วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 9-9
สิ่งที่เยฮึงหวั่นวิตกในตอนนี้ไม่ใช่การลงโทษของพระราชา แต่ที่เขากลัวคือต้องไม่ให้พระมเหสีล่วงรู้ว่าเขาได้รับสินบนจากพวกเจ้าเมืองที่เขตชายแดน หากเรื่องนี้ถึงหูพระมเหสี คงจะถูกตัดขาดอย่างไร้ความเมตตาแน่นอน แม้ว่าจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันก็ตาม เยฮึงผู้ซึ่งมีสายเลือดเดียวกันกับนางรู้ความจริงเรื่องนั้นดียิ่งกว่าใคร
“ยังมีอีกขอรับใต้เท้า คนผู้นั้นไม่ใช่พวกทหารคุ้มกันที่เคยแจ้งไว้ล่วงหน้า แต่เป็นผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจอีกหนึ่งคนขอรับ แต่เนื่องจากว่าเขาแทรกเข้ามาระหว่างการต่อสู้ จึงมีความเป็นไปได้ที่เขาน่าจะเป็นแค่คนที่ผ่านไปมาเฉยๆ ขอรับ อันที่จริงหากเขาไม่ปรากฏตัวออกมา ตอนนี้ข้าก็คงจะลากตัวพระชายามาอยู่ตรงหน้าใต้เท้าได้แล้วขอรับ”
“ข้ออ้างเยอะเหลือเกินนะ”
ชายหนุ่มจึงปิดปากสนิทและไม่พูดอะไรอีก ความจริงแล้วเขาเองก็เจ็บแค้นใจเหมือนกัน การกำจัดเงาทั้งห้าทำให้ลูกน้องกว่ายี่สิบคนไม่เสียชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงลูกน้องอีกสิบคนที่ถูกจัดการโดยหญิงรับใช้ซึ่งคอยปกป้องพระชายา ลูกธนูที่ไม่รู้ที่มา และผู้มีความสามารถที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา
ให้ไปลักพาตัวพระชายางั้นหรือ ภารกิจนี้อันตรายตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว หากเป็นคนอื่นจ้างวาน เขาก็คงจะไม่รับเด็ดขาด ไม่ว่าจะให้เงินทองมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะผู้จ้างวานคือพี่ชายของพระมเหสีไม่ใช่ใครอื่น ซึ่งค่าตอบแทนอันมหาศาลที่จะตามมาหากทำสำเร็จไม่ใช่แค่เพียงเงินทองอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันคือการเดิมพันเพื่ออนาคตจึงยอมตกปากรับคำ แต่พอมาตอนนี้จึงตระหนักได้ว่ามันไม่ต่างอะไรกับผีเสื้อกลางคืนที่โง่เขลาที่โดดเข้าไปในกองเพลิงเลย ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างพังพินาศหมดแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในใจมีเพียงแค่ความเสียดายเท่านั้น
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ไสหัวออกไปได้แล้ว และจงใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ จนกว่าข้าจะเรียกอีกที”
แม้จะอยากยึดเงินที่ให้ไปแล้วคืน แต่กลุ่มนักฆ่าที่พอจะมาแทนที่พวกนี้ได้นั้นไม่ได้หาง่ายๆ เยฮึงกัดฟันกรอดแล้วโยนถุงเงินค่าชีวิตของพวกที่ตายไปตรงหน้าเขา ก่อนจะเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูดังปัง
ต้องเอาสมุดบัญชีกลับคืนมาให้ได้ พระชายาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไม่เอามันไปถวายให้พระราชาเสียที ทว่าหากองค์รัชทายาทเปิดเผยสมุดบัญชีให้โลกได้เห็น พวกนักลอบสังหารที่พระมเหสีส่งมาก็คงจะมาปาดคอเยฮึงและแขวนมันไว้ตรงหน้าประตูพระราชวังแน่ๆ
สำหรับนางแล้ว ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อใครไม่ใช่เรื่องสำคัญสักนิด เพราะน้องสาวของเยฮึงคือผู้หญิงน่ากลัวซึ่งเต็มไปด้วยความโลภในเรื่องอำนาจโดยไร้ซึ่งความปราณี
* * *
“อึ่ก”
มินอาลืมตาขึ้นพลางโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แม้เตียงจะนุ่มจนทำให้รู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนคือความฝัน แต่บาดแผลที่ปรากฏเต็มไปทั่วร่างกายอธิบายอย่างชัดเจนและแต่ละแผลก็มีอาการเจ็บแสบไปหมด
“มินอา!”
รยูฮาลุกพรวดขึ้นมาเพราะเสียงนั้นหลังจากฟุบหลับไปบนเตียงสักพัก แล้วจึงตรวจดูมินอา ริมฝีปากที่ซีดเผือดเพราะเลือดไหลเยอะก็กลับมาเป็นสีเดิมแล้ว รยูฮาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเอาขันน้ำไปแตะตรงริมฝีปากที่แห้งผาก เอื๊อก แม้แต่เสียงน้ำไหลผ่านหลอดอาหารก็ยังน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมเพคะ”
หลังจากดื่มน้ำจนหมด มินอาก็หายใจออกดังฟู่วแล้วเอ่ยถาม
“บาดเจ็บอะไรกัน เจ้าต่างหากที่บาดเจ็บ ขอโทษนะ ที่เมาเหล้าขนาดนั้นจนลุกขึ้นมาไม่ได้…”
รยูฮาบ่นอย่างหดหู่ใจพร้อมกับลูบเส้นผมของมินอาที่ปรกลงมาขึ้นไป ก่อนที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและหญิงรับใช้ก็เคยทั้งกินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน ฝึนฝนด้วยกัน ร้องไห้และยิ้มด้วยกัน รวมถึงเป็นน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันอีก ตอนที่เห็นมินอามีแผลเต็มตัวและนอนนิ่งราวกับตายไปแล้ว หัวใจของนางก็ตกไปที่ตาตุ่มจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“ไม่เป็นไรเพคะ แค่เห็นว่าพระชายาทรงปลอดภัยดี เท่านั้นก็เพียงพอแล้วเพคะ”
ความจริงแล้ว นางรู้ดีกว่าใครว่าเหตุผลที่ทำให้รยูฮาลุกขึ้นมาไม่ได้นั้นไม่ใช่เพราะเหล้า แต่เป็นเพราะจุดที่ตนเองเป็นคนแตะต่างหาก แต่ถ้าหากทิ้งความรู้สึกผิดเล็กน้อยไว้ให้กับเจ้านาย ต่อไปนางก็คงจะดื่มเหล้าแบบหักห้ามใจตัวเองขึ้นมาหน่อย บางครั้งการไม่รู้ก็ย่อมดีกว่า
“นี่ไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้ ฝ่าบาทคงจะทรงเป็นห่วงข้ามากแน่ แล้วก็…”
ประตูถูกเปิดออกพรวดก่อนที่รยูฮาจะพูดจบ พร้อมกันกับที่ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
“โอ๊ะ เจ้าฟื้นแล้วหรือ เลือดไหลเยอะขนาดนั้นแต่ก็ฟื้นขึ้นมาได้ สมกับเป็นมินอาจริงๆ”
“ท่านอาจารย์!”
มินอาที่ถูกพันด้วยผ้าฝ้ายทั้งตัวและกึ่งเปลือยท่อนบนตะโกนออกมา โฮจินจึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ รยูฮาโดยที่ยังคงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นเอาไว้
“เมื่อวานข้าเท่ไม่เบาเลยใช่หรือไม่ ถ้าตอนนั้นข้าไม่ออกไปพอดีล่ะก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ”
“…เฮอะ”
คำพูดนั้นถูกต้อง มินอาจึงไม่พูดอะไรและเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมา
“ช่วยออกไปข้างนอกสักครู่ก่อนเจ้าค่ะ ข้าขอใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
“แต่ข้าชอบตอนนี้มากกว่านะ”
“โอ๊ย ท่านอาจารย์!”
หลังจากที่มินอาแผดเสียงขึ้นอีกครั้งและมือของรยูฮาที่เงื้อขึ้นกลางอากาศฟาดลงมาที่หลังอย่างแรง โฮจินจึงลุกขึ้นพลางบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง และพอออกมาข้างนอกได้สักสามสี่ก้าวก็พบกับใบหน้าที่ไม่รับแขกโดยบังเอิญที่อยู่ตรงหน้าพอดี เขาจึงก้มหัวให้
“เดี๋ยว”
ฮอนรั้งเท้าของโฮจินที่ทักทายอย่างขอไปทีและกำลังจะเดินผ่านไปเอาไว้
“ดื่มชาด้วยกันสักถ้วยดีไหม”
“กระหม่อมเป็นเพียงนักดาบผู้โง่เขลา ไม่รู้เรื่องรสชาติของช้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของชายหนุ่มทั้งสองที่ไม่ใช่เล่นๆ ปะทะกันกลางอากาศจนประกายไฟปะทุขึ้นมา หากมีกระดาษสักแผ่นมาคั่นกลาง มันคงจะหายไปแบบไม่เหลือซากเลยทีเดียว
“ถ้างั้นข้าจะดื่มชา ส่วนเจ้าก็เอาเหล้ามาสักขวดแล้วกัน”
โฮจินไม่คิดจะปกปิดสีหน้าไม่พอใจใดๆ แล้วจึงเดินนำหน้าไปยังเรือนอีกหลังหนึ่ง ดื่มชาสักถ้วยอย่างสบายใจกับองค์รัชทายาทที่เคยจ้องหาโอกาสจะฆ่าข้าเนี่ยนะ แม้ว่าอยากจะทำเป็นไม่ใส่ใจและเลี่ยงทั้งองค์รัชทายาทและพระราชา แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ซอดูผู้เป็นอาจารย์อารมณ์เสีย
“ฝ่าบาท ทรงพักผ่อนสบายไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท”
มหาเสนาบดีและลูกชายทั้งสามที่เข้ามาในเรือนพอดีมองพวกเขาทั้งสองและโค้งถวายการคำนับ สีหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง จนทำให้คิดว่าในเส้นเลือดของพวกเขาคงจะมีน้ำแข็งไหลเวียนอยู่อย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ได้เจอพี่ชายทั้งสามของรยูฮา ฮอนก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเลยว่ารยูฮาโตมามีนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร
“ต้องขอบใจพวกท่านมาก ข้าจึงพักผ่อนได้อย่างไร้ความกังวล ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเขาสักหน่อย ท่านช่วยจัดชากับเหล้าหนึ่งขวดมาให้หน่อยได้หรือไม่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
แววตาของมหาเสนาบดีที่โค้งคำนับและเงยหน้าขึ้นมานั้นส่งคำเตือนมาให้โฮจินแบบไร้สุ่มเสียง สายตานั้นสื่อว่าหากทำอะไรให้ฝ่าบาททรงไม่สบายพระทัยล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ โฮจินพยายามทำเป็นมองไม่เห็นและจ้องมองนกกระจอกที่ร้องจิ๊บๆ อยู่ตรงสวนหน้าบ้าน จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากแน่ใจแล้ว มหาเสนาบดีจึงพาลูกชายทั้งสามหายวับไป
“ชิ”
โฮจินซึ่งเดินดุ่มๆ นำหน้าเปิดห้องที่มหาเสนาบดีเพิ่งออกมาเมื่อสักครู่แล้วเข้าไป จากนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา ส่วนฮอนก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาเอาแต่จ้องหน้ากันไปกันมา ไม่พูดอะไรกันและปล่อยให้ความเงียบคงอยู่ต่อไปเช่นนั้น จนกระทั่งสาวใช้สองคนนำโต๊ะเหล้าและโต๊ะชามาถวาย
ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไร แต่ภาพของชายหนุ่มรูปงามทั้งสองนั่งอยู่เงียบๆ ด้วยกันแบบนี้ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริง สาวใช้ที่เข้ามาต่างหน้าแดงและพยายามแอบมองดูพวกเขา
“ฝ่าบาท โต๊ะชามาแล้วเพคะ”
“เข้ามาสิ”
เหล่าสาวใช้วางชาและเหล้าลงตรงหน้าของแต่ละคนด้วยความประหม่า แล้วจึงเดินถอยหลังกลับไป โฮจินจับเหมือนกระชากขวดเหล้ามาและกรอกเข้าปากไปทั้งขวด เสียงขวดเหล้าที่เบาหวิวกระทบกับโต๊ะดังขึ้นอย่างแรง
“ตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แชยอนสบายดีหรือไม่”
ฮอนพูดเรื่องแชยอนขึ้นมาหลังจากที่จิบชาด้วยท่าทางสุขุมซึ่งตรงกันข้ามกับเขา โฮจินจึงมองขึ้นไปที่เพดานพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา พลางบ่นอยู่ในใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ล่ะก็คงจะหวดไปแล้ว
“ฝ่าบาทตรัสถามถึงนางทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าเขาจะมีท่าทางอวดดีตลอดเวลา แต่ฮอนก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไร แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะใจดี แต่เพราะเมื่อคืนเขาได้ช่วยรยูฮาเอาไว้ จึงจำเป็นต้องแยกบุญคุณและความเป็นศัตรูไว้ก่อน
“เพราะสงสัยอย่างไรเล่า”
“ตอนนี้นางคือผู้หญิงของข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วใครว่าอะไรหรือยัง เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นไม่เคยเป็นผู้หญิงของข้าจริงๆ ก็แค่…”