วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-6 ฮาแบค
ฮาแบคจับมือเรียวที่ยื่นให้อย่างลังเลแล้วพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะเดาะลิ้นเบาๆ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เพราะต้องจับสมุนไพรในที่แห้งและหนาวทั้งวัน ดังนั้นนอกจากมือจะแห้งแล้ว ยังแตกนิดๆ อีกด้วย ขนาดมือของราษฎรใกล้ตัวยังดูแลไม่ได้เลย แล้วจะดูแลราษฎรที่อยู่ห่างไกลได้อย่างไร ฮาแบคตำหนิความไม่ใส่ใจของตนเองพร้อมเปิดกล่องนำขี้ผึ้งมาวางบนส่วนแห้งแตก
“เดี๋ยวข้าทำเองเจ้าค่ะ”
สตรีตรงหน้าออกแรงเพื่อชักมือกลับ แต่ฮาแบคไม่มีความคิดจะปล่อยง่ายๆ
“อยู่นิ่งๆ หน่อยขอรับ ข้ากำลังรักษาแผลอยู่”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น มือขยับยุกยิกจึงสงบเสงี่ยมขึ้น ขี้ผึ้งแข็งตัวในตอนแรกค่อยๆ ละลายจนอ่อนนุ่ม ฮาแบคถูมันลงบนผิวหนังอย่างเบามือ หลังจากทายาให้ทั้งสองมือและพันด้วยผ้าบ้างๆ ก็ปล่อยมือออก
“ห้ามนำผ้าออกจนกว่าข้าจะมาดูให้วันพรุ่งนี้ ไหนๆ ก็มาแล้วขอวัดชีพจรหน่อยขอรับ”
ระหว่างอาศัยอยู่ในจวน สีหน้าของนางดูดีขึ้นนิดหน่อย แต่ข้อมือก็ยังคงผอมแห้งอยู่เช่นเดิม ถึงขั้นเห็นได้เลยว่าชีพจรเต้นอย่างไรทั้งที่ยังไม่ทันเอานิ้วแตะด้วยซ้ำ เมื่อสัมผัสถึงชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอแม้จะอ่อนแรง ฮาแบคจึงค่อยๆ เปิดปากพูดช้าๆ
“ดีขึ้นเยอะแล้วขอรับ ตอนนี้ก็ทานยาเฉพาะก่อนนอน… แม่นาง?”
แต่ก็ต้องหยุดพูดและสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายแทน ดวงตาเสมองทางอื่น ริมฝีปากเม้มสนิทดูแปลกตา
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“นายท่าน”
เสียงของนางค่อนข้างเบา
“ข้าไม่ได้ฉลาดถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
ฮาแบคไม่รู้เลยว่าสตรีผู้นี้พูดเรื่องอะไร ทว่าสีหน้ายามเหลือบมองคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยดูตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม
“ดังนั้นหากท่านไม่กล่าวว่าเหตุใดถึงโกรธ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ แค่มาอาศัยรบกวนท่านผู้มีพระคุณ ข้าก็รู้สึกละอายแล้ว ยังจะทำให้ท่านวุ่นวายใจอีก ข้าไม่อาจสบายใจได้เช่นกัน”
หากให้ตีความก็คงหมายถึง เห็นว่าตอนนี้เขาโกรธอยู่จึงขอให้บอกถึงสาเหตุ นางอ้อมค้อมไปไกลมากทีเดียว ฮาแบคคิดเช่นนั้น มันเป็นความแปลกที่ทั้งต่างและเหมือนสุดๆ กับยามฝ่าบาททอดพระเนตรอย่างประหลาดๆ เขาจ้องมองสตรีตรงหน้า ก่อนจะหันมองท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมายาวเพื่อสงบอารมณ์นั้น
“ข้าไม่เคยโกรธขอรับ ถ้าแม่นางไม่สบายใจ คราวหน้าข้าจะระวัง”
“แต่ตอนนี้ท่านก็กำลังโมโหอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“หากเห็นเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขออภัยด้วย”
“แค่ท่านบอกให้รู้เจ้าค่ะ เพราะหากรู้สาเหตุแล้ว คราวหน้าข้าก็จะได้ระ…”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่เคยโมโห!”
ฮาแบคขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกได้ก็ต้องอุทานและปิดปากสนิท ทั้งชีวิตคนสุขุมเยือกเย็นตลอดเวลาอย่างเขาเคยขึ้นเสียงใส่คนผู้เดียวเท่านั้น แม้ยามนี้อีกฝ่ายจะกลายเป็นรัชทายาทของฮเยกุกแล้วก็เถอะ ไม่เคยทำกิริยาเช่นนี้กับราษฎรผู้อ่อนแอมาก่อนเลย ทว่าน่าเสียดายที่ราษฎรตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ทราบเจตนาของเขา
“ข้าต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ร่างบางถอยหนึ่งก้าวพร้อมโค้งต่ำ บนหน้าผากนางเหมือนเขียนไว้ว่า ‘ข้าจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้เจ้าค่ะ’ มหาเสนาบดีช่างเป็นตำแหน่งยากเย็นเสียจริง ก่อนอื่นเขาควรทำให้สตรีผู้หนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่าหากปล่อยให้ออกไปจากที่นี่ จะต้องแข็งตายอยู่สักที่แทนแน่นอนหายโกรธก่อน หลังปรับลมหายใจได้แล้ว ฮาแบคจึงขยับเข้าใกล้นาง
“ข้าไม่ได้โกรธจริงๆ แค่เป็นกังวลเมื่อเห็นมือของแม่นางเป็นเช่นนี้เพราะงานที่ตัวข้าฝากไว้ แต่ตอนนี้ก็ยาทาพันผ้าเรียบร้อย ดังนั้นไม่เป็นไรแล้วขอรับ ที่ข้าขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อครู่ก็เป็นเพราะอึดอัดใจ อย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ”
นางก้มหน้ามองมือตนเองด้วยความงุนงง พอลองนึกย้อนดูช้าๆ จึงหน้าแดงระเรื่อพร้อมเม้มริมฝีปาก ลูกองุ่นป่าสีดำสองลูกขยับไปมาใต้แพขนตา พอเห็นนิ้วมือที่โผล่พ้นผ้าพันแผลกระดิกไปมาอย่างกระวนกระวาย เขาจึงคิดว่าเจ้าตัวคงจะสับสนไม่น้อย
“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันคิดเช่นนั้นเลย… ขออภัยเจ้าค่ะ”
“แม่นางกล่าวขอโทษเยอะไปแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิดขอรับ”
ฮาแบคตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ปิดท้ายก่อนจะรีบออกจากห้อง จนถึงตอนนั้นนางก็ยังคงก้มหน้าแดงระเรื่อด้วยความอับอาย
“ฮึ คิกๆ ”
ก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงก็ต้องปิดหน้าและหลุดหัวเราะออกมา เหล่าสตรีในบ้านตระกูลซอไม่เคยทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ใบหน้ากลายเป็นสีแดง ดวงตาล่อกแล่ก รวมถึงนิ้วมือด้วย มันกระดุกกระดิกไม่หยุดจนไม่ว่างงาน ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งระเบิดหัวเราะออกมาจนไม่อาจควบคุมได้
“นายน้อย?”
คนใช้ที่เดินผ่านพอดีแทบไม่เชื่อสายตาจนต้องขยับมาดูเขาใกล้ๆ นายน้อยส่งเสียงหัวเราะอย่างนั้นหรือ ต่อให้โลกพลิกกลับหัวกลับหางก็น่าจะต้องพลิกประมาณสิบรอบได้ แต่ตนก็มั่นใจบุรุษที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ตรงลานบ้านกลางดึกผู้นั้นคือนายน้อยแน่นอน
“เรียกทำไม”
“ไม่มีอะไรขอรับ แค่สงสัยว่าใช่นายน้อย…”
“เจ้ากินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า”
ฮาแบคกลับมาสุภาพเยือกเย็นเช่นปกติราวกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องนอน ทว่ายังคงมีรอยยิ้มติดอยู่บนริมฝีปากซึ่งคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น
* * *
ได้รับหน้าที่ดูแลห้องยามาถึงเก้าวันแล้ว วันแรกนางแยกชะเอมได้อย่างไร้ที่ติ วันต่อมาก็เช็ดถูทำความสะอาดด้านในและนอกห้องยากับม้านั่งจนสะอาดเอี่ยมอ่อง แต่ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสะบัดเสื่อฟางข้าวกับถาด นำมันไปผึ่งแดดก่อนจะเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อยด้วย เห็นอย่างนั้นฮาแบคจึงยิ้มราวกับอารมณ์ดี ซึ่งนั่นทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างมาก และตอนนี้เป็นช่วงเย็นของวันที่สิบ เขากำลังแจงงานของรุ่งขึ้นอยู่ในห้องยา
“สิ่งนี้คือพิษลักษณ์ขอรับ มันคือพืชที่มีพิษน่ากลัว หากทานเข้าไปร่างกายจะเกิดอาการชา แต่ถ้าทานเกินขนาดก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาตและตายในที่สุด ขนาดหมอที่มีฝีมือยอดเยี่ยมยังต้องใช้มันอย่างระมัดระวัง พรุ่งนี้ให้แม่นางหั่นใหญ่ประมาณนี้ จากนั้นแบ่งออกมาทีละนิดและห่อด้วยกระดาษนะขอรับ”
“พิษลักษณ์ อาการชา ถ้าทานเยอะเกินจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาต หั่นห่อใส่กระดาษ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน”
สตรีตรงหน้าเอ่ยทวนตามคำพูดเขา ซึ่งติดเป็นนิสัยเวลามีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในหัว ดวงตาของเขาจ้องมองนาง ก่อนจะสบตากันเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมากะพริบตาปริบๆ หลังท่องจำข้อมูลเกี่ยวกับพิษลักษณ์เรียบร้อยแล้ว
มีอะไรติดหน้าข้าหรือเปล่า หรือข้าพูดอะไรแปลกๆ แม้จะลองครุ่นคิดดู แต่ก็ไม่เจออะไรน่าสงสัยเลย ขณะนั้นฮาแบคก็เอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงนุ่มนวลและแผ่วเบาเป็นพิเศษกังวานภายในห้องยาอย่างสงบนิ่ง
“ลองพูดอีกรอบได้หรือไม่ขอรับ”
“เจ้าคะ?”
“ที่ข้ากล่าวเมื่อสักครู่นี้ ลองพูดอีกรอบดูขอรับ”
จำอะไรผิดงั้นหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นางกล่าวซ้ำอีกรอบโดยที่บุรุษตรงหน้าไม่ยอมละสายตา
“พิษลักษณ์คือพืชที่มีพิษ หากทานเข้าไปร่างกายจะเกิดอาการชา แต่ในกรณีทานเกินขนาดก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาตส่งผลให้ตายได้เจ้าค่ะ ดังนั้นหมอที่มีฝีมือจึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ให้จัดการหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ และห่อใส่กระดาษเอาไว้ ถูกหรือไม่เจ้าคะ”
สายตาจับจ้องหายไปเห็นว่านางท่องจำสรรพคุณจนถึงคำแนะนำได้ทั้งหมด พอสายตากดดันถูกเก็บไปแล้ว ร่างบางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่รู้ตัว
“เก่งมากขอรับ”