วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-16 ฮาแบค
ทันทีที่ได้ยินข่าวการตายของซอลอัน อย่างแรกสุดที่พ่อแม่นางทำก็คือเก็บของมีค่า จากนั้นก็หอบข้าวหอบของหนีไป
“ถุย ซวยจริงๆ”
คนรับใช้โยนศพที่ม้วนอยู่ในเสื่อฟางเก่าๆ ลงพื้น ก่อนจะถุยน้ำลายลงข้างๆ การพาร่างยักษ์ๆ ของตนเองขึ้นมาจนถึงที่นี่คงลำบากพอสมควร เขาจึงเหงื่อไหลโชกทั้งๆ ที่อากาศเย็น
“รีบฝังรีบกลับเถอะ”
“กลางเขาลึกแบบนี้จะฝังทำไม เดี๋ยวตอนกลางคืนพวกสิงสาราสัตว์ก็มากินหมดจนไม่เหลือกระดูกเองแหละ”
“แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นคนนะโว้ย”
คนรับใช้ที่มาด้วยกันต่อว่าพลางขุดหลุม
“แต่ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนจ้องมองมาตั้งแต่เมื่อครู่”
เมื่อคนรับใช้ร่างยักษ์ลดเสียงลงเล็กน้อย อีกคนที่กำลังขุดหลุมอยู่จึงหันมองรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่ได้ตอบอะไรเพราะกลัวว่าจะดูเป็นคนขี้ขลาด แต่ก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
“พะ พูดเล่นใช่หรือไม่”
“ข้ารู้สึกแปลกจริงๆ นะ เอาเถอะ เอาดินกลบแล้วรีบไปกัน”
สายลมเย็นพัดผ่านระหว่างพวกเขาสองคน และตอนนั้นเอง พึ่บพั่บ ก็มีอะไรบางอย่างบินขึ้นมาจากพงหญ้าทางฝั่งนู้น
“โอ๊ย ตกใจหมด!”
คนตัวใหญ่คนล้มก้นกระแทก ก่อนจะรีบเด้งตัวลุกวิ่งหนีตามเพื่อนร่วมงานที่วิ่งนำไปไกลก่อนแล้วอย่างสุดกำลัง
ศพของซอลอันจึงถูกทิ้งไว้กลางเขาลึกเช่นนั้น ชุดเปื้อนเลือดแทนผ้าห่อศพ ม้วนด้วยเสื่อฟางเก่าๆ แทนโลงศพทำจากต้นสน หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็มีปรากฏตัวออกมาจากพงหญ้าที่ไก่ฟ้าบินขึ้นไป
“ได้โปรดเถิด”
เสียงกระซิบจริงจังดังจากปากฮาแบคยามแกะเสื่อฟางออก ซอลอันในอ้อมแขนตัวเย็นยิ่งกว่าวันแรกที่เจอหน้าประตูวังเสียอีก เขาเปิดขวดที่นำมาด้วยก่อนจะกระดกของเหลวในนั้น จากนั้นก็ทาบริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากซีดเซียว ใช้ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไประหว่างฟันที่ปิดสนิท
แม้ว่ายาเหนียวและเข้มข้นจะมีรสขมจนแสบลิ้น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงรสชาตินั้น ขอให้ยังไม่สายเกินไป ขอให้ไม่ผสมยาผิด ร่างสูงทำอย่างนั้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้งพร้อมภาวนาอย่างแรงกล้า กระทั่งยาหมดขวดในครั้งที่เก้า
“ลืมตาขึ้นสิขอรับ”
เอ่ยกระซิบเรียกอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ลืมตา นิ้วมือสั่นเทารีบคลำหาข้อมือผอมบางเพื่อจับชีพจรอย่างไม่มีสติ บีบข้อมือนั้นแน่นจนเหมือนจะหัก ของเหลวร้อนดันขึ้นมาจากหน้าอกที่อึดอัดราวกับถูกบีบ ก่อนจะร่วงลงใต้แพขนตายาว
เขานำฝิ่นที่เคยบังเอิญลองชิมใส่ปากทีละนิดโดยที่ไม่รู้ว่ามันมีพิษหรือไม่ และตอนที่รู้ว่ามันคือฝิ่นก็ตระหนักว่ามันเป็นของอันตราย อีกทั้งยังเกิดความอยากไม่จบไม่สิ้น ทว่าตนถือเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดผู้หนึ่งซึ่งต้องรักษากฎหมายยิ่งกว่าใคร และนี่คือผลลัพธ์ที่พยายามจะครอบครองทั้งสองสิ่ง มันทำให้ตัวเย็นเฉียบและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ฮาแบคใช้แขนอ่อนแรงอุ้มซอลอันแล้วยืนขึ้น ใช้เสื้อคลุมห่มร่างผอมบางเหมือนยามพบเจอหน้าประตูวัง แต่หากจะต้องลาจากกันจริงๆ เขาก็อยากให้นางได้ใส่ชุดสวยๆ ที่เพิ่งตัดเย็บใหม่ในหลุมฝังศพที่สร้างขึ้นอย่างเหมาะสมแทนสุสานซอมซ่อเช่นนี้ แต่ขณะนั้น…
“แค่ก!”
ก้อนเลือดสีดำก็พุ่งออกมาจากปากสตรีในอ้อมแขนพร้อมการไออย่างรุนแรง จากนั้นขนตาที่ไม่ขยับก็สั่นเบาๆ ฮาแบคแทบหยุดหายใจและจ้องมอง ก่อนดวงตาคล้ายลูกองุ่นป่าภายใต้เปลือกตาปิดสนิทจะเผยตัวตนออกมาช้าๆ
“สวัสดีเจ้าค่ะ”
ฮ่าๆ เสียงหัวเราะไม่เข้ากับสถานการณ์ดังออกมาจากปากเขาทันที สวัสดีเจ้าค่ะอย่างนั้นหรือ ซอลอันเงยหน้าแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงอิดโรย
“ข้าตายแล้วหรือเจ้าคะ”
หรือว่าจะยังแยกไม่ออกนะ ทว่าสายตาของนางกลับมองตรงไปยังท้องฟ้าห่างไกล ไม่ใช่เขา ฮาแบคหันมองตาม ตรงนั้นมีดวงจันทร์สีส้มละเลงสีทั่วความมืดและทำให้เกิดเงาบนใบหน้าของเขา
“ใช่ ตายแล้วขอรับ”
เขาตอบกลับด้วยเสียงขาดๆ หายๆ หลังจากหันหน้ากลับมา
“อือ”
ริมฝีปากของซอลอันยังคงมีรอยเลือดอยู่ชัดเจนวาดเป็นเส้นโค้งสวยงาม ใบไม้ร่วงหล่นจากสายลมเย็นยะเยือกก็ส่งเสียงกรอบแกรบตรงปลายเท้าของพวกเขา
* * *
“ข้าคิดถึงเจ้านะ ท่านมหาเสนาบดี”
ฮอนกระซิบกระซาบพร้อมกับเขยิบเข้าใกล้ฮาแบค ใต้ตาของเขาหลังถูกกักขังอยู่ในห้องทำงานเป็นเวลาสิบวัน เหมือนสูญเสียความสว่างสดใสจนกลายเป็นสีดำคล้ำ
“ไม่มีเวลาว่างมาอยู่เฉยๆ เช่นนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ อันนี้กับอันนี้ ฝ่าบาททรงต้องตรวจสอบอีกรอบ”
กระดาษม้วนที่มีตัวอักษรแน่นขนัดแทรกกลางระหว่างบุรุษชอบกวนกับบุรุษผู้ต้องการหลบเลี่ยง แต่ฮอนกลับนั่งเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งและจ้องใบหน้าฮาแบคจากข้างๆ แทนการกางกระดาษม้วนพวกนั้นออกตรวจ
“เมื่อคืน เจ้าไปที่ใดมางั้นหรือ”
พู่กันที่ขยับอย่างรีบร้อนหยุดชะงัก
“ทรงส่งคนตามไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งใจข้าตามไปต่างหาก”
เฮ้อ ฮาแบคหันหน้ากลับพร้อมถอนหายใจยาว
“กระหม่อมมีเรื่องอยากจะขอร้องสองเรื่อง โปรดทรงรับฟังได้หรือไม่ แล้วหลังจากนั้นกระหม่อมจะตอบทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดข้าต้องไม่รับฟังเล่า”
“ขอสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรก็ได้ ตอนนี้เลย”
หลังจากฮอนให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น รอยยิ้มจึงปรากฏบนริมฝีปากของฮาแบค ก็อีกฝ่ายเป็นทั้งข้าหลวงผู้ยอดเยี่ยม ผู้มีพระคุณในชีวิต รวมถึงพี่ชายของภรรยา มีสาเหตุมากมายที่ทำให้เขาโปรดปรานฮาแบคเป็นพิเศษ แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคืออีกฝ่ายเหมือนรยูฮาเป๊ะๆ นั่นเอง และรอยยิ้มยามนี้ก็คล้ายคลึงกับรอยยิ้มเวลารยูฮามีแผนการอะไรสักอย่างมากทีเดียว รู้สึกถึงลางไม่ดี
“โปรดทรงออกแผ่นป้ายประจำตัวใหม่อย่างที่เคยตรัสเมื่อคราวก่อนได้หรือไม่”
ได้สิ ฮอนพยักหน้าตอบโดยเร็วให้กับคำขอที่ไม่ยากอย่างที่คิด
“แน่นอน แล้วคำขอที่สอง?”
“กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาททรงยกโทษให้แก่การเสียมารยาทสักครู่นึงพ่ะย่ะค่ะ”
การเสียมารยาทอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นคำที่ไม่เหมาะกับฮาแบคเลยจริงๆ ทว่าก่อนความสงสัยจะลบเลือนจากพระพักตร์ฝ่าบาท
ปั่ก!
เบื้องหน้าฮอนเหมือนเกิดประกายไฟขึ้นพร้อมเสียงดังกังวาน
“ท่านมหาเสนาบดี?”
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฮอนลูบหน้าผากบริเวณที่รู้สึกเจ็บ จ้องมองฮาแบคกับพู่กันกลับหัวกลับหางในมืออีกฝ่าย ภาพฮาแบคกำพู่กันอย่างแรงราวกับจะหักมันซ้อนทับบนใบหน้าสบายใจอย่างบอกไม่ถูกตรงหน้าเวลานี้
“จะทรงให้พักงานหรือปลดออกจากตำแหน่ง กระหม่อมก็ยินดีรับทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ไม่เคยนึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าการตีหน้าผากตนจะเป็นความปรารถนาหนึ่งของฮาแบค ความรู้สึกเหมือนโดนหักหลังซัดเข้ามาราวกับกระแสน้ำขึ้น แต่ฮอนก็โกรธไม่ลงเพราะมุมปากยกขึ้นเหมือนจงใจให้เห็นนั่นช่างเหมือนกับรยูฮาเหลือเกิน
“เรื่องแค่นี้เอง… จะปลดออกจากตำแหน่งอะไรกันเล่า แต่ระหว่างเจ้าโดนพักงาน ฎีกาก็กองสุมเยอะขึ้นเช่นกัน เห็นทีดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าคงจะเลิกงานเร็วยากหน่อยนะ”
นั่นเป็นการแก้แค้นที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ฮอนจะทำได้แล้ว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ฮาแบคจงเกลียดจงชังที่สุดเช่นกัน