สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 107
ลั่วชิวก็ไม่เคยคิดเลย ว่าแท่นบูชาประหลาดนี่จะสามารถขยับได้
สีดำเหมือนน้ำหมึกนั้น เป็นสสารที่เหมือนกับน้ำแต่ไม่ใช่น้ำ เริ่มเอ่อท้นทะลักขึ้นมาจากแท่นบูชา แต่ยังกระจายตัวออกไปไม่มาก
ในตอนนี้ลั่วชิวถึงกับสัมผัสถึงความรู้สึกหนักอึ้งที่มักจะมาจากแท่นบูชา…เขาแค่รู้สึกสบายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งตอนนี้มันได้ลุกลามมาทั่วร่างกายของเขา
ลั่วชิวเดินเข้าไปใกล้ขอบแท่นบูชาอย่างเผลอตัว
การลอยตัวแบบนี้ใช้เวลาไม่นานเลย บางทีเวลาอาจจะผ่านไปแค่หนึ่งหรือสองนาทีเท่านั้น แม้กระทั่งความสูงที่ลอยขึ้นมาก็ไม่ได้สูง แค่หนึ่งเมตรโดยประมาณ
แต่ในวินาทีนี้ ลั่วชิวถึงได้พบว่า ที่แท้ด้านล่างของแท่นบูชาก็มีเสาขนาดเท่ากันเสาหนึ่งเชื่อมเอาไว้อยู่! พร้อมกันนั้นการ์ดสีทองเงินในมือของลั่วชิวก็ส่องแสงสว่างไสวเด่นชัดกว่าปกติ…เหมือนว่าการ์ดใบนี้อยากหนีออกไปจากเงื้อมมือเขาอย่างไรอย่างนั้น
ลั่วชิวขมวดคิ้ว เขาเริ่มพิจารณาเสาด้านล่างที่เชื่อมกับแท่นบูชานี้
หนึ่ง สอง สาม สี่…เจ็ด
สิ่งที่เขาค้นพบก็คือ ด้านบนของเสาต้นนี้ มีช่องเว้าๆ เจ็ดช่อง ซึ่งขนาดเท่ากับการ์ดทองเงินในมือเขาเอง
ลั่วชิวลองเอาการ์ดเงินทองในมือวางไว้ในช่องเว้าๆ ช่องหนึ่งลวกๆ …ผ่านไปสักพัก แท่นบูชาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอีก
“ตำแหน่งที่แน่นอนงั้นหรือ” ลั่วชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย และเริ่มลองไล่ดูทีละอัน สุดท้ายเมื่อวางการ์ดที่อยู่ในมือใบนี้เข้าไปในช่องเว้าช่องหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ก็เริ่มปรากฏให้เห็น
การ์ดที่เข้าไปในช่องเริ่มฝังไปในเสา แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“กุญแจดอกที่สี่ ใส่สำเร็จ”
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ข้อมูลบางอย่างจากแท่นบูชาก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวเขา
ลั่วชิวตะลึงงัน “การ์ดใบนี้คือกุญแจ…กุญแจดอกที่สี่ หมายถึงอะไร?”
“กุญแจดอกที่สี่”
“คืออะไรกันแน่?”
“กุญแจดอกที่สี่”
“กุญแจดอกที่สี่ ความหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่”
“กุญแจดอกที่สี่”
ลั่วชิวหยุดการซักถาม ดูแล้วไม่ว่าจะถามมากมายขนาดไหน สุดท้ายคำตอบที่ได้รับก็เป็นเพียงแค่ ‘กุญแจดอกที่สี่’ … ที่สำคัญก็คือ สิ่งที่เรียกว่ากุญแจดอกที่สี่เกี่ยวกับการ์ดสีทองเงินใบนี้ ไม่นึกเลยว่าแม้กระทั่งราคาซื้อข้อมูลก็ไม่มี
มีแค่ ‘นี่คือกุญแจดอกที่สี่’ แบบนี้จะถือว่าเป็นคำตอบก็ไม่ได้
ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่คิดว่าจะแกะการ์ดออกมาจากกลางเสานั้น แท่นบูชากลับค่อยๆ จมดิ่งลงไปใต้พื้นอีกครั้ง…พวกสสารแปลกๆ ที่อยู่ใต้เท้าก็เริ่มทะลักกลับเข้าไป
แต่ตอนนี้แท่นบูชากลับมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด…หรือจะเป็น มีของที่แต่เดิมไม่มีบางอย่างออกมา นั่นก็คือด้านบนของแท่นบูชา ขนาดสูงประมาณหนึ่งฟุต ตอนนี้ค่อยๆ มีวัตถุทรงกลมลูกหนึ่งเกิดขึ้นมาช้าๆ แล้ว
ลั่วชิวลองลูบไปที่วัตถุทรงกลมนี้ ทว่าฝ่ามือของเขากลับผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย…ที่แท้ก็แค่เงาปลอมๆ เงาหนึ่ง แต่เงาปลอมๆ นี้คือ…
“นี่คือ…โลก?”
น่าจะเป็นอย่างนั้น ภาพที่วัตถุทรงกลมนี้แสดงออกมาอย่างชัดเจน และยังมีแผ่นเปลือกโลก ทั้งหมดต่างก็เป็นลักษณะของโลกในปัจจุบัน
เพียงแต่ ‘โลก’ ใบนี้กลับไม่เหมือนกับภาพถ่ายดาวเทียมของโลกที่เขาเคยเห็นมาโดยสิ้นเชิง…แต่เดิมนั้นคงจะเป็นดาวเคราะห์สวยงามที่มีสีฟ้าคราม ทว่าวัตถุทรงกลมที่แท่นบูชาฉายออกมาตอนนี้ กลับแสดงเป็นสีเทามัวสีหนึ่ง
สีเทาขาวแสดงส่วนที่เป็นสีฟ้าของมหาสมุทร บนผืนแผ่นดินทั้งหมดแสดงออกมาเป็นสีน้ำตาล…รู้สึกเหมือนฟิล์มที่ถูกกางเป็นรูปไว้
“โลกใบนี้ แสดงถึงอะไรอีกล่ะ?”
“กรุณาใส่กุญแจเพิ่มเติม”
…
“ซ่อนไว้”
ลั่วชิวลองพูดแบบนี้กับแท่นบูชา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ วัตถุทรงกลมที่ฉายออกมาในตอนนี้กลับค่อยๆ หายไป
แล้วตั้งแต่ตอนนี้ แท่นบูชาก็มีฟังก์ชันใหม่ คือฉายวัตถุทรงกลมนี้ออกมาภาพหนึ่ง
“เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับกุญแจคงจะไม่สามารถหามาด้วยการจ่ายอายุขัยของฉัน…ไม่มีแม้กระทั่งตัวเลือกจ่ายค่าตอบแทนปรากฏขึ้นมา เพื่อถามว่าทำไมกุญแจดอกที่สี่ถึงอยู่ในรูปปั้นหิน หรือว่าต้องรวบรวมกุญแจให้มากขึ้นถึงจะรู้ความหมายที่ซ่อนไว้?”
เขาออกจากใต้ดินชั้นที่สามแล้วค่อยๆ เดินไปยังห้องโถงช้าๆ
ลั่วชิวพลันนึกถึงเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับก้อนหินและพระผู้เป็นเจ้าเรื่องหนึ่ง ‘พระผู้เป็นเจ้าบันดาลได้ทุกสิ่ง จะสร้างก้อนหินก้อนหนึ่งที่พระองค์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้หรือ’
ราวกับว่าหลักการนี้สามารถเอาใช้กับสิ่งที่เขาเพิ่งประสบพบได้ สมาคมที่เลื่องลือว่าอะไรก็มีขายทั้งนั้น กลับมีของที่ขายให้กับเจ้าของร้านคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน
“ไม่…ก็เป็นไปได้ว่าแค่ไม่ขายให้กับฉัน ถ้าหากเป็นลูกค้าล่ะก็ จะสามารถซื้อข้อมูลที่เกี่ยวกับกุญแจได้หรือไม่?” ลั่วชิวอดคิดอย่างนี้ไม่ได้
ถ้าหากว่าสมมติฐานนี้ฟังขึ้นล่ะก็ เช่นนั้นแท่นบูชาก็แค่ไม่เปิดการขายข้อมูลกุญแจให้กับเจ้าของร้านอย่างเขา…อย่างไรเสียเขาในฐานะเจ้าของร้าน ไม่ใช่ลูกค้า เดิมทีก็ไม่เคยบอกไว้ว่าเจ้าของร้านสามารถซื้อของอะไรที่ต้องการจากสมาคมได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าตลอดเวลามานี้ที่เขาใช้อายุขัยมาแลกข่าวและอื่นๆ คงทำให้เขาเข้าใจผิดไปเองว่าตัวเขาเองซื้อได้ทุกอย่างเช่นกัน
“แต่ถ้าหากเป็นลูกค้า…ยังไม่ต้องพูดถึงซื้อข้อมูลหลังรู้เรื่องกุญแจเลย แค่จ่ายค่าตอบแทนอย่างเดียวก็เหมือนว่า…”
เดิมที นอกเหนือจากเขาที่เป็นเจ้าของร้านแล้ว จะยังมีใครสนใจกุญแจนี้อีก…สิ่งที่ลูกค้าต้องการก็คือสิ่งที่พวกเขาเร่งเร้าจะได้มา
ดังนั้น ได้แค่รอกุญแจดอกต่อไปปรากฏขึ้นมางั้นเหรอ?
“นายท่าน?”
ลั่วชิวที่กลับมายังห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวพลันได้ยินเสียงเรียกของสาวใช้ สาวใช้ที่เชี่ยวชาญเรื่องสังเกตอารมณ์บนสีหน้ามากกว่าตัวเขาเอง ในตอนนี้เหมือนจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากสีหน้าสงสัยของลั่วชิว
“ไม่มีอะไร”
ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อย แล้วนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ เคาะนิ้วมือกับเคาน์เตอร์เล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้อาหารข้างนอกที่คุณอาเยี่ยให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์โรงแรมซื้อให้คืออะไร?”
โยวเยี่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ถ้ามื้อเย็นล่ะก็ น่าจะเป็นบะหมี่ผัดซอสดำ”
ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดออกมาเบาๆ ว่า “บ้านเก่าของคุณอาเยี่ยอยู่ที่เมืองหลวง สมัยก่อนตอนอยู่ที่โรงฝึกเสี่ยวชุน ฉันก็ได้กินบะหมี่ผัดซอสดำที่พี่เสี่ยวชุนทำให้เป็นบางครั้ง…อืม เธอมากับฉัน”
ทันใดนั้นเจ้าของร้านลั่วก็พับแขนเสื้อขึ้นมา เดินไปทางห้องครัว “ฉันน่าจะยังจำได้ว่าทำอย่างไร”
…
…
“พี่เฮยสุ่ย ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
หลังจากออกจากยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมที่สูงและอันตรายแล้ว เฮยสุ่ยก็กำลังพาเด็กกลุ่มหนึ่งผ่านไปจากกลางป่าเขา
บางทีอาจด้วยออกมาไวเกินไป รีบร้อนเกินไป ปีศาจวัยกระเตาะพวกนี้จึงเริ่มเหนื่อยล้า เฮยสุ่ยทนไม่ได้ จึงได้แต่หาสถานที่ที่มิดชิดสักที่พักผ่อนก่อน
เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งตรงที่ซ่อนตัว เฮยสุ่ยกลับดูต้นทางอยู่ที่ข้างนอกเพียงลำพัง ในตอนนี้ปีศาจกระต่ายน้อยก็หิ้วกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำอันหนึ่งเดินมาข้างกายเฮยสุ่ย “พี่เฮยสุ่ย กินน้ำสักหน่อยสิ!”
“หลิงหลิงเด็กดี”
ในบรรดาปีศาจน้อยกลุ่มนี้ ก็ถือว่าปีศาจกระต่ายน้อยอายุมากที่สุด และก็เป็นตัวที่รู้ความที่สุด เฮยสุ่ยอดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อนลูบหัวของหลิงหลิงพร้อมกับพูดว่า “ตลอดเวลามานี้ ลำบากเจ้าแล้วนะ”
หลิงหลิงส่ายหน้า “ไม่เลย เทียบกับข้าแล้ว พี่เฮยสุ่ยถึงเป็นคนที่ลำบากที่สุด…ข้ารู้หมดทุกอย่าง”
มองดูปีศาจกระต่ายน้อยที่กำลังก้มหัวลง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพูดอะไร แต่เฮยสุ่ยก็รู้แล้วว่า ความจริง หลิงหลิงรู้ทุกอย่างหมดแล้ว เพียงแต่รับหน้าที่เป็นตัวละครพี่สาวของเจ้าพวกนี้อยู่อย่างเงียบๆ
เฮยสุ่ยแอบถอนหายใจ “อาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่มืด พวกเราจะต้องออกจากป่าเขาแห่งนี้ไป ไม่เช่นนั้นรอให้ถึงกลางคืน ไม่รู้ว่าค้างคาวเน่านั่นจะปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่”
หลิงหลิงเอียงคอพร้อมพูดว่า “ถ้าออกมาอีกล่ะก็ คงจะไปที่อารามก่อน?”
“ไปก็ถือว่าสมน้ำหน้านักพรตเน่านั่นแล้ว” เฮยสุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ตั้งแต่ที่ข้าออกจากยอดเขาเมื่อครั้งที่แล้ว ค้างคาวเน่านั่นก็ตามข้ามาตลอดทาง มันไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับข้า สิบปีมานี้ก็ได้แต่ดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ มาโดยตลอด…ถ้าหากว่ามันยังกล้ามาที่อารามอีก ก็ให้มันต่อสู้กับนักพรตเน่านั่นสักที”
หลิงหลิงพูดพร้อมแววตาเป็นประกาย “แล้วพวกเราก็จะได้กลับไปใช่ไหม?”
แต่เฮยสุ่ยกลับส่ายหน้า “นักพรตนั่นหลบหนีเก่งมาก ถ้าหากเขาหนีไปแล้ว พวกเราก็จะเป็นอันตราย…อย่างไรก็ตามที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว”
แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมนักพรตเน่าหนีไปแล้ว พวกเขากลับจะแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่ในใจของปีศาจกระต่ายน้อย ก็คิดว่าคำพูดของพี่เฮยสุ่ยที่ปกป้องตัวเธอเองมาโดยตลอด จะต้องไม่ผิดแน่นอน
เพียงแต่กระต่ายน้อยเงยหน้าขึ้นมามองดูถ้วนทั่ว ก่อนเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ “แต่พวกเราควรจะไปที่ไหนกัน…”
ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ชั่วครู่หนึ่งก็เหมือนจะไม่มีที่ให้พวกมันซุกหัวนอน
เฮยสุ่ยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนค่อยๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่มีทางเลือกแล้ว ดูเหมือนจำเป็นต้องไปขอร้องผู้อาวุโสท่านหนึ่งแล้ว”
“ผู้อาวุโสคนไหนเหรอ?”
เฮยสุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นผู้อาวุโสสายเลือดมังกรบริสุทธิ์คนสุดท้ายของเผ่าปีศาจพวกเรา”