วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 2-2 ยอน ชิน
รยูฮาปิดหนังสือดังปับพลางบ่นเบาๆ เลขสองด้านล่างชื่อเรื่องเผยตัวตนออกมาอย่างชัดเจนใต้แสงไฟตะเกียง ฮอนยิ้มร่าและรับมันมาเปิดดู เพราะมันคือหนังสือที่ตามหามาเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ จึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง
“รีบๆ อ่านแล้วเอามาให้ข้าสิ”
“ทรงเปลี่ยนไปนะเพคะ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้”
ฮอนจ้องหนังสือไม่กะพริบตาและพลิกหน้าหนังสือดังพึ่บพั่บ
“เมื่อก่อนข้าเป็นอย่างไรหรือ”
“ตอนหม่อมฉันเอาหนังสือลามกเข้ามาเป็นครั้งแรก ทรงหน้าแดงเป็นผลซากวา[1]เชียว”
อะ อ่านไม่ได้หรอก รยูฮาลดเสียงต่ำลงและเลียนแบบคำพูดของฮอน จนเจ้าตัวหลุดขำเพราะมันช่างเหมือนท่าทางของตนเป๊ะๆ
“ผ่านไปตั้งเป็นสิบปีแล้ว ยังจะเอามาล้อเล่นอีกหรือ”
“ผ่านไปตั้งเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็ยังหล่อขึ้นนะเนี่ย”
รยูฮานอนหนุนแขนเงยหน้ามองอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มเล็กๆ รอยยิ้มนั่นทำเอาความอยากอ่านหนังสือเล่นนั้นหายวับไปไกล มือใหญ่จับใบหน้าของรยูฮา
“ระยะเวลาสิบปีนี้ เจ้าเองก็สวยขึ้นทุกวัน”
ปลายลิ้นยั่วยวนแทรกตัวเข้าระหว่างริมฝีปากแทนคำตอบ แม้แสงไฟในตะเกียงจะสว่างรำไร แต่ก็ไม่มีใครคิดจะดับมัน ชุดนอนสีขาวร่วงหล่นลงไปบนเตียงจนทับกันเป็นกอง
“จริงสิ เหลืออีกสามวันนะ ทราบใช่ไหมเพคะ”
พูดถึงงานตอนบรรยากาศกำลังเร่าร้อนได้ที่เนี่ยนะ คนอายุคล้ายไม่เพิ่มขึ้นเลยดั่งคำกล่าวของรยูฮาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วพระมเหสี ไว้ค่อยตื่นมาจัดการ”
คำพูดของฮอนทำให้รยูฮาหัวเราะเบาๆ แล้วปิดปากสนิท แต่ไม่นานริมฝีปากนั้นก็ถูกอ้าออกอีกครั้ง ลมหายใจร้อนผ่าวรั่วไหลออกมาและแทรกซึมเข้าไประหว่างเงาเลือนราง
* * *
“มากันหมดเลยหรือ”
เอ่ยพึมพำเมื่อมองออกไปนอกรถม้า หัวหน้าหน่วยทหารคุ้มกันที่ขี่ม้าอยู่ข้างนอกจึงรีบตอบทันทีหลังได้ยินเสียงเล็กๆ นั่น
“พ่ะย่ะค่ะ ผ่านตรงนี้ไปก็ถึงพระราชวังของแทซากุกแล้วกระหม่อม”
เรียนอะไรกัน ไยต้องมาถึงที่นี่ เด็กน้อยพึมพำด้วยเสียงเบาลงอีกก่อนจะปิดหน้าต่างด้านข้างลงดังปัก เขาคือยูยุน ราชโอรสองค์โตของพระราชาผู้ถูกบังคับให้ปกครองฮเยกุก เพราะจักรพรรดิผู้ล่วงลับทิ้งราชบัลลังก์ไว้ให้ราวกับชิ่งหนี
แม้จะอายุแค่เก้าชันษา แต่ก็เป็นถึงรัชทายาทแห่งประเทศพันธมิตร พิธีต้อนรับจึงยิ่งใหญ่อลังการสมกับชื่อของแทซากุก ยุนนึกถึงการกำชับของเสด็จพ่อที่บอกให้โค้งถวายการคำนับพระราชาและพระมเหสีที่ออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองขึ้นมา
[ระวังความใจร้อนของพระมเหสีด้วยล่ะ]
แต่ก็ดูไม่แย่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย พระราชโอรส พระราชธิดาและองค์ชายต่างโค้งคำนับยุนที่เต็มไปด้วยความสงสัยตามลำดับ
“มาจนถึงที่นี่ คงจะเหนื่อยแย่เลยสินะ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ หากมีอะไรตรงไหนไม่สะดวกสบายก็จงบอก พักผ่อนตามสบายเหมือนอยู่วังเจ้าได้เลย”
พระราชากล่าวอย่างอ่อนโยนพลางยิ้มแย้มไปด้วย ยุนมองอีกฝ่ายและนึกถึงเสียงของเสด็จพ่อขึ้นมาอีกครั้ง
[กษัตริย์ของแทซากุกน่ะหรือ นอกจากจะเป็นพวกเหลาะแหละแล้ว ยังมีพระพักตร์งดงามราวกับพวกกีแซงเสียอีก แต่ถ้านับจากหน้าตา พ่อดีกว่าเยอะ]
แต่ถ้านับจากหน้าตา พระราชาแทซกุกก็ทรงดูดีกว่านะ ยุนให้การประเมินอย่างเป็นกลางภายในใจ ก่อนจะโค้งถวายคำนับอย่างสุภาพนอบน้อมกลับเช่นกัน
“ขอบพระทัยสำหรับการต้อนรับอันยิ่งใหญ่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมยูยุน องค์รัชทายาทแห่งฮเยกุก กระหม่อมมาศึกษาเล่าเรียนกับท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของแทซากุก ดังนั้นจึงอยากจะขอรบกวนสักระยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
การพูดการจาของเขามีมารยาทและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนไร้ที่ติ แม้อายุจะยังน้อยอยู่ก็ตาม ผิดกับท่าทางอันธพาลของผู้เป็นพ่อโดยสิ้นเชิง ขณะฮอนกำลังชมเชยในใจอยู่ รยูฮาก็อมยิ้มอันเป็นรอยยิ้มสำหรับใช้ในงานทางการพินิจพิจารณาดูยุน
รูปโฉมภายนอกสง่างาม อากัปกิริยาเรียบร้อย ดวงตามีความปราดเปรื่อง ทั้งหมดนั่นรวมกันจนเกิดเป็นความมีเกียรติสมกับเป็นเจ้าของราชบัลลังก์สมัยหน้าสำหรับองค์รัชทายาทวัยเยาว์ ทว่าหลังจากมองดูใบหน้าของยุนโดยละเอียดแล้ว รยูฮาพบเห็นมุมปากข้างหนึ่งของเขาสั่นเครือเล็กน้อย
มุมปากโฮจินมักจะสั่นข้างหนึ่งเช่นกันยามต้องพูดอะไรที่ไม่อยากพูด นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าสายเลือดของแชยอนที่ขึ้นชื่อว่าความงามอันสมบูรณ์แบบหายไปไหนหมด ถึงถอดแบบจากโฮจินในสมัยเด็กมาแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ คงเหมือนพ่อสินะ นั่นคือข้อสรุปของรยูฮา
“รบกวนอะไรกันเล่า องค์รัชทายาทสามารถประทับอยู่ได้นานเท่าที่ทรงประสงค์เลยเพคะ องค์ชายใหญ่กับองค์หญิงเองก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะฉะนั้นทรงไปศึกษาด้วยกันเลยสิเพคะ จะได้ช่วยเหลือกันได้ เป็นเพื่อนกันด้วย”
พูดจบ รยูฮาก็พยักหน้าให้ยอนกับชิน
“ลูกทั้งสองช่วยแนะนำองค์รัชทายาทแห่งฮเยกุกทีนะ พาไปส่งที่ตำหนักแล้วก็พาชมพระราชวังด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
หลังจากออกมาจากวังจานยองพร้อมกับสองพี่น้อง ยุนก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดแปลกๆ กับอากาศที่เย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นท่าทางนอบน้อมของพี่น้องเมื่อครู่ดูเปลี่ยนไป ชิน องค์ชายใหญ่มองปราดยุนทั้งตัวด้วยหางตาเรียว ตรงกันข้ามกับยอน องค์หญิงที่ไม่ชายตาแลยุนแม้แค่น้อยและหลุบขนตาลงอย่างหยิ่งยโส
ท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือหลังก้าวออกจากวังจานยอง คงจะเป็นนิสัยแท้จริงสินะ ยุนผู้ไม่รู้ว่าพี่น้องคู่นี้แค่ทำตัวตามปกติคิดเช่นนั้น
มีอะไรแบบนี้ด้วยรึ อารมณ์ไม่คงที่อยู่แล้วค่อยๆ ผิดหวังทีละนิดและแตกออกเป็นชิ้นๆ โดยสมบูรณ์เมื่อมาถึงตำหนักตน
“ขอบพระทัยที่มาส่งถึงตำหนักพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายใหญ่กับองค์หญิงเสด็จกลับเถิด”
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านเมืองอื่น เพราะฉะนั้นการพูดจึงสุภาพนอบน้อมแม้จะเป็นการกล่าวไล่กลายๆ ก็ตาม พูดจบก็ยกคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วตามความเคยชิน ทว่าสตรีที่ก้มต่ำมาตลอดกำลังจ้องเขาอยู่หรือใช่หรือไม่ นัยน์ตาสีดำและนัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองกันและกันโดยไม่สั่นไหวแม้แต่นิด และต่อมายอนก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“เสด็จแม่ทรงรับสั่งว่าให้พวกหม่อมฉันพาชมวัง เชิญองค์ชายเดินดูแถวๆ นี้สักรอบเถิดเพคะ”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่ร่างกายของข้าเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลมากทีเดียว”
แม้จะเป็นการพูดอย่างสุภาพ แต่มันคือการปฏิเสธไม่ผิดแน่นอน เสียงของยอนจึงเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“จะทรงเมินเฉยต่อน้ำพระทัยของพระมเหสีหรือเพคะ”
ห่างกันแค่หนึ่งปี แต่ยุนกลับตัวสูงชะลูด เมื่อเรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ยุนจึงคิดไตร่ตรองดูแต่ก็คิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี เขาลืมไปตั้งนานแล้วว่าตัวเองก็เป็นเด็กน้อยเหมือนกัน
“เมินเฉยอะไรกัน แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นตอนนี้ก็ได้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
“ต้องเป็นตอนนี้สิเพคะ พักผ่อนไม่นานก็ถึงเวลาเสวย หลังจากนั้นตะวันก็คงจะตกดินแล้ว ทรงจะเดินชมรอบวังเวลานั้นหรือ และวันนี้ก็จะผ่านไปโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระมเหสี ไม่เรียกว่าเมินเฉยต่อน้ำพระทัยแล้วจะให้เรียกว่าอะไรนเล่า”
คำพูดขององค์หญิงตัวน้อยไม่มีส่วนผิดเลย นั่นทำให้ยุนหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เด็กน้อยคนนี้พูดเก่งไม่เบา เนื่องจากที่นี่คือพระราชวังแห่งแทซากุก เขาจึงไม่อาจพูดประโยคนั้นได้ แต่คำตอบกลับของเขาก็เสียมารยาทพอตัว
“อา น่ารำคาญจริงเชียว”
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิทเหมือนกับถูกขัดจังหวะ ทั้งเหล่าข้าราชบริพารของแทซากุก ทั้งบรรดานางในของฮเยกุกต่างทำตัวไม่ถูก มีแค่ยอนเท่านั้นที่กะพริบตาอย่างสงบนิ่งหลังได้ยินคำกล่าวไร้มารยาทนั่น
“ท่านกล้าพูดจาพล่อยๆ เช่นนี้หรือ”
ชินดันให้ยอนหลบไปด้านหลังพร้อมเอ่ยวาจาเสียดสี ยอนยังสงบนิ่งอยู่ได้ก็เพราะว่านั่นคือนิสัยของนาง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่ชายจะแสดงตัวแทนเช่นนี้
“ผู้ใดพูดจาพล่อยๆ ก่อนเล่า”
[1] ซา-กวา คือแอปเปิล