สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 102
การ์ดสีทองเงิน
โครงสร้างในอารามเต๋าไม่ได้ซับซ้อน มองเพียงแค่แวบเดียวก็เห็นได้
ตอนที่ลั่วชิวย่างเท้าเข้ามาในอารามเต๋า เสียงที่คล้ายๆ กับเสียงเรียกร้องก็กลายเป็นชัดเจนขึ้นหน่อย เขาค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในอารามเต๋าตามเสียงนั้น
“ที่นี่เหรอ”
ตอนนี้ตัวของลั่วชิวกำลังอยู่ในวิหารด้านหลังของอาราม ตะเกียงน้ำมันหลายสิบอันที่แขวนห้อยลงมาจากขื่อ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยแสงอบอุ่น
ที่พื้นจัดวางเบาะนั่งทรงกลมไว้สิบสองเบาะอย่างเรียบร้อย แต่ตรงกลางกลับเป็นรูปแกะสลักหินของคนคนหนึ่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองลง หนวดที่สวยงามทิ้งตัวลงมาอยู่ระหว่างอก และขนคิ้วก็ยาวเกือบจะห้อยลงมาถึงใบหน้าแล้ว
ถือได้ว่าเป็นท่าทางของนักพรตที่สง่างามดังเซียนเลยทีเดียว
คงจะเป็นอาจารย์ปู่ของสำนักหยางไท่จื่อ ผู้ก่อตั้งสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ลั่วชิวพิจารณารูปแกะสลักหินนี้ เสียงที่ร้องเรียกแบบนั้นมาถึงตรงนี้แล้วก็ดังสุดขีด
ราวกับมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นลั่วชิวก็เห็นภาพลวงตาแปลกๆ เหมือนกับจู่ๆ รูปแกะสลักหินนี้ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา…ชวนให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
ทันทีที่ลั่วชิวเดินไปใกล้ๆ รูปปั้นหิน เขาก็ยื่นมือไปเคาะที่ใต้รูปแกะสลักหินเบาๆ เล็กน้อย ก่อนดึงมือกลับมาวางตรงตำแหน่งหัวใจของรูปสลัก
ในตอนนี้เอง ที่ตำแหน่งหัวใจของรูปสลักหินก็มีโฟตอน*สีทองคล้ายๆ กับแสงของดวงดาวพุ่งทะลักออกมาเล็กน้อย พวกมันค่อยๆ รวมตัวกัน และร่วงลงมาช้าๆ
สุดท้ายพวกมันก็ตกมาอยู่ที่กลางฝ่ามือของลั่วชิว หลังจากรวมตัวกันครบหมดแล้ว ก็กลายเป็นการ์ดสีทองเงินที่กำลังส่องแสงระยิบระยับ…ใบหนึ่ง
การ์ดสีทองเงิน
ขนาดของมันเหมือนกับการ์ดดำที่สมาคมแจกเป๊ะๆ แต่ที่น่าสงสัยกว่านั้นก็คือ ลั่วชิวมองเห็น ‘ตราประทับส่วนลด’ ที่อยู่บนการ์ดดำส่วนหนึ่งบนการ์ดทองเงินใบนี้!
ลั่วชิวใช้นิ้วมือหนีบการ์ดเงินทองใบนี้เบาๆ ข้อมูลแต่ละอย่างพลันไหลเข้ามาในความคิดของเขา เพียงแต่ข้อมูลพวกนี้สะเปะสะปะ
เหมือนกับชิ้นส่วนจิ๊กซอว์อย่างไรอย่างนั้น
“หืม…” ลั่วชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจอการ์ดทองเงินแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนที่รูปแกะสลักของบรรพจารย์หยางไท่จื่อ อีกทั้งดูจากกลิ่นอายแปลกประหลาดที่แพร่ออกมาจากการ์ดทองเงินนี้ ลั่วชิวก็ยืนยันในขั้นต้นได้ว่าของสิ่งนี้มาจากสมาคม
ลั่วชิวเก็บการ์ดเงินทองใบนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่ได้จากออกไปทันที แต่กลับยื่นมือออกไปจับรูปสลักหินที่อยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ ขยับเขยื้อนไปมา
ตามการเคลื่อนไหวของฝ่ามือเขา รูปแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มค่อยๆ ขยับไปใกล้ฝั่งหนึ่งอย่างช้าๆ ส่งเสียงครืนๆ ออกมาเบาๆ อีกทั้งยังค่อยๆ มองเห็นว่าข้างล่างรูปสลักหินนี้มีปากถ้ำสี่เหลี่ยมอยู่อันหนึ่ง
นี่คล้ายกับทางเดินทางหนึ่ง ตรงนี้เป็นสุดทางของอารามด้านหลังแล้ว ด้านหลังของมันก็เป็นหินหน้าผาของตัวภูเขาแล้ว แต่ทางเดินนี้ดูเหมือนว่าจะเข้าไปในตัวภูเขา
ลั่วชิวพิจารณาทางเข้าอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกระโดดพุ่งพรวดเข้าไปในนั้น หลังจากนั้นไม่นานก็เจอพื้นดินที่สามารถยืนได้…ความลึกน่าจะประมาณแค่สี่ห้าเมตรเท่านั้น แต่ข้างหน้าก็มีทางที่สามารถเดินเข้าไปได้
ลั่วชิวได้ยินเสียงเบาๆ ที่ดังมาจากทางด้านหน้าอย่างเลือนราง ความจริงที่นี่มีแสง อีกทั้งยังถือว่าเป็นแสงสว่าง เพราะทางเดินมีสองข้าง ในระยะไม่ห่างจากกันนักก็ล้วนแล้วแต่มีตะเกียงจุดเอาไว้
เจ้าของร้านลั่วไม่เชื่อว่าตะเกียงพวกนี้จะถูกจุดมาตั้งแต่เริ่มสร้างจนตอนนี้…ใช้เวลาหมดไปประมาณสองนาที เขาก็เดินมาจนสุดทางเดินแล้ว
ในถ้ำที่ขุดเจาะเอาไว้ภายในตัวภูเขาที่ทางเดินนี้เชื่อมต่อไปนั้น ลั่วชิวมองเห็นปีศาจหลากหลายรูปแบบ หนึ่งตัว สองตัว สามสี่ตัว…สิบกว่าตัว
ปีศาจน้อยหนึ่งในนั้นเห็นเขาก่อน ปีศาจน้อยตัวนี้ดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าหกขวบ สวมใส่กระโปรงสั้นลายดอกไม้ แต่ตาทั้งสองกลับเป็นสีแดงสวยสดงดงาม ส่วนหัวมีหูกระต่ายนุ่มๆ ใหญ่ๆ คู่หนึ่งงอกออกมา
ใช่แล้ว ข้างหลังปีศาจน้อยตัวนี้ยังมีหางเล็กๆ สีขาว ขยับไปมาอยู่
“เป็นปีศาจกระต่ายเหรอ?”
…
…
ในป่าลึกเฮยสุ่ยกระอักเลือดออกมาอย่างหนักหน่วง สุดท้ายก็หายใจหอบนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เธอมองทางที่เธอหนีมาอย่างวิตกกังวล พอไม่เห็นเงาคนไล่ตามมา ถึงได้ถอนหายใจเบาๆ ออกมา
เฮยสุ่ยยื่นมือออกไปคลำบาดแผลบนร่างกายตัวเองนิดหน่อย ทันใดนั้นก็เจ็บปวดเสียจนหน้ายู่ เธอสั่นเทาและคลายมือออก สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายต่อหลายครั้งก่อนจับต้นไม้ยืนขึ้นมา
เฮยสุ่ยไม่ได้หนีออกจากสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมต่อไปเรื่อยๆ แต่กลับอ้อมป่าเขาผืนนี้ไปอย่างรวดเร็วมาถึงตรงหน้าผา แล้วอาศัยเกาะหน้าผาหินเข้าไปในหุบเขาลึก ก่อนลื่นลงไประหว่างรอยแตกของหินผา
ขาทั้งสองของเฮยสุ่ยที่ลื่นตกไปในรอยร้าวก็กลายเป็นหางงูอีกครั้ง เพื่อให้รอดผ่านไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางรอยร้าวที่ขรุขระและคับแคบนี้
ผ่านไปไม่นาน เฮยสุ่ยก็มองเห็นที่หมายที่ตัวเองต้องการไปให้ถึงแล้ว จึงกระโดดขึ้นมาจากสุดทางของกลางรอยแตกนั้น แล้วก็ตกลงที่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีที่เธอพึ่งจะหนีออกจากรอยร้าวนั้นได้ ก็เริ่มเอ่ยคำพูดขึ้นมา “พวกเด็กๆ ทุกคนยืนให้ดีๆ ตามข้าออกไปจากที่แห่งนี้…!!
ไม่ทันสิ้นเสียง สีหน้าดำๆ ที่ตกลงบนพื้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวทันที นางอ้าปากของตัวเองออก เขี้ยวฟันสีขาวสองข้างในปากพลันงอกออกมาเป็นเขี้ยวแหลมคม
เขี้ยวพิษ!
เพราะว่าปีศาจงูเฮยสุ่ยมองเห็นคนที่หยางไท่จื่อพามาด้วย…ผู้ชายคนนั้น!
“ปล่อยพวกมันนะ!!” ในน้ำเสียงของเฮยสุ่ยเต็มไปด้วยความโกรธกรุ่นและไม่สงบสุข
…
“ไม่ต้องกังวล ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกมัน”
ลั่วชิวมองเฮยสุ่ยที่กระโดดพรวดขึ้นมาจากตรงกลางรอยร้าวของหน้าผานั้น ก่อนยกมือไปทาบริมฝีปาก ให้สัญญาณมือห้ามส่งเสียง
ตอนนี้เฮยสุ่ยถึงได้ค้นพบจุดที่ไม่ปกติ
ผู้ชายคนนี้กำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดของถ้ำนี้
พวกปีศาจน้อยพวกนั้น ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว แต่ทว่าทุกตัวล้วนแต่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายผู้ชายคนนี้ แต่ละตัวมีท่าทางน่าเอ็นดูหมอบลงที่พื้นด้วยท่าทางหลับสบาย
แต่ในตอนนี้ ในมือของชายผู้นี้ยังกอดเอาไว้ตัวหนึ่ง!
นี่คือปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิง หากนับตามอายุปีศาจก็คือสิบห้าปี ซึ่งเท่ากับอายุของมนุษย์ประมาณห้าหกขวบ ปีศาจกระต่ายน้อยที่ยังไม่สามารถควบคุมการแปลงร่างให้ดีๆ ได้ บนตัวยังคงมีลักษณะเด่นๆ อย่างพวกหางน้อยๆ ของกระต่ายอยู่
ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงขี้กลัวอย่างมาก นอกจากตัวเองและปีศาจน้อยตัวอื่นในนี้แล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าเข้าใกล้ปีศาจแปลกหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกมนุษย์
แต่ในสายตาของเฮยสุ่ย ตอนนี้ปีศาจกระต่ายตัวนี้กลับฟุบอยู่ในอ้อมอกของชายผู้นี้อย่างพึงพอใจ ตอนที่ถูกลูบไล้ขนปุกปุยบนตัวนั้น ยังมีสีหน้าเหมือนกับเคลิบเคลิ้มปรากฏออกมา
เฮยสุ่ยยังคงไม่ล้มเลิกความคิดระมัดระวังตัว เธอมองที่ข้างๆ ลั่วชิวนั่งอยู่แวบหนึ่ง ยังมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่…เฮยสุ่ยตะลึงงัน เล่มหนึ่งในนั้นยังเปิดเอาไว้แล้วด้วย ซึ่งก็อยู่ในมือของชายผู้นี้
เฮยสุ่ยอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ หนังสือพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอหามาก่อนหน้านี้ เป็นหนังสือนิทานที่ใช้เล่าให้ปีศาจน้อยพวกนี้
เหมือนจะเห็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของปีศาจงูเฮยสุ่ย ลั่วชิวจึงค่อยๆ ปิดหนังสือนิทานในมือลง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกมันอยากให้ผมเล่านิทานให้พวกมันฟัง ตอนแรกก็ให้ลูกแพร์ป่าของที่นี่กับผมนิดหน่อย เหมือนว่าผมคงปฏิเสธไม่ได้…”
ถึงจะอธิบายแบบนี้ แต่ลั่วชิวกลับบ่นไม่พอใจเล็กน้อย
นอกจากเงินทองแล้ว ค่าธรรมเนียมบ้าบออะไรอย่างอื่นสมาคมก็เอาหมดจริงๆ นะ…
ลูกแพร์ป่าพวกนี้ได้ไม่ถึงวินาทีเดียวเลยด้วยมั้ง?
แต่กลับหวานมากๆ
*โฟตอน หรือ อนุภาคของแสง เป็นการพิจารณาแสงในลักษณะของอนุภาค เนื่องจากในทางฟิสิกส์นั้น คลื่นสามารถประพฤติตัวเหมือนอนุภาคเมื่ออยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่ง