้อยลง นางจึงกลั้นใจเดินตรงไปหาพวกเขา อดทนเพียงไม่นานเดี๋ยวท่านมหาเสนาบดีกับลูกน้องก็คงจะมา คมดาบอันแหลมคมแวววับท่ามกลางความมืดมิดและค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
“อะไรกัน นังผู้หญิงคนนี้…”
คำพูดของผู้ลอบสังหารซึ่งปรากฏตัวออกมาเป็นคนแรกสุดถูกขัดด้วยลูกธนูอันแหลมคมและหายไปกลางอากาศ ลูกธนูขนาดเล็กบินที่ออกมาจากช่องตรงประตูที่ถูกแง้มอยู่และทะลุเข้าไปที่คอของเขานั้นดูคุ้นตา หากมีการยิงคุ้มกัน ความสามารถในการป้องกันก็จะเพิ่มสูงขึ้น มินอารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับปลุกประสาทสัมผัสทั่วทั้งตัว
หลังจากรู้ว่าทางฝั่งนี้มีอาวุธ พวกผู้ลอบสังหารจึงไม่เปิดเผยตัวออกมาอีก อดทนไว้อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น แต่แล้วก็มีหินก้อนหนึ่งร่วงและกลิ้งลงมาจากที่ไหนสักแห่ง และในขณะเดียวกันมินอาก็แย่งดาบมาจากมือของผู้ลอบสังหารซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ ดาบทั้งเก้าเล่มพุ่งตรงมาทางนาง แต่มีดสั้นที่ถือในมือก็ถูกสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเสียบเข้าไปในคอของผู้ลอบสังหาร ตอนนี้ก็เหลือแปด
ลูกธนูที่บินมาอีกครั้งทะลุกะโหลกศีรษะของอีกคนหนึ่ง เหลือเจ็ด นางต้องคมดาบบ้างท่ามกลางสายฝนแห่งคมดาบที่โปรยปรายลงมาอย่างบ้าคลั่ง สีข้างของผู้ลอบสังหารถูกเฉือนยาวเหยียดด้วยดาบที่กวัดแกว่งแล้วกลิ้งกลับไปด้านหลัง จากนั้นผู้ลอบสังหารจึงใช้มือกำเครื่องในที่ไหลทะลักออกมาก่อนจะสิ้นสติไป หก พวกผู้ลอบสังหารต่างตกใจกับความสามารถของผู้หญิงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเริ่มลังเลและล้อมรอบนาง
“ใครส่งพวกเจ้ามา”
คำถามของมินอาได้เสียงหัวเราะเยาะกลับมาแทน แต่นางไม่ได้คิดที่จะถามเพื่อให้ได้รู้ตัวเบื้องหลังอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่เพียงขอเวลาหยุดพักหายใจหายคอสักหน่อยเท่านั้น
“เจ้ารู้ไปแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนหมาข้างถนนตรงนี้ ช่างน่าเสียดายความสามารถจริงๆ”
“คงต้องได้เงินเพิ่มแล้วแหละ ไม่เห็นบอกเลยว่าหญิงรับใช้จะใช้ดาบเป็นด้วย แม่งเอ๊ย”
หนึ่งในนั้นบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกราวกับเค้นออกมาจากข้างใน นางถือว่าประโยคนั้นเป็นการส่งสัญญาณก่อนที่จะยกดาบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยแรงที่น้อยกว่าเมื่อสักครู่เพราะเลือดที่ไหลออกมาจากแขนซึ่งใช้กันพวกเขา ระหว่างที่ผู้ลอบสังหารหลบลูกธนูที่ยิงเฉียดผ่านเส้นผมมินอา ดาบของมินอาก็เสียบเข้าที่ท้องของเขา จากนั้นดึงมันออกมาและแกว่งดาบในทันที ทำให้แขนของผู้ลอบสังหารที่อยู่ข้างๆ หลุดลอยออกไป ตอนนี้ก็เหลือแค่สี่
มินอาเองก็รู้สึกปวดราวกับแขนถูกตัดออกไปพร้อมกับส่งเสียงโอดครวญออกมาอย่างทรมานเช่นกัน เลือดสีเข้มไหลลงมาตามมือข้างขวาจึงเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมือซ้าย ผู้ลอบสังหารไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นจึงรีบแทงดาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ลอบสังหารอีกคนก็เข้าไปใกล้ตรงประตูที่เห็นว่าแง้มอยู่
ลูกธนูที่ยิงคุ้มกันมินอาจากทางด้านหลังไม่ยิงออกมาอีกเหมือนกับว่ายิงออกไปหมดแล้ว ถ้าพุ่งตัวออกไปกันดาบ รยูฮาก็จะอันตราย ถ้ากันผู้ลอบสังหาร นางเองก็จะถูกแทงหลัง ทว่าไม่มีเวลาให้ตัดสินใจแล้ว ในขณะที่ดาบของมินอาเล็งไปยังผู้ลอบสังหารซึ่งพุ่งไปหารยูฮานั้นเอง คอที่ร่วงหล่นลงก็กลิ้งลงบนพื้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งขึ้นด้านบนไหลทะลักออกมาจนปกคลุมแสงจันทร์
“กันได้ดีนี่”
เงาของชายร่างใหญ่ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงที่ฟังดูสบายๆ ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างยิ่งแทงและฟันพวกผู้ลอบสังหารอย่างว่องไว เลือดสาดไปทั่วราวกับกลีบดอกไม้ พร้อมกันกับที่พวกผู้ลอบสังหารที่เหลือทรุดลงกับพื้น เมื่อคนสุดท้ายถูกเฉือนตั้งแต่หน้าอกจนถึงท้องแล้วล้มลงไป การต่อสู้ก็สิ้นสุดลง
ชายหนุ่มเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนดาบกับศพของผู้ลอบสังหารแล้วจึงหันหน้ามา ที่ปลายสายตานั้นเห็นมินอาทรุดลงไปกับพื้นและกดบาดแผลที่ถูกฟันลึกไว้แน่น แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกบดบังด้วยหน้ากากและเผยให้เห็นเพียงแค่ตา แต่มินอาก็รู้ว่าเขาคือใครตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฏตัว
“ลำบากแย่เลย ข้ามาช้าสินะ”
ชายหนุ่มยิ้มพลางดึงหน้ากากลงข้างล่าง
* * *
“อะไรนะ ล้มเหลว?”
เคราหนาของจูเยฮึงสั่นระริก แก้วเหล้าที่อยู่ในมือของเขาพุ่งไปที่หน้าผากของผู้ชายซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ล่างขั้นบันไดทันที แต่เขาก็ไม่หลบ เลือดไหลรินออกมาจากหน้าผากที่แตกจนทำให้เกิดแอ่งน้ำเล็กๆ บนพื้นดิน
“ขออภัยขอรับ ข้าคิดว่าเกือบจะสำเร็จแล้ว แต่หญิงรับใช้ที่ตามอยู่ด้านหลังเป็นคนที่เก่งพอสมควรขอรับ”
“นักฆ่าก็มีตั้งหลายคน แต่จัดการผู้หญิงคนเดียวไม่ได้เนี่ยนะ!”
ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่น่าอับอายเสียจริง เยฮึงผู้โกรธเกรี้ยวขว้างปาสิ่งของทุกอย่างที่มือหยิบจับได้ออกไปแบบส่งๆ บ้างก็กระแทกกับพื้นจนพัง บ้างก็ทำให้ผู้ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่เป็นแผล
“ข้าให้เงินทองพวกเจ้าตั้งเท่าไหร่! ได้เงินไปแล้วแต่ก็ยังจัดการผู้หญิงแค่คนเดียวไม่ได้ ไปตายกันให้หมด!”
ใบหน้าที่เคยมีความเมตตาบูดเบี้ยวราวกับปีศาจและเสียงขบฟันกรอดก็ดังขึ้นอย่างน่าขนลุก เขาคิดไว้ว่าจะลักพาตัวพระชายา เอาสมุดบัญชีคืนมาแล้วฆ่าทิ้งซะ และค่ำคืนนี้ที่พวกเขาออกมาจากพระราชวังซึ่งมือของเขาเอื้อมไม่ถึงแล้วมายังบ้านตระกูลซอก็เป็นโอกาสทอง แต่มันก็หลุดลอยไปอย่างเปล่าประโยชน์ นอกจากนั้นหลังจากที่ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย ตอนนี้พระชายาก็คงจะเพิ่มการคุ้มกันให้แน่นหนาขึ้นและไม่ออกมาข้างนอกอีกเป็นแน่