วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-10 ฮาแบค
ฮาแบคตื่นสายกว่าปกตินิดหน่อย แต่ถึงจะบอกว่าตื่นสาย ดวงอาทิตย์ยามเช้าก็เพิ่งโผล่ขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้นเอง เขาใช้เวลาหนึ่งวันในห้องตนและห้องยาเป็นส่วนใหญ่เหมือนช่วงก่อนเข้ารับราชการ หากจะมีจุดแตกต่างก็น่าจะเป็นสตรีตัวเล็กผู้หนึ่ง เจ้าของดวงตาเป็นประกายและคอยพยักหน้าไปมาอยู่ข้างๆ เขา จากเคยอยู่เพียงลำพังมาตลอด
“นี่คือหญ้าแส้ม้า ใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะ กระตุ้นการขับปัสสาวะเพื่อขับพิษในร่างกาย ทั้งยังสามารถชะล้างเชื้อโรคบนแผล และซ่อมแซมผิวหนังได้ด้วยขอรับ วันนี้หลังจากต้มน้ำเสร็จ ให้ทิ้งไว้จนอุ่นพอจะนำมือจุ่มลงไปได้ จากนั้นให้นำสิ่งนี้ลงแช่ให้ละลายแล้วบรรจุใส่ขวด”
“บรรเทาอาการปวดศีรษะ ขับปัสสาวะ ขับพิษ ล้างเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวหนัง เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน ข้าจะมาหยิบสมุนไพรอีกทีหลังจากต้มน้ำเสร็จแล้ว”
เงาสองเงายืนเคียงกันภายใต้แสงตะวันลอดผ่านทางช่องว่างของประตู ฮาแบคเบนสายตาออกจากเงาของนางไปยังชายกระโปรงสีม่วงอ่อน เมื่อเจ้าตัวเดินออกไปข้างนอกแล้ว มันคือเสื้อผ้าที่นายหญิงตระกูลจองเคยใส่สมัยยังเป็นสาว แน่นอนว่าถักทอจากผ้าเนื้อดีราคาแพง แต่สำหรับสตรีร่างเล็กแล้วมันก็ค่อนข้างใหญ่ไปสักหน่อย เหลืออีกเพียงแปดวันเท่านั้น เขานับเวลาที่เหลืออยู่จนกว่าการพักงานจะจบลง ก่อนจะนำหญ้าแส้ม้าแห้งออกมาหนึ่งกำมือแล้วเดินออกมาข้างนอก
“ทำอะไรอยู่หรือขอรับ”
แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินผ่านอย่างทุลักทุเลโดยมีไหวางเทินศีรษะ จึงต้องเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“โอ่งน้ำในห้องครัวว่างเปล่าเจ้าค่ะ ข้าก็เลยไปตักมา”
เจ้าพวกขี้เกียจเอ๊ย รู้ว่าโอ่งก็ต้องมีวันน้ำหมดบ้าง แต่ฮาแบคก็ต่อว่าพวกคนใช้ในใจ จากนั้นก็หยิบไหจากนางมาถือเอง
“ข้าทำได้เจ้าค่ะ!”
“ชีพจรของแม่นางยังอ่อน เลือดก็เย็นอยู่ แถมกล้ามเนื้อก็ไม่มีเรี่ยวแรงอีก นั่นหมายความว่าอะไรรู้หรือไม่”
ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกัดริมฝีปาก แม้จะไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบจริงจัง แต่นางก็ตอบกลับหลังจากลังเลสักพัก
“ต้องกินตังกุยหรือเจ้าคะ”
ฮึ ฮาแบคหลุดขำออกมาสั้นๆ
“หมายความว่าแม่นางยังเป็นคนป่วยต่างหาก ยังไม่ถึงเวลาควรทำอะไรหนักๆ เช่นนี้ ต่อจากนี้ไปหากจะทำงานอะไรหนักๆ ให้มาหาข้านะขอรับ”
“แต่การตักน้ำไม่ได้หนักเลยนะเจ้าคะ”
จู่ๆ คนเดินนำหน้าอยู่ก็ชะงัก ทำเอาคนเดินตามหลังไม่ทันตั้งตัวจนหน้าผากกระแทกแผ่นหลังกว้างเต็มเปา
“แม่นางเคยกล่าวว่าข้าเป็นหมอมิใช่หรือ คติของหมอคือการช่วยชีวิตคนและทำให้แข็งแรงขึ้น คติของคนป่วยก็คือต้องดูแลตนเองและปฏิบัติตามใบสั่งยาของหมอ เข้าใจหรือไม่ขอรับ”
“หมายความว่าให้ข้าเชื่อฟังคำของนายท่านหรือเจ้าคะ”
“ก็เข้าใจง่ายนี่นา”
ฮาแบคเดินเนิบนาบเข้าไปในครัวโดยไม่หันหลังมามอง คนครัวนั่งสัปหงกอยู่ตรงมุมสะดุ้งตื่นและหันมามองประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
“ตายจริง นายน้อย!”
สมควรแล้วที่ต้องตกใจ แต่นายน้อยยกไหเข้ามางั้นหรือ
“ตกใจอะไร เปิดฝาหม้อสิ”
ร่างสูงเทน้ำจากไหลงหม้อ ส่วนที่เหลือก็เทใส่ในโอ่ง พอหันไปมองข้างหลังก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ด้านนอกเหมือนกำลังคิดว่า เข้าไปดีไหม หรือไม่เข้าไปดี เท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างหยุกหยิกอยู่ใต้ชายกระโปรงแสดงชัดถึงความลังเล
“เข้ามาสิขอรับ”
เท้าทั้งสองข้างจึงเข้ามาด้วยความดีใจ แค่มองเท้าก็สามารถเดาอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว ช่างเป็นสตรีแปลกประหลาดเสียจริง
“คอยสังเกต เมื่อน้ำเดือดก็ให้ใช้น้ำนั้นล้างกะละมังก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นเติมน้ำใส่กะละมังแล้วรอให้มันเย็นลงจนสมควรขอรับ ค่อยใช้หญ้าแส้ม้าที่แยกออกมาต่างหากจากห้องยา ส่วนขวดวางอยู่ข้างๆ กัน หลังปิดจุกก็ห่อด้วยกระดาษอีกหนึ่งรอบ ต้องปิดให้สนิทนะขอรับ”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
หลังฮาแบคเดินออกจากห้องครัวก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว คนครัวจึงเริ่มพูดคุยกับสตรีที่นั่งเหม่อมองเปลวไฟลุกโชนอย่างระมัดระวัง
“คุณหนู ข้ามีเรื่องอยากจะถาม…”
หัวใจตกพรวดลงตาตุ่ม นางกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตอาการได้จึงตอบกลับโดยไม่หันมอง
“เจ้าค่ะ พูดมาได้เลย”
จากที่นั่งไกลจึงเขยิบเข้ามาข้างๆ อย่างรวดเร็ว ทำเหมือนกำลังจะพูดคุยถึงความลับ
คงจะสงสัยสินะ แต่จะไม่สงสัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อนางเป็นคนต่างถิ่นที่จู่ๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในจวนของผู้สูงศักดิ์ คนครัวลดเสียงเบาหลังตั้งคำถามใส่คนข้างๆ
“คิดอย่างไรกับนายน้อยของพวกเราหรือเจ้าคะ”
นึกว่าจะเป็นคำถามจำพวกมาจากที่ใด เป็นชนชั้นอะไรเสียอีก นางจึงไม่เข้าใจคำถามเหนือความคาดหมายนั่นจนได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“เฮ้อ ข้าหมายถึงมองในฐานะบุรุษผู้หนึ่งน่ะเจ้าคะ นายน้อยของพวกเรารูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา ตำแหน่งสูงส่งเมื่อเทียบกับอายุ แต่ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมีวิญญาณไม่มีกินยาตามติดหรือไม่ ถึงสนใจแต่การเด็ดใบไม้ใบหญ้ามาตลอด ไม่เคยสนใจสตรีเลย”
“ยะ อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
พอนางย้อนถามอย่างงุนงง อีกฝ่ายที่กำลังพูดจ้อเกี่ยวกับ ‘นายน้อย’ ไม่หยุดจึงทุบหน้าอกดังปักๆ คล้ายรู้สึกอึดอัดใจ
“คุณหนูไม่มีไหวพริบเอาเสียเลยนะเจ้าคะ เขาสนใจคุณหนูอยู่ไม่ใช่หรือ นายน้อยของพวกเราน่ะ!”
พูดภาษาของแทซากุกเช่นกัน แต่ไยถึงเข้าใจยากเหลือเกินอย่างชัดเจน นายน้อย คุณหนู สนใจ คำศัพท์มากมายที่ไม่น่ารวมกันได้มาอยู่ในประโยคเดียวกันได้อย่างไร ใบหน้าเจ้าของบทสนทนาทั้งสองตึงเครียดขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“คุณหนูไม่มีความสนใจในตัวนายน้อยของพวกเราหรือเจ้าคะ ลองคิดดูดีๆ นะ ถึงจะพลิกหาทั่วแทซากุกก็ไม่มีผู้ใดเหมือนนายน้อยของพวกเราอีกแล้ว ดังนั้นความคาดหวังในตัวคุณหนูจากคนในจวนเราจึงไม่ใช่น้อยๆ เลยนะเจ้าค่ะ”
พวกเจ้านายจวนอื่นมักจะเจ้าชู้มัวเมาสตรีไปเรื่อย แต่ไม่รู้เลยว่าผู้คนในจวนนี้มีความคิดแบบไหน คนครัวถอนหายใจไม่หยุดจนเหมือนท่วงทำนองพร้อมใช้ไม้เขี่ยช่องใส่ฟืน สายตาของสตรีนอกตระกูลนี้จึงหยุดอยู่ตรงช่องใส่ฟืนบ้าง ที่แห่งนี้ต้องเป็นจวนของผู้สูงศักดิ์แน่นอน กระทั่งฝืนยังใช้ฝืนที่ดีเยี่ยม จะเขี่ยเท่าไหร่ก็ไม่มีควันดำเลย อาศัยในที่เช่นนี้แล้วเหตุใดถึงต้องมาคาดหวังกับข้าด้วย
“พวกท่านรู้ว่าข้าเป็นคนแบบไหนหรือเจ้าคะถึงได้คาดหวัง? ครอบครัวสูงส่งถึงเพียงนี้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ทั้งชื่อ ทั้งพื้นเพ…”
“ทำไมจะไม่รู้เล่าว่าเป็นคนแบบไหน พอพินิจมองคุณหนูช้าๆ ข้าก็เห็นเลยว่าคุณหนูเป็นคนคล่องแคล่ว ขยัน รูปร่างหน้าตางดงาม จิตใจก็เช่นกัน ดวงตาใสสะอาด หากอวบขึ้นอีกหน่อยก็น่าจะพอดีเลย”
‘คนแบบไหน’ ที่อีกฝ่ายอธิบายดูเหมือนจะไม่ได้หมายถึงพื้นเพ ชนชั้นหรืออดีต ประโยคสุดท้ายยิ่งเพิ่มเสียงเป็นพิเศษให้คนนั่งฟังอย่างเหม่อลอยได้ยินชัดเจนขึ้น
“แต่ที่สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถจัดการอารมณ์ฉุนเฉียวของนายน้อยได้หรือเปล่า”
“อารมณ์ฉุนเฉียว…หรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ มองภายนอก นายน้อยอาจจะดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดในจวน แต่ถ้าระเบิดครั้งนึงแล้วล่ะก็… บรื๋อ อย่าได้พูดถึงเลย”
คนครัววางไม้เขี่ยฟืนลงพร้อมทำท่าขนลุก เนื่องจากเป็นน้ำที่เพิ่งต้มได้ไม่นานจึงเริ่มมีควันลอยขึ้นจากหม้อช้าๆ เท่านั้น นางจ้องมองควันพลางจมอยู่กับความคิด
หากได้รับอนุญาต นางเองก็อยากอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง ไม่ใช่เพราะที่นี่ทำให้อบอุ่นและอิ่มท้อง แต่ประทับใจการปฏิบัติของผู้คนที่นี่ ทุกคนปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี กระทั่งนายหญิงที่พบเจอบ้างเป็นครั้งคราวก็เช่นกัน ท่านมักจะส่งยิ้มไม่รู้ความหมายให้เสมอยามเดินผ่าน แม่กุญแจเย็นๆ ของห้องยาและกลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งเมื่อเปิดเข้าไปก็ชอบ น้ำเสียงอันนุ่มนวลเวลาอธิบายเกี่ยวกับสมุนไพรก็ชื่นชอบเช่นกัน จู่ๆ นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงยิ้มบ่อยกว่าตอนพบกันครั้งแรก
* * *