วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนพิเศษ 3-5 ชาน
“วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวจัดการเอง”
ยูมินทิ้งตัวหนักอึ้งราวกับสำลีชุบน้ำลงบนเตียงทันทีที่เข้ามาในโรงแรม
“ผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว พี่ จะไม่กลับจริงๆ เหรอ”
ชองอูวางสัมภาระที่หอบมาเต็มสองแขนลงกับพื้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ใบหน้าของเขาเปี่ยมความเหนื่อยล้า นักแสดงหญิงหนีออกจากบ้าน ไม่ใช่สิ ถูกไล่ออกจากบ้านตัวเปล่าช่างน่ารำคาญจริงๆ
“ถ้าอดทน ยูฮาอาจจะยอมแพ้ก็ได้”
“แล้วจะอดทนไปถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ”
“จนกว่าจะได้เงินยี่สิบล้านวอนนั่น”
“ผมว่าจะโดนท่านประทานว่าเอาได้นะ”
“ถ้าไม่พอใจก็เขียนใบลาออกซะสิ”
หาว ยูมินหาวอย่างอ่อนเพลียพร้อมกับซุกตัวในผ้าห่ม ชองอูถอนหายใจแล้วกำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างออกจึงเขย่าตัวเธอเพื่อปลุก
“พี่ จะนอนเลยเหรอครับ”
“อืม เออ อะไรอีกเล่า”
ยูมินที่เพิ่งหลับตาลงทำหน้าบึ้งพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้ข้างๆ ขึ้นมา อีอึยชาน แหล่งทรัพย์ของเธอที่ไม่ค่อยจะยินดีนัก
“ซอยูมินค่ะ”
“ต้องอาบน้ำก่อนนะครับ รีบไปอาบน้ำเลย”
ยูมินรับโทรศัพท์ในเวลาเดียวกับชองอูบังคับให้เธอลุกขึ้นมานั่ง แต่ปลายสายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
“ฮัลโหล อ่า อยู่เฉยๆ หน่อยสิ”
“เร็วสิครับ อย่าบอกนะว่าจะนอนเลย”
“ฉันคุยโทรศัพท์อยู่ ถอดนี่ออกไปสิ”
ยูมินกระดิกเท้าที่ยื่นออกมานอกผ้าห่ม ไม่รู้ว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวหรือเป็นทาสกันแน่ แต่ก็ต้องฝืนทนเพราะเป็นงานที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าวงการธุรกิจเสียอีก ชองอูชักสีหน้าพร้อมกับถอดถุงเท้ายูมินโยนไปที่มุมหนึ่ง ตอนนั้นสายก็กดแล้วโดยไม่ได้พูดอะไร
“โทรผิดหรือไง”
ในที่สุดยูมินก็ลุกออกจากเตียงหลังจากโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ชองอูล้วงหาเครื่องสำอางจากบรรดาของที่ช็อปปิ้งมาเมื่อสักครู่ แล้วจัดวางเรียงไว้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งอย่างดูดี แน่นอนว่าพร้อมกับเสียงบ่น
“เดี๋ยวก็เริ่มถ่ายทำแล้ว ถึงจะไม่ได้ดูแลตัวเอง แต่จะไม่ล้างแม้แต่หน้าเนี่ยนะ ถ้าหน้าพี่พังขึ้นมา ผมก็ซวยสิครับ ช่วยหน่อยเถอะครับ”
“บอกว่าเข้าใจแล้วไง ออกไป เดี๋ยวจะอาบน้ำนอนแล้ว”
“ผมกลับไปไม่ได้จนกว่าพี่จะอาบน้ำและมาส์กหน้าเสร็จครับ”
ในที่สุดยูมินก็ลุกขึ้นตรงไปห้องน้ำด้วยสีหน้ารำคาญสุดๆ แต่แล้วโทรศัท์ที่ถูกโยนลงบนเตียงโดยไม่สนใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้โทรคืออีอึยชาน ชองอูคิดว่าเขาน่าจะมีธุระจึงรับสาย
“ครับ โทรศัพท์ของคุณซอยูมินครับ”
[คุณซอยูมินล่ะครับ]
“ตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ครับ มีเรื่องอะไรบอกผมมาเลยได้นะครับ”
อึยชานไม่ได้ตอบอะไรสักพักหนึ่ง ที่ยูมินรับสายเมื่อสักครู่ก็คือเขาหรือเปล่านะ ชองอูเอาโทรศัพท์ออกจากหูสักพักก็เอากลับไปแนบหูใหม่
“คุณอีอึยชาน บอกธุระมาได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่ให้”
[อ๋อ ผมโทรมาเพราะเวลานัดน่ะครับ เดี๋ยวผมโทรไปใหม่ทีหลัง ขอให้มีความสุขนะครับ]
แม้แต่ตัวอึยชานเองยังคิดว่ามันเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลยจึงได้รีบวางสายไป โทรไปอีกทำไมกันนะ คิดอะไรอยู่ ตั้งใจจะเช็คอะไรอย่างนั้นเหรอ แล้วประโยคที่ว่าขอให้มีความสุขนั่นก็ด้วย
“บ้าเอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย”
สงสัยต้องดื่มเหล้าหน่อยแล้ว เขาควานหาตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมา ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิมและวางขนมมันฝรั่งทอดกรอบไว้บนโต๊ะถุงหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้โทรศัพท์ค้นหาอักษรสามตัวซึ่งเป็นชื่อของยูมิน
นักแสดงประกอบหญิงที่เรียกได้ว่าไม่มีชื่อเสียงและแทบไม่มีใครรู้จัก แต่จากที่เหลือบมองตรงหน้าร้านอาหาร เธอขึ้นรถตู้อย่างแน่นอน แถมยังดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งที่ทำมอเตอร์ไซค์ราคาพอๆ กับรถนอกหนึ่งคันพัง ถ้าอย่างนั้นจึงมีข้อสรุปได้อย่างเดียวคือเธอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แล้วทำไมถึงทำตัวไม่มีเงินและมาเอาบัตรเครดิตเขาไปด้วยล่ะ
อึยชานกระดกเบียร์ไปสามกระป๋องด้วยจิตใจสับสนจนผล็อยหลับ หลังจากนั้นวันต่อมาและวันต่อมาและวันต่อมาอีก ก็ยังมีข้อความการใช้จ่ายจากโรงแรมถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆ เบียร์กระป๋องที่ถูกทิ้งในถุงขยะข้างๆ โซฟาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ผู้หญิงคนนี้จะกลับบ้านเมื่อไหร่กัน หรือเป็นลูกถูกทิ้ง? เขาจะต้องท่องบทละคร แต่เพราะข้อความค่าโรงแรมที่ถูกส่งมาเมื่อสักครู่ปรากฏรางๆ อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างจึงไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย สุดท้ายอึยชานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทนบทละครที่ปิดลงอย่างแรง แล้วกดปุ่มโทรออกอย่างใจกล้า
[ค่ะ]
“ตอนนี้ยุ่งอยู่ไหมครับ”
[ค่ะ]
“ขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ”
[ไว้คราวหน้านะคะ]
ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมจากผู้หญิงด้วย เคยมีคนบอกว่าคนเราเวลาสับสนมากๆ ปากก็จะขยับไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คืออึยชานในตอนนี้ เมื่อปลายสายไม่ได้พูดอะไร ยูมินจึงตัดสายไปอย่างเย็นชาโดยที่ไม่ถามอะไรเพิ่ม
“อะไรกัน ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ”
เนื่องจากกลัวว่าจะมีสายโทรเข้ามาอีก เธอจึงปิดโทรศัพท์ไปเลย จากนั้นจึงพลิกหน้าบทละครที่กำลังอ่านอยู่อีกครั้งแล้วท่องบทพึมพำ
“เหมือนที่หม่อมฉันเคยบอกก่อนหน้านี้ เป็นความจริงที่หม่อมฉันเคยชอบพระองค์เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพคะ แต่ว่าหม่อมฉันตัดใจมานาน… อื้ออ”
ช่างเป็นการแสดงที่ยากจริงๆ ผู้หญิงที่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ทั้งที่อยู่เคียงข้างผู้ชายที่ตัวเองรัก นอกจากจะเป็นความรู้สึกที่ไม่เข้าใจแล้ว คู่ของเธอยังเป็นอึยชานอีก เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีสมาธิจดจ่อเลย
“ทำไมถึงมองด้วยสายตาแบบนั้น”
ยูมินบ่นใส่อึยชานที่มองไม่เห็น เขาเกือบถูกมอเตอร์ไซค์ชนโดยไม่ทันตั้งตัวจึงต้องตกใจแน่นอนอยู่แล้ว แต่ดวงตาของอึยชานที่จ้องมองมาที่ตัวเองกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแทนความตกใจหรือความกลัว สายตานั้นดูเจ็บปวดราวกับมีเสี้ยนหนามติดอยู่ที่ไหนสักที่ในลำคอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยูมินหยิบบทละครขึ้นมาอีกครั้งแล้วใช้ตาอ่านตรงส่วนที่เพิ่งเปลี่ยนหน้าไปอย่างลวกๆ
[ถ้าหากว่า]
บทของอึยชาน ยูมินขีดเส้นบางๆ บนตัวอักษรด้วยปากกาเน้นข้อความสีฟ้า
[ชาติหน้ามีจริง ตอนนั้นเจ้าจะชอบข้าอีกหรือไม่]
ช่างเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวจริงๆ เส้นสีฟ้าบางๆ ถูกขีดลงบนตัวอักษรที่ชัดเจนพร้อมกับความคิดเห็นที่ถูกแสดงออกมาสั้นๆ
[หากพระองค์ประสงค์ หม่อมฉันก็จะทำเช่นนั้นเพคะ]
หัวอ่อน หัวอ่อนจริงๆ ยูมินหลุดขำพร้อมกับขีดเส้นบทพูดด้วยปากกาเน้นข้อความสีส้ม
“พี่ มันไม่เกินไปเหรอที่เรียกผมมาแต่เช้าด้วยเรื่องส่วนตัวแบบนี้”
จาฮอนพิงทางเข้าห้องแต่งตัวและบ่นงึมงำหลังจากกดรหัสเข้ามาด้วยความเคยชิน ภายในห้องแต่งตัวไม่เหลือช่องว่างให้เดินได้ เพราะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่อึยชานถอดแล้วโยนทิ้งไป
“ทางนั้นก็มากับผู้จัดการส่วนตัวไม่ใช่เหรอ นายเองก็ทำตัวเป็นผู้เป็นคนหน่อยเถอะ”
อึยชานตอบโดยไม่หันไปมองจาฮอนแม้แต่แวบเดียว ดูลุกลี้ลุกลนเกินไปไม่สมกับเป็นเขาเลย จาฮอนขมวดคิ้ว แต่สายตาอึยชานก็ยังไม่เลิกจ้องตัวเองในกระจก โดยปกติแล้วเขาจะเลือกใส่อะไรก็ได้ ขอแค่สอดแขนสอดขาเข้าไปได้ก็พอ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะลองทาบชุดอะไรก็ไม่มีตัวที่ถูกใจเลย อึยชานโยนเสื้อเชิ้ตที่ลองทาบใต้คอเมื่อกี้นี้ลงไปบนกองเสื้อผ้าอย่างไร้เยื่อใย
“ตัวเมื่อกี้ก็โอเคนะครับ ที่เพิ่งโยนไปเมื่อกี้”
“งั้นก็เอาไปสิ ค่าโอที”
ใบหน้าของจาฮอนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจนถึงเมื่อสักครู่จึงสดใสขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงเขาจะบึ้งตึงและพูดจาห้วนๆ อยู่เสมอ แต่ก็มีน้อยคนนักที่ดูแลทีมของตัวเองได้ดีเท่าๆ กันกับอึยชาน อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาให้เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมที่ยังไม่ได้แกะป้ายออกด้วยซ้ำเป็นของขวัญค่าทำโอที
“แต๊งกิ้ว ผมจะใส่อย่างดีเลยครับ”
“ตัวนี้เป็นไง”
อึยชานเลือกเสื้อแขนยาวที่ดูใส่สบายขึ้นมาแล้วหันไปหาจาฮอน
“ดูไม่ใส่ใจเกินไปครับ”
ตุบ เป็นอีกอันที่ถูกไปรวมบนกองเสื้อผ้า ตัวต่อมาที่อึยชานเลือกคือเสื้อไหมพรมสีเบจอ่อนๆ
“อันนี้ล่ะ”
“ดีขึ้นเยอะ กางเกงสีกรมตรงนู้นครับ”
“อันนี้เหรอ”
จากในความทรงจำของจาฮอน นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่อึยชานทุ่มเทกับการเลือกเสื้อผ้าขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าตัวอึยชานเองจะไม่ได้คิดอะไรและตั้งอกตั้งใจใส่กางเกงที่จาฮอนเลือกให้ จากนั้นจึงไปเลือกถุงเท้าต่ออย่างพิถีพิถัน
“ได้ไหม”
“ครับ ดูดีเลยครับ”