วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-7 ฮาแบค
ดูเหมือนจะไม่มีส่วนผิดพลาด ฮาแบคยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยประหนึ่งพึงพอใจ คำชมถือเป็นเรื่องไม่คุ้นชินสำหรับนาง แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ดีใจจนหัวใจเต้นแรงเช่นกัน ก่อนน้ำเสียงนุ่มนวลจะส่งไปถึงสตรีที่กำลังแอบอมยิ้มอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
“ที่แม่นางเคยถามว่าเหตุใดข้าถึงกล้ามอบหมายให้ดูแลสมุนไพรอันล้ำค่าเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่านเลยเมื่อคราวก่อน”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วแม่นาง รู้อะไรเกี่ยวกับตัวข้าบ้างหรือไม่ขอรับ”
คำถามกะทันหันทำให้นางเอียงคอด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นที่นี่คือที่ไหน หรือแม้แต่นามของอีกฝ่าย ไม่สิ นางรู้ข้อหนึ่ง
“ข้าไม่ทราบอะไรเลยเจ้าค่ะ นอกจากนายท่านเป็นหมอ”
คิก จู่ๆ บุรุษที่ยืนหันหลังให้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
“หมองั้นหรือ หึๆ”
หัวเราะอยู่สักพักถึงหันกลับมา ทว่ารอยยิ้มยังไม่ลบออกจากดวงตา มันหลงเหลืออยู่ชัดเจนและสวยงาม แม้นางจะคิดว่าดวงตาของเขาดูเย็นชา แต่พอยิ้มแบบนี้แล้วก็งดงามไม่ใช่น้อย เป็นครั้งแรกที่มองบุรุษแล้วคิดว่าช่างงดงามเสียจริง
“จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าข้าเป็นหมอหรือขอรับ”
“ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“อืม ก็ไม่ใช่คำกล่าวที่ผิดนักหรอกขอรับ นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเลยใช่หรือไม่”
“ตามที่ท่านกล่าวเจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนแม่นางจะไม่สงสัยอันใด เพราะไม่เห็นเคยเอ่ยถาม”
ไม่ถามงั้นหรือ นางมั่นใจว่าตนเอ่ยถามแล้วแน่นอนยามอีกฝ่ายเข้ามาตรวจชีพจรให้ตั้งแต่วันแรกที่ได้สติขึ้นมา
‘ที่นี่คือที่ไหน แล้วท่านผู้มีพระคุณมีนามว่ากระไรหรือเจ้าคะ’
“ข้าถามแล้วเจ้าค่ะ แต่นายท่านตอบว่าตนมิใช่คนน่ารู้จักขนาดนั้น แล้วก็เดินออกจากห้องไปมิใช่หรือ”
อย่างนั้นหรือ ฮาแบคฟังคำตอบพลางย้อนนึกถึงเรื่องราวไม่กี่วันก่อน ไม่นานนักก็ค้นพบความทรงจำเสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงตำหนิตัวเองและผงกศีรษะ
“ข้าลืมไปเสียสนิท เช่นนั้นตอนนี้ไม่สงสัยแล้วหรือขอรับ”
“หากท่านอยากบอกก็คงบอกแล้ว ข้าเลยคิดว่านายท่านคงมีเหตุผลบางอย่างถึงไม่บอก ดังนั้นจึงไม่สงสัยแล้วเจ้าค่ะ”
หากตื่นขึ้นมาแล้วมีบุรุษแปลกหน้าบอกว่าตนเป็นมหาเสนาบดี และที่นี่คือจวนตระกูลซอครอบครัวของพระมเหสี ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงต้องตกใจ เขาเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นจึงเลือกจะไม่บอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดคนละอย่าง ซึ่งก็ดูน่ารักดี
“แล้วนายท่านไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวข้าหรือเจ้าคะ ข้าเองก็ยังไม่เคยบอกชื่อแม้แต่ตัวอักษรเดียวเช่นกัน”
ความขมขื่นปรากฏบนริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ ของฮาแบคครู่หนึ่ง ช่างเป็นสตรีตัวเล็กเสียจริง ขนาดมวยผมรวบขึ้นสูงอย่างเรียบร้อยก็ยังอยู่ต่ำกว่าไหล่เขาพอสมควร ดังนั้นเมื่อต้องจ้องหน้าตรงๆ นางจึงต้องเชิดคางเล็กๆ ขึ้นเพื่อแหงนหน้ามอง ร่างสูงจึงค่อยๆ ก้มตัวลงเพื่อให้นางมองเขาสะดวกมากขึ้นนิดหน่อย
“สงสัยสิขอรับ สงสัยว่าแม่นางชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากรู้ด้วยว่ามีอาหารที่ชอบกับอาหารที่กินไม่ได้หรือไม่ สิ่งที่อยากทำ สถานที่ที่อยากไปในภายภาคหน้าก็สงสัยเหมือนกัน”
สิ่งที่อยากทำ สถานที่ที่อยากไป ข้ามีอะไรแบบนั้นหรือไม่ ข้าอยู่ในสถานะที่สามารถเลือกกินอาหารที่ชอบกับไม่ชอบได้แล้วงั้นหรือ ที่ไม่ชอบนั้นมีอย่างแน่นอน แต่ที่ชอบคืออะไรกันนะ
ความคิดสับสนวุ่นวายรับรู้ได้จากขนตากะพริบไม่หยุดและดวงตากลิ้งกลอกไปมา ทว่าฮาแบคไม่เร่งเอาคำตอบและรออยู่เงียบๆ จนกระทั่งนางอ้าปากตอบเอง
“อาหารที่ทานไม่ได้ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ตอนยังเป็นเด็ก เพื่อนเคยเอาลูกพลับแห้งมาแบ่งให้บ้างเป็นบางครั้ง จำได้ว่ามันอร่อยมาก ตอนนี้ข้าชอบเวลาท่านกล่าวว่าข้ามีประโยชน์เจ้าค่ะ แต่ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้าจึงขอให้มาช่วยงานเช่นนี้ ส่วนสถานที่ที่อยากไปข้าคิดไว้แล้ว แต่จะบอกท่านและออกจากที่นี่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเจ้าค่ะ”
หลังจากฟังคำตอบจากสตรีผู้นี้จนถึงประโยคสุดท้าย ฮาแบคก็รู้สึกขมขื่นยิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี้เสียอีก เหลือเวลาอีกเพียงใดกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิกันนะ ตอนนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว จนกว่าความหนาวเย็นในต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน…
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยเจ้าค่ะนายท่าน”
เขาคำนวณฤดูกาลภายในใจ ก่อนจะตั้งสติได้เมื่อได้ยินเสียงทักจึงหันหลังกลับมาอีกครั้ง ตรงหน้าคือพิษลักษณ์ที่ตากแห้งเป็นอย่างดีเต็มถาด
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ กลับไปพักผ่อนกันเถิด”
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องยา ทำการลงกลอนประตู ก่อนจะเดินผ่านลานหน้าบ้านอย่างช้าๆ ทั้งฮาแบคที่เดินนำหนึ่งก้าวและสตรีที่เดินตามหลังเหยียบเงาเขา ต่างก็ไม่พูดอะไรกันสักคำจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าห้องของนาง
“พักผ่อนตามสบายขอรับ เจอกันพรุ่งนี้”
ฮาแบคเอ่ยลาอย่างสุภาพเฉกเช่นปกติและยืนรอจนกว่าประตูจะปิด แต่ในวันนี้อีกฝ่ายที่มักจะบอกลากลับแล้วเดินเข้าห้องเงียบๆ กลับไม่ทำเช่นเดิม
“นายท่าน”
แม้ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากพูดแปะอยู่เต็มหน้า แต่ดูท่าจะพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่สามารถอ่านความคิดในใจของสตรีผู้หนึ่งออกง่ายดายผ่านสีหน้า ถึงความจริงแล้วเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสตรีมาเยอะถึงเพียงนั้นก็ตาม
“ไม่ต้องรีบบอกก็ได้ขอรับ ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ”
คำกล่าวนั้นทำให้นางยิ้มเล็กน้อย
“นอนหลับให้สบาย เจอกันพรุ่งนี้เจ้าค่ะนายท่าน”
ร่างบางจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ก้าวเข้าห้องและปิดประตู ฮาแบคยืนมองประตูนิ่ง สักพักก็รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าถาโถมจนต้องตรงกลับห้องตนเอง เหนื่อยจริงๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ง่ายๆ
* * *
“ท่านมหาเสนาบดี!”
ฮาแบคก้าวเข้าพระราชวังเป็นคนแรกสุดและตรงไปยังท้องพระโรงเช่นทุกวัน แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ข้าไม่ได้หูหนวกขอรับ ท่านสมุหกลาโหม”
แม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดเป็นรองเพียงจักรพรรดิ แต่เจ้าของตำแหน่งมหาเสนาบดีก็ยังรักษาความสุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อฮาแบคตอบกลับอย่างเย็นชา สมุหกลาโหมที่เดินเข้ามาอย่างฮึกเหิมจึงผงะถอยหลังกลับหนึ่งก้าว
“นี่มันอะไรกัน ท่านเมินเฉยข้าได้อย่างไร ไม่อยากจะเชื่อ!”
เนื่องจากร่างกายเหนื่อยล้าสะสมความอึดอัดใจเต็มเปี่ยม ส่งผลให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้น ร่างสูงยืนนิ่งรอจนกระทั่งสมุหกลาโหมใกล้เข้ามา ก่อนจะรับม้วนกระดาษม้วนที่อีกฝ่ายส่งให้ราวโยนใส่ พอกางออกดูจึงเห็นว่ามีเส้นตรงเส้นหนึ่งขีดฆ่าตัวอักษร เป็นที่ชัดเจนว่ามันคือหนึ่งในม้วนกระดาษที่เขาขีดทิ้งโดยไม่จำเป็นต้องดูด้วยซ้ำ
“ท่านยอมเข้าวังแต่เช้าตรู่เพื่อถกเถียงเรื่องนี้หรือขอรับ ปกติวิ่งเห็นเข้ามาอย่างหวุดหวิดก่อนฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงแท้ๆ”
“ท่านมหาเสนาบดี!”
สมุหกลาโหมอารมณ์หุนหันพลันแล่น ร้อนรุ่มจนหน้าขึ้นสีแดง ทว่าแค่นั้นไม่ได้ทำให้ฮาแบคผู้ดำรงชีวิตในฐานะบุตรชายคนรองของตระกูลซอกะพริบตาเลยสักนิด
“ไยถึงเพิกถอนเรื่องนี้โดยไม่ยื่นถวายแก่ฝ่าบาทก่อน ท่านจะถามเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“ท่านก็ทราบดีนี่นา ฎีกาที่ข้าเป็นคนเสนอเองจะถูกยกเลิกเพราะท่านมหาเสนาบดีได้อย่างไรกัน!”
“เช่นนั้นท่านก็ควรเสนอแก่ฝ่าบาทโดยตรงสิขอรับ”
“ข้าทำตามขั้นตอน สามขุนนางใหญ่ต้องแสดงให้เป็นแบบอย่าง…”
“ข้าก็เช่นกัน!”
ฮาแบคเอ่ยขัดคำพูดของสมุหกลาโหมอย่างเยือกเย็น
“ข้าเองก็ทำตามขั้นตอนขอรับ ก่อนจะเสนอฎีกาถวายฝ่าบาท การจัดการตัดเรื่องไร้สาระทิ้งก็เป็นงานของข้าไม่ใช่หรือ”
“จะ จะบอกว่าฎีกาของข้าไร้สาระอย่างนั้นหรือ!”
“ถูกต้องแล้วขอรับ”
“ท่านมหา…!”
“อ้าว ฝ่าบาท เหตุใดถึงเสด็จมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”