วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-2 ฮาแบค
นึกว่าจะปฏิเสธตามมารยาท กลับผิดคาดเสียอย่างนั้น รู้เช่นนี้น่าจะบอกให้ช่วยทำงานช่วงเย็นก่อนแล้วค่อยเลิก ระหว่างฮอนกำลังเสียดาย ฮาแบคก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการขอบคุณแล้วรีบจัดการงานให้เสร็จด้วยความรวดเร็วจนน่าทึ่ง ก่อนสำรับของว่างจะถูกยกเข้ามา เขาก็ปิดกระดาษม้วนสุดท้ายแล้วลุกขึ้น
“เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เสร็จแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นอันนี้…”
“กระหม่อมขอตัวก่อน เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากเบือนหน้าหนีพระราชาที่ยื่นกระดาษม้วนมาให้อีกอันและก้าวออกจากห้องทำงาน ถึงได้รู้ว่าสายลมอันหนาวเย็นช่างสดชื่นเหลือเกิน แม้จะสั่งคนรับใช้ให้เคี่ยวสมุนไพรแล้ว แต่ก็คงสู้เขาเคี่ยวเองไม่ได้ หลังจากตรงกลับมาถึงจวน ฮาแบคจึงก้าวเข้าไปในห้องยาทันทีโดยที่ไม่เปลี่ยนชุดก่อน
“นายน้อย เหตุใดถึงกลับจวนแล้วล่ะขอรับ”
คนรับใช้ยื่นหัวเข้ามาจากช่องระหว่างประตูพลางเอ่ยถาม
“ก็แค่ได้กลับเร็ว แล้วแขกเป็นอย่างไรบ้าง”
“คือว่า เรื่องนั้น…”
อีกฝ่ายค่อยๆ แผ่วเสียงลง แต่กลับมีเสียงไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังประตูแทน
“ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าเจ้าค่ะ”
เหมือนจะเคยได้ยินเมื่อเช้า ฮาแบคขมวดคิ้วเล็กน้อยและวางสมุนไพรที่กำลังเลือกลง ก่อนจะเปิดประตูออกกว้าง จริงๆ ด้วย คนที่ยืนอยู่ข้างนอกคือสตรีผู้นั้น เจ้าของใบหน้าซีดเซียวและลาดไหล่บางจนคล้ายจะหักง่ายๆ ยังคงอยู่ในชุดบางๆ ทว่าแววตากลับสดใสเหมือนเรี่ยวแรงกลับคืนมาแล้ว
“เข้าไปข้างในเถอะขอรับ ใช้เวลาอีกนานกว่าจะเคี่ยวสมุนไพรเสร็จ ทานยาตอนเช้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ต้องพูดจาสุภาพหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากท่าน”
“ทานยาตอนเช้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ร่างสูงไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง เมื่อนางพยักหน้าตอบ เขาจึงหันมองคนรับใช้ของตนด้วยความพึงพอใจ
“พาคนป่วยเข้าไปข้างในก่อน ลมมันหนาว”
“ที่ว่าข้างใน นายน้อยหมายถึง…”
ทว่าเจ้าคนรับใช้ดูจะไม่พอใจกับการให้สตรีแปลกหน้าเข้าห้องนอนนายน้อยของตนจึงย้อนถามให้แน่ชัดอีกครา จังหวะที่ฮาแบคกำลังจะเปิดปากตอบ คนป่วยก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องยาอย่างเด็ดเดี่ยว
“ข้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าค่ะ แต่ว่า…กรี๊ด!”
กำลังพูดจาฉะฉานอยู่ดีๆ นางก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศกะทันหันก่อนจะพูดจบประโยค ก็นับถือว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะสมแล้ว
“ขออภัยขอรับ”
แม้แต่คำกล่าวขอโทษท่ามกลางความโกลาหลก็ยังคงสุภาพนอบน้อมเช่นเดิม
“ตายแล้ว นายน้อย!”
คนรับใช้หน้าซีดเผือดพร้อมกระทืบเท้าไปมาอย่างตื่นตระหนก เสียงเอะอะโวยวายทำเอาคนใช้คนอื่นๆ กรูกันมาที่ห้องยาและตะโกนเรียกนายน้อยกันทุกคน ทว่าสีหน้าของฮาแบคที่ก้าวออกมาพร้อมสตรีบนไหล่ยังคงสงบนิ่งเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
“ถ้ามองไม่เห็น หรือไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อข้าพาท่านมาแล้ว ก็มีหน้าที่ต้องดูแลจนกว่าคนป่วยจะหายดีขอรับ เดี๋ยวข้าจะเตรียมห้องให้ โปรดพักอยู่ที่นี่สักระยะเถิด”
ร่างสูงเดินเข้าห้องแล้ววางอีกฝ่ายลงบนเตียง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมกายให้ สายตานางจับจ้องชุดขุนนางตรงหน้า เนื้อผ้าทำมาจากผ้าไหมสีน้ำเงิน การตัดเย็บอันประณีตงดงามและกลิ่นหมึกตลบอบอวลทำให้รู้ไม่ยากว่าบุรุษผู้นี้มีหน้าที่ดูแลงานกิจการแผ่นดินแน่นอน
“ที่นี่คือที่ไหน แล้วท่านผู้มีพระคุณมีนามว่ากระไรหรือเจ้าคะ”
ระหว่างหันหลังกลับไปตรวจดูสมุนไพร ฮาแบคก็ต้องหันกลับมาอีกรอบเมื่อได้ยินคำถามจากสตรีบนเตียง แต่ภาพนางห่มผ้าจนถึงคางและโผล่มาแต่ดวงตาสีดำราวกับลูกองุ่นป่า ทำให้เขานึกถึงน้องสาวตนตอนเด็กๆ ขึ้นมา ความคิดนั้นก็ทำเอาริมฝีปากของฮาแบคผู้ยิ้มยากวาดเส้นเป็นโค้งอ่อนโยน
“ข้าไม่ใช่คนน่ารู้จักขนาดนั้นหรอกขอรับ พักผ่อนเถิด”
นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก จำได้ว่าตนสลบอยู่ที่ใดสักแห่งระหว่างเดินเตร่อยู่ถนนยามราตรี แต่พอลืมตาขึ้นมากลับมาอยู่ใรห้องหับอันอบอุ่นเสียอย่างนั้น แถมยังเป็นห้องของบุรุษอีกด้วย ทันทีที่ตั้งสติได้ในยามเช้าก็มีชายผู้หนึ่งเข้ามาอังมือแตะหน้าผากและวัดชีพจร จากนั้นก็กล่าวเพียงแค่ให้กินยาสมุนไพร ส่วนเขาก็รีบเปลี่ยนชุดออกจากห้องไป
แม้จะอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้หลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับบรรยากาศเสียที อย่างไรก็ตามเมื่อสังเกตจากขนาดของจวน เหล่าคนรับใช้และบุรุษที่ทุกคนพากันเรียกว่านายน้อยแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นบ้านของผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือไม่มีผู้ใดในจวนนี้เอ่ยถามถึงคนต่างถิ่นอย่างตนเลย ตั้งแต่นายหญิงของตระกูลซึ่งเป็นผู้ตระเตรียมห้องค่อนข้างกว้างและสะอาดสะอ้านเรียบร้อยให้ จนถึงสาวใช้อายุน้อยที่มาคอยดูแล ไม่มีใครสงสัยใคร่รู้แม้กระทั่งนามของนางด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะนำอาหารและยาสมุนไพรมาส่ง ส่วนบุรุษผู้นั้นก็มักจะพรวดพราดเข้ามากลางดึกเพื่อวัดชีพจรแล้วกลับออกไป
“คือว่า นายท่าน”
และเมื่อเข้าสู่วันที่สี่ นางก็ดึงรั้งชายเสื้อผู้มีพระคุณขณะอีกฝ่ายเข้ามาวัดชีพจรเฉกเช่นทุกคืนเอาไว้
“รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือขอรับ”
ถึงจะเอ่ยถามอย่างสุภาพด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่น้ำเสียงของเขาก็นุ่มนวล เข้ากันกับกลิ่นหมึก กระดาษและยาสมุนไพรผสมอบอวลจากร่างกายสูงใหญ่
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่อย่างสะดวกสบายมากๆ เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะฉะนั้น…”
“มีที่ไปหรือไม่ขอรับ”
คำถามนั้นจับจุดสำคัญได้พอดิบพอดี ข้ามีที่ไปหรือไม่นะ ของมีค่าที่นำติดตัวมาก็ใช้ไปหมดแล้ว ไม่มีเรือนให้กลับแล้วด้วย
“จะลองหาดูเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากที่ท่านช่วยชีวิต แต่ข้าไม่อาจรบกวนท่านเช่นนี้ต่อไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น หากไม่เป็นการรบกวน ก็ไม่เป็นอันใดสินะ”
มันตีความเช่นนั้นได้ด้วยหรือ ระหว่างนางกำลังมึนงงไม่รู้ต้องตอบกลับอย่างไร บุรุษตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ช่วยงานในจวนพวกเราสิขอรับ กำลังขาดคนช่วยงานอยู่พอดี ได้จังหวะเลย”
“งานหรือเจ้าคะ?”
“หากพักอยู่ที่นี่และช่วยงานในจวนด้วย ข้าจะมอบค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสมขอรับ”
“ขอถามได้หรือไม่เจ้าคะว่าเป็นงานอะไร”
“ไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้นะขอรับ ข้ายุ่งมาก คงต้องขอตัวก่อน”
ใต้ตาของชายผู้โค้งศีรษะให้เล็กน้อยแล้วหันหลังออกจากห้องเริ่มเป็นสีดำแล้ว
เขาทำงานอะไรกัน ถึงต้องกลับดึกดื่นและออกแต่เช้าตรู่เป็นประจำ หากอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ต้องมีคนให้สั่งใช้งานเยอะ เพราะฉะนั้นก็น่าจะไม่ยุ่งถึงเพียงนี้ อายุยังน้อยและมีความรู้เรื่องการแพทย์ แสดงว่าน่าจะเป็นหมอสินะ นางสรุปเองโดยไม่คาดคิดเลยว่าบุรุษยังหนุ่มยังแน่นอย่างฮาแบคจะดำรงตำแหน่งเป็นถึงมหาเสนาบดี จากนั้นก็เอนตัวนอนลงแล้วผล็อยหลับไป และไม่รู้ตัวด้วยว่ายามเช้ามืดฮาแบคจะเข้ามาแตะอังหน้าผากแล้วออกไปทำงานก่อนไก่จะขันเสียอีก
* * *