วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-1 ฮาแบค [เล่ม 5]
ตอนพิเศษ 1 ฮาแบค
“เฮ้อ”
ฮาแบคกุมหน้าผากพลางมองกองเอกสารที่ยังเหลือเกินกว่าครึ่งภายในห้องทำงานไร้ผู้คน อยากกลับจวนจัง อยากกลับไปนอนแล้ว ภาพชายฉลองพระองค์มังกรสะบัดหายวับหลังทำงานส่วนของตนเสร็จยังติดตาเขาอยู่ ตอนนั้นไม่น่าช่วยชีวิตเลย ถ้าผู้อื่นล่วงรู้ความคิดนี้เข้าคงตกตะลึงเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้พระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังแข็งแรงกว่าเขาด้วยซ้ำ
“ท่านพ่ออดทนทำอะไรเช่นนี้มานานขนาดนั้นได้อย่างไรขอรับ”
การคร่ำครวญที่ไม่มีผู้ใดดังผ่านอากาศยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ แต่จะมัวเสียเวลาอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ฮาแบคสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษอันใหม่ และเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่างานจะเยอะเพียงใด แต่ทั้งหมดก็คืองานหลวง ดังนั้นจึงต้องเหนื่อยมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว
กว่าจะจัดการม้วนกระดาษทั้งหมดและนำมารวมไว้ที่เดียวกันเสร็จ ก็ล่วงเลยจนเข้ายามจา[1]แล้ว หากต้องออกมาทำงานตอนเช้ามืดก็ควรต้องรีบเข้านอนสักหน่อย ทว่าอีกไม่กี่ก้าวจะพ้นประตูวัง ฝีเท้าเร่งรีบของฮาแบคก็ต้องชะงักกึก
สิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดก็คือสตรีนางหนึ่ง สตรีตัวเล็กๆ นั่งพิงอยู่ใต้กำแพงประตูวัง แม้จะไม่รู้ว่าหลับหรือสลบอยู่กันแน่ แต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยมองข้ามได้ เนื่องจากเป็นฤดูที่มีน้ำค้างแข็งหนาวเย็นเกาะผืนนาว่างเปล่าหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว อย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็นราษฎร ส่วนตนก็เป็นมหาเสนาบดีที่มีหน้าที่ดูแลราษฎร นั่นหมายความว่าเขาต้องช่วยเหลือนาง
“นี่ แม่นางเป็นอะไรหรือไม่”
ฮาแบคเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ ดูเหมือนว่าจะต้องปลุกให้ตื่นเสียก่อน
“ขอเสียมารยาทหน่อยแล้วกัน”
แม้จะไม่มีผู้ใดว่าอะไร แต่เขาก็กล่าวขอโทษเบาๆ ก่อนจะแตะมือลงบนลาดไหล่บาง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะแค่เพียงสัมผัสผ่านเนื้อผ้าเก่าๆ ยังรับรู้ได้ว่าไหล่ผอมบางเย็นเฉียบเพียงใด จนพานสงสัยว่านางอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว เขารีบตรวจวัดชีพจรทันที ถึงมันจะยังคงเต้นเบาๆ อยู่ แต่ไม่มีเวลาให้เถลไถลแล้ว ฮาแบคถอดเสื้อนอกออกคลุมตัวให้ จากนั้นก็อุ้มนางขึ้นพร้อมเร่งฝีเท้า
“กลับมาแล้วหรือ… ตายจริง นายน้อย!”
คนรีบใช้ผู้เปิดประตูให้ตื่นตระหนกตกใจจนถอยกรูดไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของนายน้อยฮาแบค บุรุษผู้ไร้ความสนใจในสตรี
“ก่อไฟในห้องของข้าไว้แล้วใช่หรือไม่”
“ขะ ขอรับ”
ร่างสูงอุ้มสตรีแปลกหน้าตรงเข้าห้องตนทันที หลังจากวางตัวลงบนเตียงถึงสังเกตเห็นว่านางยังเยาว์อยู่ น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าเด็กสาวมากกว่าหญิงสาว
แม้ตัวจะเย็นเหมือนแผ่นน้ำแข็ง ทว่าหน้าผากกลับร้อนระอุราวกับลูกไฟ เขาห่มผ้าให้นางก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะเดินไปที่ห้องยาและกลับมาพร้อมกับสมุนไพรลดไข้ด้วยความเร่งรีบ จะดีกว่าหากเคี่ยวให้ดีแล้วป้อนให้ดื่ม แต่เวลาเร่งด่วนเช่นนี้เพียงนำแช่น้ำป้อนเข้าปากน่าจะเหมาะสมกว่า
“เกิดเสียงเอะอะอะไรหรือ”
นายหญิงของตระกูลเอ่ยถามมาด้านนอกประตู หลังได้รับการรายงานจากคนรับใช้
“นางสลบอยู่หน้าประตูวัง ลูกเลยพากลับมาด้วยขอรับ แถมยังดึกมากแล้วจึงไม่มีหมอพอจะฝากรักษาได้ด้วย”
“งั้นหรือ ทำแต่พอดี แล้วก็เข้านอนนะลูก”
“ขอรับท่านแม่”
ฮาแบคตอบพลางโขลกสมุนไพรอย่างขยันขันแข็ง จากนั้นก็ตัดใส่ปากคนป่วยทีละนิดและป้อนน้ำอุ่นตาม ผ่านไปไม่นานนัก ลมหายใจไม่มั่นคงก็ค่อยๆ ดีขึ้น พิษไข้ก็เริ่มลดลงเช่นกัน
ผ่านจุดวิกฤติแล้ว เราเองก็นอนสักหน่อยดีกว่า คิดพร้อมนวดต้นคอคลายความเมื่อยล้า แต่แล้วก็พบเจอกับอุปสรรคจนได้ เนื่องจากสตรีนางนั้นนอนอยู่บนเตียงของตน ส่งผลให้เขาไม่มีที่นอนนั่นเอง ฮาแบคมองประตูสักพักด้วยความลังเลบางอย่าง ต่อมาก็จัดการเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกจากห้อง ตรงไปยังห้องฮาโด ซึ่งเป็นห้องนอนสำหรับเหล่าคนรับใช้ชาย
“เขยิบไปหน่อย”
“โอ๊ย อะไรวะ… นายน้อย?”
คนรับใช้ผู้หนึ่งที่โดนดันตัวออกบ่นพึมพำและลุกพรวดขึ้นมา ฮาแบคไม่พลาดโอกาสนั้นรีบแทรกตัวนอนลงและห่มผ้าคลุมกาย
“ขอยืมที่หน่อยแล้วกัน”
หลังเอ่ยขออนุญาตก็ผล็อยหลับทันที ก่อนคนรับใช้จะตั้งสติได้จากอาการตกใจเสียอีก
เช้ามืดของวันถัดมา ร่างสูงก็ตื่นมาล้างหน้าล้างตาและกลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง สตรีแปลกหน้าเองก็ตื่นขึ้นมาพอดี นางนั่งอยู่บนเตียงพลางกวาดตามองรอบๆ ด้วยความมึนงง
“ตื่นแล้วหรือขอรับ”
“ที่นี่…?”
อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ฟังจากเสียงแผ่วเบาแล้วดูเหมือนจะยังขยับตัวได้ลำบากอยู่
“จวนของข้าเอง”
ฮาแบคกล่าวพร้อมขยับเข้าหาคนป่วย ก่อนจะโค้งคำนับให้เล็กน้อย ดวงตาของนางเบิกโตเท่าไข่ห่านอย่างตกตะลึง
“ขอเสียมารยาทหน่อยนะขอรับ”
ไข้ลดลงแล้ว… หลังลองแตะหน้าผาก เขาก็จับข้อมือผอมแห้งเพื่อวัดชีพจรต่อ แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าแข็งแรงดีแล้ว แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะทีเดียว ระหว่างนั้นนางยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ ได้แต่กะพริบดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษตรงหน้า
“เกือบจะเป็นอันตรายเสียแล้ว เดี๋ยวข้าจะเคี่ยวสมุนไพรให้ ไว้ทานหลังอาหารนะขอรับ อ้อ ช่วยหันหลังไปสักครู่ได้หรือไม่”
“ขะ ข้า?”
“เร็วสิขอรับ อย่างที่ท่านเห็น ข้างานยุ่งมาก”
สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ และกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังแต่โดยดีเมื่อโดนเร่ง ซวบซาบ เสียงผ้าสีกันทำเอาใบหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าฮาแบคไม่รับรู้ใดๆ เพราะกำลังสนใจอยู่กับการเปลี่ยนชุดขุนนางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะรับร้อน แต่เสื้อผ้าของเขาก็เรียบร้อยไร้รอยยับ กระทั่งชุดนอนก็ถอดพับอย่างเรียบร้อยเป๊ะทุกมุม เหมือนเช่นรูปลักษณ์ภายนอกของเขาที่ดูเย็นชาแต่ก็สุภาพเรียบร้อย
“พักผ่อนให้สบายนะขอรับ”
คำเอ่ยลาอย่างไม่ใส่ใจและเสียงปิดประตู ทำให้คนป่วยหันหลังกลับมาพร้อมอาการใจหายใจคว่ำ ทว่าสิ่งที่มองเห็นก็มีเพียงแค่ชายชุดสีน้ำเงินพลิ้วประตูเท่านั้น
* * *
“ท่านดูเหนื่อยนะ ท่านมหาเสนาบดี”
หลังจากจบงานช่วงเช้าแล้ว ฮาแบคก็ยังถูกลากมากักตัวในห้องทำงานเช่นเดิม คำถามด้วยความเป็นห่วงเพียงเล็กน้อยจากฮอน ก็ไม่มีทางได้รับคำตอบดีๆ กลับไปแน่นอน
“หากทรงเห็นเช่นนั้น ก็โปรดให้กระหม่อมเลิกงานเร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเสร็จงานนี้แล้วล่ะก็…”
“…นั่นมัน ทรงตรัสเมื่อครั้งก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าเคยบอกด้วยหรือ ฮอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางประทับตราพระราชาลงบนม้วนกระดาษเสียงดังปึงปัง
“…ฝ่าบาท”
“ว่ามาสิท่านมหาเสนาบดี”
“วันนี้กระหม่อมต้องเลิกงานเร็วขึ้นจริงๆ ดังนั้นโปรดทรงแบ่งงานอย่างเป็นธรรมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เดี๋ยวนะ ข้าเคยแบ่งไม่เป็นธรรมเมื่อใดกัน”
เรียกว่ากินปูนร้องท้องใช่หรือไม่ คนโดนกล่าวหาสะดุ้งและขึ้นเสียงสูงไม่รู้ตัว มันเป็นความจริงที่เขาแบ่งงานไม่ยุติธรรมนิดหน่อย แต่หากยอมรับ ครั้งต่อๆ ไปก็จะต้องแบ่งงานให้เป็นธรรมจริงๆ นี่นา
“ทรงไม่เป็นธรรมเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ทูลขอให้พระองค์ทรงทำเยอะกว่าเลย ขอแค่ให้มันเท่าเทียมก็พอ ทรงยังไม่ลืมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่าท่านพ่อของกระหม่อมวางจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วหนีหายไป”
“เช่นนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็จะส่งจดหมายลาออกเหมือนกันงั้นหรือ”
“กระหม่อมเขียนไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จากตั้งใจจะพยายามดุดันขึ้นอีกนิดกลับต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นประนีประนอม เพราะหากฮาแบคแอบวางจดหมายลาออกแล้วหนีจริงๆ คนซวยก็คือตัวฮอนเอง
“อะแฮ่มๆ สีหน้าของท่านก็ดูไม่ค่อยดีนัก เห็นเพียงเท่านั้นข้าก็คิดจะให้ท่านเลิกงานก่อนเวลาอยู่แล้วน่า”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
[1] ยามจา เวลาประมาณห้าทุ่ม-ตีหนึ่ง