วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 3-1 ชาน
ตอนพิเศษ 3 ชาน
“อือ อึก”
อึยชานบิดตัวพร้อมส่งเสียงครวญคราง
ความฝันนั้นอีกแล้ว เจ็บจัง สัมผัสถึงความเจ็บปวดอันมหาศาลตรงคอด้านซ้าย ของเหลวอุ่นที่ไหลลงมาจากตรงนั้น และรู้สึกเจ็บกับแผลเป็นขนาดเล็กบนผากของผู้หญิงในชุดสีดำ
“ไม่… ไม่ องค์ชาย ไม่นะเพคะ”
แม้จะยกมือลำบาก แต่ต้องเช็ดน้ำตานั้นให้ได้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เขาต้องทำ หลังจากทำแล้วมือเขาก็ร่วงหล่นลงพื้น
“องค์ชาย หม่อมฉันรักพระองค์เพคะ ตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้ สุดหัวใจ ฟื้นขึ้นมาเถิดเพคะ…”
คงคิดว่าหากเรียกอย่างนั้นเขาอาจจะฟื้นขึ้นมา คงอยากจะเชื่ออย่างนั้น เธอกดบาดแผลด้วยมือชุ่มเลือดและร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด อึยชานยื่นแขนหวังจะกอดแต่ก็เอื้อมไม่ถึง ใช่ผู้ชายในความฝันคืออึยชานและเขาเพิ่งตายเมื่อครู่นี้
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้หญิงสาวสวมชุดสีขาว อึยชานคิดว่าชุดสีขาวเหมาะกับเธอมากกว่าชุดสีดำขณะเดินเงียบๆ เคียงข้างกัน
หากเธอเลิกร้องไห้ได้ก็คงจะดี แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์จะขึ้นจะตกหลายรอบแล้ว อีกฝ่ายก็ยังร้องไห้ไม่หยุดราวกับไม่รู้จักเหนื่อยและทรุดลงกับพื้นดิน ไม่กล้ามองโลงศพของคนคนหนึ่ง
ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นลมหรอก อึยชานคิดเช่นนั้นอยู่ข้างๆ หญิงสาวเดินตากฝนอย่างเศร้าหมอง กระทั่งเธอเป็นลมไปจริงๆ เขาตกใจรีบยื่นแขนออกไปรับ แต่ร่างของอีกฝ่ายกลับทะลุผ่านแขนเขาไป
แต่ถึงอย่างไรก็โชคดีที่พ่อของเธอที่เดินเงียบๆ อยู่ด้านหลังมาตลอดรับเข้ามารับได้ทัน
“ไปตามหมอหลวงมา”
อึยชานรับรู้ว่าอีกฝ่ายได้รับความรักจากครอบครัว แม่ของเธอคอนนวดตัวอยู่ข้างๆ ทั้งวัน ส่วนพี่ชายก็แบกหมอพาดไหล่วิ่งเข้ามา
ตอนหมอสรุปผลตรวจพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับมีใครบางคนมาแหวกแผลตรงคอ
“สตรีตั้งท้องเช่นนี้ไปทำอะไรมาถึงได้ชีพจรต่ำขนาดนี้กัน”
เขาไม่ควรตาย เขาควรจะอยู่กับเธอ ยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่อยากบอก แต่ไม่ว่าจะพูดออกไปเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงออกมา อยากจะร้องไห้ น้ำตาก็ไม่ไหล
“องค์ชาย… หม่อมฉันอุ้มลูกของพระองค์นะเพคะ”
เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ข้าขอโทษ อึยชานตอบกลับด้วยเสียงในลำคอ หญิงสาวเดินตามถนนยามราตรีโดยอาศัยเพียงแค่แสงจันทร์ หลังจากเก็บข้าวเก็บของและออกจากอ้อมอกของครอบครัวมาลำพังกลางดึก คนสองคนเดินอยู่บนถนน แต่มีเงาทอดยาวเพียงเงาเดียวเท่านั้น
ท้องของเธอนูนจนสังเกตเห็นได้ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้น หญิงสาวยิ้มไม่บ่อยนัก ซึ่งอึยชานก็ยิ้มตามทุกครั้งเวลาเธอยิ้ม เด็กในท้องก็แข็งแรงดี เขาลูบท้องคนหลับใหลด้วยมือไร้ตัวตน เด็กในนั้นก็จะถีบเท้าหรือไม่ก็ต่อยตอบกลับเสมอ
ทั้งชอบ ทั้งรู้สึกมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งจึงคอยลูบเช่นนั้นทุกคืน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องหยุด เพราะเธอจะรู้สึกเจ็บและตื่นขึ้นทุกครั้งที่ลูกถีบ
เมื่อหญิงสาวนั่งรถม้าเลิศหรูกลับมาบ้าน เธอก็ยิ้มบ่อยกว่าเดิมและไปยังหลุมศพบ่อยเช่นกัน วันที่กลับจากหลุมศพ เธอมักจะนำชุดผ้าไหมสีดำเย็บด้วยด้ายทองชุดหนึ่งออกมาลูบคลำเพียงลำพัง หรือบางครั้งก็กอดแล้วผล็อยหลับ อึยชานเจ็บปวดทุกครั้งเวลาเห็นแผลเป็นจางๆ บนหน้าผากของเธอ
วันนี้อากาศดีสุดๆ แต่ไม่ใช่สำหรับอึยชาน ร่างกายของคนใช้เวลากับผู้เป็นแม่ตามปกติมีบางอย่างแปลกไป ทว่าทั้งตัวเธอเองและแม่ไม่ทันได้สังเกตเรื่องนั้น จดจ่ออยู่แต่กับการตกแต่งดอกไม้ เมื่อร่างบางยกมือกุมท้อง ของเหลวสีใสไหลลงมาจากต้นขาลงสู่พื้นดิน
“ทะ ท่านแม่”
ความหวาดกลัวปรากฏอยู่เต็มดวงตาเบิกโพลง ภายในบ้านเงียบสงบก็เช่นกัน อึยชานคอยดูอยู่ข้างๆ ด้วยความเจ็บปวดขณะที่ทุกคนต่างกำลังวิ่งวุ่น ซึ่งนั่นคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้
เขาอยากจะรับความเจ็บปวดนั่นมาแทน รวมถึงอยากจับมือนั้นด้วย แต่ก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าหากแตะตัวเธอ ตัวเขาจะหายไปโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงรู้สึกขอบคุณมากเมื่อน้องชายวิ่งเข้ามาก่อนเธอจะหมดสติไป
“องค์ชาย?”
“มินอา ลืมตาขึ้นสิ มินอา”
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาตามที่น้องชายบอกอย่างยากลำบาก และตอนนั้นเองสายตาของเธอก็สบกับอึยชานอย่างชัดเจน
“องค์ชาย”
เธอยิ้มบางๆ อย่างงดงามพร้อมเรียกเขา ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งโดยที่รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนริมฝีปาก ไม่นะ ขณะอึยชานกำลังจะใช้พลังทั้งหมดเรียก น้องชายก็ปลุกเธอแทนเขาแล้ว
“บอกให้ลืมตาไง! ซอมินอา!”
เสียงตะโกนนั้นทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง อึยชานวางมือตัวเองทาบทับบนมือของน้องชายที่จับมือเรียวเล็กแน่น เธอมองตรงมาที่เขา แต่ตอนนี้เขากำลังจะจางหายจนแม้แต่ตัวเองก็ยังมองไม่ค่อยเห็น
รู้ว่าตอนนี้สามารถคุยกับเธอได้แล้ว แต่ถึงจะมีเรื่องอยากพูดมากมาย แต่สิ่งที่พูดออกมาก็มีเพียงคำให้กำลังใจหนึ่งประโยคกับชื่ออีกฝ่ายเท่านั้น
“เก่งมากมินอา เก่งมาก”
มินอาเปิดปากที่ปิดสนิทออกเล็กน้อยราวกับจะตอบอะไรบางอย่าง และในตอนนั้นเอง
“อุแว้! อุแว้!”
ในที่สุดชีวิตใหม่ก็เริ่มดิ้นไปมาพร้อมส่งเสียงร้องไห้ทรงพลัง อึยชานมองเห็นเด็กคนนั้นชัดเจนก่อนร่างกายจะหายไปโดยสมบูรณ์และสติเลือนราง มินอาคว้ามือของเขาแล้วเรียกเป็นครั้งสุดท้าย
“องค์ชาย”
จะต้องเช็ดน้ำตานั้น เขาลูบใบหน้ามินอาด้วยมือที่มองไม่เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ในความมืดมนราวกับแสงจันทร์ถูกบดบังด้วยก้อนเมฆ
“พระองค์ ทำไม!”
“ใช่แล้ว ข้าอยู่ตรงนี้”
“องค์ชาย!”
“พูดมาสิ”
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ยครับ! ตื่น!”
อึยชานลุกพรวดขึ้นและมองรอบๆ อย่างมึนงง รู้สึกเหมือนฝันอย่างยาวนาน ตอนลืมตาตื่น ทุกอย่างก็ถูกลบเลือนเหลือเพียงแค่ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของจาฮอนซึ่งกำลังเขย่าให้เขาตื่นอยู่ตรงหน้า แต่แล้วก็หายไปทันที
“กี่โมงแล้ว?”
“เก้าโมง!”
“อ่า โธ่เอ๊ย!”
อึยชานเด้งตัวลงมาจากเตียงและตรงไปยังห้องอาบน้ำทันที จะสายตั้งแต่การพบครั้งแรกเลยหรือเนี่ย เขาลูบหน้ากับผมยุ่งเหยิงด้วยน้ำเปล่าแบบผ่านๆ แล้วใช้มือขวาจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในสองนาทีด้วยพรสวรรค์
“ไปกันเถอะ”
“ด้วยสภาพนั้น?”
“หนวกหูน่า”
ทั้งสองคนขยับตัวรวดเร็วพอๆ กับความไวของบทสนทนา แต่หลังออกจากลานจอดรถ รถตู้ก็ติดแหง็กอยู่กลางถนนแน่นขนัด เหมือนไม่รับรู้เลยว่าในใจของเขาร้อนรนเพียงใด
“โอ๊ย แม่งเอ๊ย ทำไมติดแบบนี้วะ”
อึยชานขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำ รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าคมมีเสน่ห์ เขาคือนักแสดงระดับเอ แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในลุคคนตกงาน หนวดเคราหยาบกระด้างกับหมวกบังหน้าตาก็ตาม
“เพราะพี่นั่นแหละ เป็นเด็กประถมหรือไงถึงได้นอนกลางวัน”
จาฮอนมองตรงไปข้างหน้าอย่างกระวนกระวายใจเช่นกัน
“หนวกหูน่า ขับรถไปเหอะ”
“รถมันติดขยับไม่ได้เนี่ย เดี๋ยวผมจอดตรงหน้าสัญญาณไฟนู้น แล้วพี่วิ่งไปนะ โอเค้?”
วันนี้ภาพลักษณ์ป่นปี้แน่ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ อึยชานเปิดประตูลงไปทันทีที่รถจอด และตอนนั้นเอง
“พี่! ข้างหลัง!”
มอเตอร์ไซค์พุ่งมาจากด้านหลังใกล้เข้าเรื่อยๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น ถูกชนแน่ๆ ขณะคิดเช่นนั้น มอเตอร์ไซค์ก็บิดหันไปทางต้นไม้ข้างถนนอย่างหวาดเสียว
“กรี๊ดด!”
“อ๊ากก!”