วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 1-9 ฮาแบค
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมเบิกตาโพลง เมื่อครู่มันคืออะไร พอทัศนวิสัยเริ่มสว่างขึ้นปรากฏภาพน้องเขยของตนซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าตีกำลังยิ้มแย้มอยู่แทนสตรีผู้นั้น
“หัวใจเต้นแรงถึงเพียงนี้ยังจะปฏิเสธว่าไม่ชอบอยู่อีกหรือ”
“โปรดนำพระหัตถ์ออกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรือหมายความว่าเอามือออกจากตัวข้าได้แล้ว ฮอนรับฟังและยอมละมือออกจากตัวฮาแบคเล็กน้อย เขาแอบรู้สึกเสียดายแทน อีกฝ่ายเป็นถึงข้าหลวงที่เขาเชื่อใจมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขา รวมถึงพี่ชายอีกด้วย แล้วจะยอมให้คว้าน้ำเหลวได้อย่างไร
“ข้าจะออกแผ่นป้ายประจำตัวอันใหม่ให้ จากนั้นจัดการออกคำสั่งให้เป็นบุคคลสูญหายก็น่าจะจบ”
“แต่มันผิดกฎหมายพ่ะย่ะค่ะ ทั้งๆ ที่พบตัวแล้วจะทำให้กลายเป็นบุคคลสูญหายได้อย่างไร เดี๋ยวพอถึงฤดูใบไม้ผลิ นางก็จะกลับไปยังที่ที่เคยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพระองค์อย่าได้ใส่ใจเรื่องนั้นนักเลย”
“หากเป็นดังที่กล่าวก็ควรส่งกลับตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ ไยต้องเลื่อนไปถึงฤดูใบไม้ผลิ?”
“อากาศมันหนาวพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเป็นกังวลว่าผู้กระทำผิดจะหนาวหรือจะร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ฝ่าบาท!”
“โอ้โห? ขึ้นเสียงต่อหน้าข้าแล้วด้วย”
เฮ้อ ฮาแบคลูบหน้าพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ หมู่นี้เขาเสียความใจเย็นบ่อยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่สามารถพูดดีๆ กับสมุหกลาโหมก็ได้แต่ก็ยังโต้กลับอย่างรุนแรง ไหนจะขึ้นเสียงต่อหน้าพระราชาอย่างไม่เกรงกลัวอีก เกือบจะทำตามความคิดตีฝ่าบาทเข้าจริงๆ แล้วด้วย ถึงจะคิดอยากตีมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็ตาม
“ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ทรงพระกรุณา? ตะโกนใส่ข้าแล้วยังมาถามหาความกรุณาอีกอย่างนั้นหรือ!”
แน่นอนว่าเพียงขึ้นเสียงเล็กน้อย ไม่ได้ตะโกนแต่อย่างใด ทว่าฮาแบคก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับแทนการโต้แย้ง
“ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โปรดลงโทษกระหม่อมตามที่เห็นสมควรเถิด”
“ลงโทษ? เปลี่ยนมาพูดเรื่องลงโทษแล้วงั้นหรือท่านมหาเสนาบดี”
น้ำเสียงยามกล่าวเช่นนั้นฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ จนอยากติว่าทรงยังขาดความสามารถในการแสดงอีกมาก แต่ฮาแบคก็ยอมปล่อยเพราะสงสัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร
“ข้าต้องลงโทษเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้พักงานเป็นเวลาสิบวัน หักเบี้ยหวัดเดือนนี้ครึ่งหนึ่ง ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้ จำไว้อย่าได้เสนอหน้าเข้าวังเป็นเวลาสิบวัน!”
พูดจบฮอนก็ใช้เท้าเตะประตูห้องทำงานอย่างแรง มันเปิดออกเสียงดังปังเหมือนจะหลุดออกมา เหล่าข้าราชบริพารที่ยืนเรียงอยู่ด้านนอกต่างสะดุ้งตกใจหมอบกราบลงกับพื้น หลังโค้งถวายการคำนับแก่พระราชาแล้ว ฮาแบคจึงหลบออกมาพร้อมรอยยิ้มระหว่างทุกคนเหล่าก้มหมอบ เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมรยูฮาถึงถามอยู่บ่อยๆ ว่าฮอนไม่น่ารักหรือ
“ไยถึงกลับจวนแล้วเล่า”
เมื่อบุตรชายที่ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตามาหาตอนกลางวัน นายหญิงตระกูลจองจึงเอียงคอด้วยความสงสัย เนื่องจากรู้เป็นอย่างดีว่าตำแหน่งนั้นยุ่งมากเพียงใดจึงยิ่งคาดเดาสาเหตุยากขึ้นไปอีก
“ข้าได้รับคำสั่งพักงาน แถมยังถูกหักเบี้ยหวัดครึ่งนึงด้วยขอรับ”
“พักงาน? เจ้าน่ะหรือ”
“ขอรับท่านแม่”
“เหตุผลล่ะ”
“ความผิดโทษฐานขึ้นเสียงต่อหน้าพระพักตร์ขอรับ”
“ขึ้นเสียง? เจ้าเนี่ยนะ”
“ขอรับท่านแม่”
บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนเขาวงกต นอกจากฮาแบคจะไม่ใช่บุตรชายที่ทำผิดเช่นนั้นแล้ว พระราชาเองก็ไม่ใช่คนสั่งให้ผู้ใดพักงานด้วยเรื่องเพียงแค่นั้นเช่นกัน ถึงแม้จะทำจริงๆ ก็ตาม ทว่าแทนที่จะพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้น นายหญิงตระกูลจองกลับไถ่ถามในสิ่งที่ควรให้ความสนใจในฐานะพ่อแม่
“หากมีความคิดจะส่งกลับ ก็ควรส่งกลับแต่เนิ่นๆ ซะ แต่ถ้าไม่คิดเช่นนี้ ก็จัดการแก้ไขปัญหาให้ดี”
แม้จะคำพูดจะไม่มีประธานหรือกรรม แต่ก็พอเข้าใจความหมายได้
“คิดจะส่งกลับขอรับ หลังจากการพักงานของข้าจบลง จะรีบดำเนินการทันที”
“หากเจ้าตั้งใจจะทำเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด”
บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างมารดากับบุตรชายจบลงตรงนั้น หลังโค้งลาอย่างนอบน้อมและกลับออกมา ฮาแบคก็คิดจะตรงกลับห้องตนทันที แต่ระหว่างเดินช้าๆ พลางครุ่นคิด ขากลับพามุ่งหน้ามายังห้องยาเสียอย่างนั้น เอี๊ยด เสียงประตูหนักๆ เปิดออกทำให้สตรีด้านในตกใจจนต้องหันกลับมามอง
“นายท่าน? เหตุใดถึงกลับเร็วหรือเจ้าคะ”
แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูสะท้อนกับใบหน้าสงสัยของนาง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นอีกฝ่ายภายใต้แสงตะวันสุกสว่าง ไม่ใช่แสงจากตะเกียงรำไร
“นับจากนี้ไปอีกสิบวัน ข้าจะอยู่ในจวน ไม่ออกไปทำงานขอรับ”
“สิบวันหรือเจ้าคะ”
“ไม่ชอบหรือ”
ทว่าฮาแบคกลับตกใจที่ตนย้อนถามนางเช่นนั้นมากกว่า ตัวเขาไม่ได้ไปทำงานแล้วจะถามนางทำไมว่าไม่ชอบหรือ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดเช่นเดียวกัน ดูได้จากการเบิกตาโพลงและจ้องมองเขา
“ไม่ใช่ คะ คือ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
ตอนนี้แม้แต่การพูดก็เริ่มตะกุกตะกัก ช่างเป็นความรู้สึกประหลาดเสียจริง เป็นเพราะเพิ่งเคยรู้สึกสับสนแบบนี้เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะ
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบเจ้าค่ะ”
ภายในหัวที่กำลังสับสนวุ่นวายหยุดชะงักกึก เสียงตอบรับแผ่วเบาแต่ชัดเจนมัดตัวฮาแบคเอาไว้ราวกับเป็นเชือกฟาง
“แม่นาง?”
“ข้าบอกว่าไม่ได้ไม่ชอบเจ้าค่ะ ข้าชอบที่นายท่านมาอยู่ข้างๆ ตั้งสิบวัน”
ควรตอบว่าอย่างไรดี ‘ขอบคุณ’ ไม่ใช่สิ ‘ข้าเองก็ชอบขอรับ’ ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ นางให้บุรุษที่จ้องมองกันโดยไม่มีคำตอบรับก่อนจะพูดเสริม
“จนถึงตอนนี้เราเรียนสมุนไพรแค่วันละชนิดไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตั้งแต่วันนี้ข้าขอเรียนเยอะขึ้นอีกหน่อยได้หรือไม่ อาจจะสามารถช่วยนายท่านได้เยอะขึ้น”
หมายถึงอย่างนี้เองสินะ แต่ความผิดหวังไม่รู้สาเหตุก็ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าของฮาแบคแต่อย่างใด
“ได้สิขอรับ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ข้าจะสอนสมุนไพรให้วันละสามชนิดเลย”
เห็นรอยหมึกชัดเจนบนแขนเสื้อของอีกฝ่ายยามก้าวเดินเข้ามาข้างในพลางกวาดตามองพวกสมุนไพร สายตาของนางหยุดอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะหันมองสมุนไพรที่เจ้าตัวนำออกมา
“สิ่งนี้คือฝิ่น ถ้าจะพูดให้ชัดเจนมันมาจากการรีดของเหลวออกแล้วทำให้แห้ง มีฤทธิ์กล่อมประสาทการรับรู้จนไม่รู้สึกเจ็บปวด และช่วยให้หลับสนิทได้ด้วยขอรับ มันเป็นสมุนไพร แถมยังเป็นพืชมีพิษด้วย ดังนั้นหากใช้เกินขนาดในครั้งเดียวก็อาจทำให้หยุดหายใจจนถึงขั้นสียชีวิต และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน…”
ฮาแบคยื่นฝิ่นที่กำอยู่ในมือให้ น้ำเสียงอันนุ่มนวลราวกับท่องบทกลอนแผ่กระจายถึงสตรีที่รับมันมาโดยไม่ทันตั้งตัว
“จะเกิดอาการอยากต่อเนื่อง เสพติดไม่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตรายแต่ก็โหยหาขอรับ”
* * *