วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 2-6 ยอน ชิน
ถึงจะพูดอย่างไร้ยางอาย แต่ภายในใจกำลังสั่นไหวและเขินจนจะตายอยู่แล้ว ระหว่างนั้นยอนก็เหมือนจะไม่ยอมถอยจนกว่าเขาจะตอบออกมาดีๆ ยุนตอบกำกวมอยู่หลายรอบ แต่ท้ายที่สุดก็ตะโกนออกมาเพราะคำถามกดดัน
“แต่งงาน แต่งงานกันไง!”
ทั้งผู้คะยั้นคะยอถามซักไซ้และคนตอบเองต่างสะดุ้งตกใจจนตัวแข็งทื่อ สายลมเย็นสบายหลังสายฝนลอยผ่านไปพัดให้เส้นผมของเด็กทั้งสองปลิวเบาๆ
“ลุกขึ้นเถอะ สว่างแล้ว”
ยุนทำเป็นนิ่งและจับมือยอนให้ลุกขึ้น ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีดำทะมึนถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม แม้จะยังไม่สว่างมาก แต่ก็สว่างพอจะแยกทั้งสี่ทิศได้
“อะนี่ เสื้อ”
ยอนส่งเสื้อบนไหล่คืนให้ แต่ยุนไม่ได้อยากรับมันคืน
“เจ้าใส่ไปเถอะ บอกแล้วไงว่าร้อน”
ว่าพลางสวมแขนเสื้อและผูกสายให้อีกด้วย พอเห็นคนตัวสั่นระริกขณะแอบอยู่ข้างล่างหินหายสั่นจึงรู้สึกเบาใจ แถมยังมองว่าน่ารักมากๆ อีกด้วยยามใส่เสื้อของตนที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าตัวจนปิดถึงปลายนิ้ว
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ชินกำลังรอทั้งสองคนอยู่ด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย ณ กระท่อมที่พวกเขาเดินจับมือกันเดินกลับ เมื่อเห็นพี่ชาย ยอนก็ปล่อยมือยุนและวิ่งไปกอดชินทันที อีกฝ่ายน้ำตาไหลพรากอย่างไม่สนเกียรติและเอาหน้าถูกับน้องสาว
ใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเพิ่งฟื้นจากความตายเป็นแน่ ยุนเตะแง่งหินด้วยสีหน้าบึ้งตึงก่อนจะเงยหน้าขึ้น ถึงรู้ตัวว่าชินกำลังจ้องมองอย่างไม่พอใจ
“มองอะไร
“เจ้า”
“อะไร”
“จะไปไหนก็บอกกันก่อนสิ”
ยอนรีบเข้ามาขวางระหว่างทั้งสองที่เริ่มทะเลาะกันทันทีที่พบหน้า ประหนึ่งสุนัขกับลิง
“ท่านพี่ทั้งสองช่วยทำตัวดีต่อกันหน่อยเถิด มันจะเป็นจะตายหรือไงถ้าไม่ได้กัดกัน”
ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้คิดเลยว่าสาเหตุที่พวกเขาทนไม่ได้ก็เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ ยุนยิ้มกว้าง ส่วนชินก็มองยอนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำตัวดีต่อกันเนี่ยนะ แล้วไหนจะท่านพี่อีก หรือว่าเมื่อคืนจะมีจิ้งจอกเก้าหางแปลงกายลงมา
“ยอน ฮึก รู้หรือไม่ว่ากระโปรงของเจ้าที่ข้าทำเปื้อนหมึกไม่กี่วันก่อนเป็นสีอะไร”
“ถามอะไรไร้สาระ ก็ต้องสีดอกบ๊วยไม่ใช่หรือ”
นางคือน้องสาวของตนจริงๆ ขณะชินกำลังจมอยู่กับความสับสน ยอนก็หาวออกมาอย่างเหนื่อยล้าและเดินนำเข้าข้างใน
“ข้าหิวแล้ว ท่านสองคนไปทำอาหาร เมื่อเสร็จแล้วก็มาเรียกข้าด้วยนะเจ้าค่ะ”
พร้อมกับทิ้งประโยคคล้ายคำสั่งเอาไว้
* * *
ทุกการเคลื่อนไหวของเด็กทั้งสามถูกรายงานให้กับฮอนและรยูฮาในทันที ความวุ่นวายตลอดทั้งคืนก็ถูกส่งไปยังพระราชวังทันทีที่ฟ้าสาง ทั้งสองคนได้รับรายงานเดียวกันในที่เดียวกัน แต่การตอบสนองกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“มีรายงานแค่นั้นหรือ ถ้าองค์หญิงเป็นหวัดจะทำอย่างไร!”
ฮอนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อเป็นเรื่องของบุตรสาว
“ทำได้ดีแล้ว ถ้าไม่มีอันตรายใดๆ เลยแล้วจะเรียกว่าที่ทุรกันดารได้อย่างไรเล่า”
ส่วนรยูฮาก็จิบชาอย่างไม่สะทกสะท้าน
มีเพียงทหารคุ้มกันที่ลงมาหลังจากปกป้องเด็กน้อยสามคนตลอดทั้งคืนเหงื่อตกอยู่ระหว่างทั้งสองเท่านั้น ทว่าพอมีความเห็นขัดแย้งกันทีไร ผู้ชนะก็มักจะเป็นรยูฮาเกือบทุกที
“หากทั้งสามทำอาหารด้วยตัวเอง และนอนหลับหนึ่งคืนโดยไม่มีการทะเลาะกันก็ให้พาลงมาได้ แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นห้ามใครช่วยเหลือพวกเขาเด็ดขาด”
ให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนทำอาหารเองและนอนในกระท่อมเนี่ยนะ มันเป็นเรื่องที่ฮอนไม่อาจจินตนาการได้เลย เขานึกถึงยอนฮวาที่ทำอาหารจนมักจะมีเขม่าควันเปื้อนบนหน้าบ่อยๆ ระหว่างหลบซ่อนเมื่อหลายสิบปีก่อนขึ้นมา
เขม่าควันงั้นหรือ ไม่ได้ ลูกสาวแสนสวยของเราจะมีเขม่าควันเลอะบนหน้างั้นหรือ ใบหน้าของยอนยามเงยหน้ามองพร้อมน้ำตาคลอหางตายังคงติดตาเขาอยู่เลย
ฮอนไม่เป็นอันทำอะไรเพราะความกลัดกลุ้มใจทั้งวัน แม้สำรับอาหารมากมายถึงห้าสิบชนิดจะถูกนำมาวางตรงหน้า ก็ทำท่าทางเหมือนเคี้ยวทราย ไม่รับรู้รสอะไรเลย ไม่ว่าจะเช้า กลางวันหรือเย็น เขาใช้ชีวิตหนึ่งวันโดยการนอนเหม่อมองเพดานวังจานยองอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยเรียกรยูฮาเบาๆ
“รยูฮา”
เรียกเสร็จก็ลองเงี่ยหูฟังดู แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีแค่เสียงลมหายใจสงบสุขเท่านั้น หรือนางจะไม่รู้? ลองเรียกอีกครั้ง รยูฮา… ไม่ตื่นจริงด้วย หลังจากโบกมือตรงหน้านางสองสามรอบด้วยความถี่ถ้วน ฮอนก็ค่อยๆ ลุกออกจากเตียง
“ฝะ ฝ่าบาท!”
“ชู่”
ข้าราชบริพารที่ยืนเฝ้ายามกลางคืนหมอบกราบลงกับพื้นหลังจากเห็นพระราชาย่องออกมาเงียบๆ โดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเต็มยศ แต่ฮอนก็สั่งให้พวกเขาเบาลงและเข้าวังกอนชองด้วยชุดนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองที่จูฮวานนำมาให้และถือโคมไฟเล็กๆ ขึ้นเขากลางดึก
“ฝ่าบาท แฮ่ก แฮ่ก เสด็จช้ากว่านี้หน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พระเจ้า อากาศยามค่ำคืนหนาวขนาดนี้เลยหรือ ยอนของพวกเราลำคออ่อนแอเสียด้วย”
แม้ว่าจูฮวานจะหอบหายใจอยู่ข้างหลัง แต่ฮอนทำเป็นไม่ได้ยินและเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยจินตนาการว่าลูกสาวนอนตัวสั่นอยู่ในผ้าห่มรุ่งริ่ง โดยไม่ได้คิดเลยว่าความจริงแล้วผ้าห่มรุ่งริ่งนั่นไม่มีอยู่ในกระท่อมด้วยซ้ำ
ขึ้นเขามากับโคมไฟที่ใช้ส่องสว่างทางเพียงดวงเดียวประมาณสองชั่วยาม ในที่สุดกระท่อมล่าสัตว์อันคุ้นเคยท่ามกลางความมืดมิด
“ใครน่ะ”
เหล่าทหารคุ้มกันที่เฝ้ากระท่อมอยู่รอบทิศทางพุ่งตัวออกมาล้อมผู้บุกรุก ป้องกันดีทีเดียว ฮอนพยักหน้าด้วยความพอใจ แต่จูฮวานก็ขึ้นมาขวางหน้าคมดาบด้วยใบหน้าซีดเซียว
“บังอาจนัก ยังไม่ถวายการคำนับฝ่าบาทอีก!”
จูฮวานก็อยู่ในชุดลำลองไม่ใช่ชุดขุนนางเช่นกัน แต่เหล่าทหารคุ้มกันจำเสียงเล็กๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของขันทีผู้นี้ได้จึงวางดาบลงอย่างลังเล บ้างก็จำหน้าจูฮวานที่สะท้อนกับแสงไฟอันเลือนรางได้เช่นกัน
“ถะ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“อืม พวกเจ้าทำงานได้ดีทีเดียว แล้วองค์หญิงอยู่ที่ใด”
ข่าวลือที่ว่าฝ่าบาททรงหลงองค์หญิงอย่างรุนแรง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงก็ทรงทำได้ทุกอย่างคือความจริง เหล่าทหารคุ้มกันไม่ตอบคำถามในทันทีและมองหน้ากันอย่างลังเล
“เรื่อง เรื่องนั้น…”
คำตอบออกมาช้าเกิน แต่เมื่อฮอนกำลังจะเปิดปากถามเป็นครั้งที่สอง จูฮวานที่มีความรู้สึกไวก็เอ่ยพูดแทนทันที
“ฝ่าบาทตรัสถามไม่ใช่หรือ”
“ประ ประทับอยู่ทางด้านโน้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารคุ้มกันหน้าเจื่อนและบอกให้มาทางนี้ แต่สถานที่ที่นำไปคือช่องหินแถวๆ เส้นทางเปลี่ยนแคบๆ แทนกระท่อม พระราชธิดาที่พระราชาเสด็จขึ้นมาหาถึงบนเขากลางดึกกลางดื่นโดยไม่สนเกียรติอยู่ตรงนั้นนั่นเอง แถมยังอยู่กับบุรุษที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องอีกด้วย
“ยะ ยอน”
นัยน์ตาดำของฮอนเบิกกว้างและสั่นคลอนราวกับเกิดแผ่นดินไหว เด็กสาวที่นั่งอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนู้นคือองค์หญิงของตนไม่ผิดแน่นอน แต่เด็กชายคล้ายโจรป่าข้างๆ นั่นคือใครกัน
พอมองดูดีๆ แล้วก็เป็นใบหน้าคุ้นตา แต่ไม่ใช่ชิน แล้วเหตุใดถึงจับมือองค์หญิงอันเป็นที่รักของเขาซะแน่น แค่เห็นก็รู้สึกแย่แล้ว แต่แล้วความคิดอันดำมืดของเขาก็ชัดเจนขึ้นมา เจ้าพระราชาแห่งฮเยกุกผู้น่ารังเกียจอยู่ๆ ดีก็มาขอให้ช่วยดูแลองค์รัชทายาทปุบปับ แต่ที่จริงคงได้ยินข่าวลือว่ายอนของพวกข้าทั้งสวย ทั้งน่ารัก เลยตั้งใจส่งลูกชายมาแย่งชิงไปแน่ๆ
“เสด็จพ่อ”