สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 108
ร่างกายที่หายเป็นปกติแล้วทำให้เยี่ยเหยียนประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกที่เขาอยู่ก็ถือว่าเป็นคนพเนจรคนหนึ่งไปแล้ว คนกำลังเร่ร่อนพเนจรจะให้ไม่พกมีดติดตัวได้อย่างไรกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เข้าสู่เส้นทางนี้ก็รู้ได้อย่างชัดเจน
เยี่ยเหยียนที่เคยเรียนความรู้ทางการแพทย์มาบ้าง ย่อมเข้าใจอาการบาดเจ็บของตนเองก่อนหน้านี้ได้ไม่มากก็น้อยว่าหนักหนาแค่ไหนกันแน่ อย่าว่าแต่หนึ่งสัปดาห์เลย ขนาดให้เวลาเขาสามสัปดาห์ก็อาจจะหายดีจนถึงระดับนี้ไม่ได้
เยี่ยเหยียนที่เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าพลันอารมณ์ดีขึ้น เขายื่นมือไปแตะที่หน้าตนเองสักเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ ที่หน้ากระจกแล้วพูดขึ้น “ดูท่าแกจะโชคดีใช่ย่อยเลยนะ”
หลังจากร่างกายกลับมาดีขึ้น สิ่งที่ตามมาย่อมเป็นอาหารมื้อใหญ่
แต่พอเขากินอาหารที่ฝากเคาน์เตอร์โรงแรมซื้อมาแค่คำเดียวก็หยุดกิน ตอนที่เขาเพิ่งจบออกจากโรงเรียนมา ก็ถูกจัดให้ไปทำงานไกลบ้านเกิด เรียกได้ว่ากินอยู่อย่างไม่สบายใจนัก มีเพียงบะหมี่ผัดซอสที่โรงฝึกเสี่ยวชุนทำขึ้นมาเป็นพิเศษชามเดียวเท่านั้น ที่พอจะทำให้เขารู้สึกอิ่มไปมื้อหนึ่งได้เสมอ
รสชาตินี้ไม่เพียงแต่กระตุ้นปุ่มรับรสชาติของเขา แต่ถึงขนาดไปสะกิดความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในใจเขามานานแสนนาน
เยี่ยเหยียนเปิดประตูห้องทันที เดินมาถึงเคาน์เตอร์โรงแรม มองเจ้าของโรงแรมแล้วถามขึ้น “เถ้าแก่ครับ คุณสั่งอาหารนี่มาจากที่ไหนครับ?”
เจ้าของอายุสามสิบสี่สิบปีคาบบุหรี่มวนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไม ก็ร้านบะหมี่ที่หน้าปากซอย ไม่อร่อยเหรอ?”
“เปิดมานานแล้วหรือยังครับ?”
“สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง?” เจ้าของตอบตามที่คิด “ถ้าคุณไม่ชอบ ผมให้พวกเขาทำส่งมาให้คุณใหม่อีกชุดหนึ่งก็ได้ อย่างไรเสียก็เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ พูดกันได้อยู่แล้ว”
เยี่ยเหยียนส่ายหัว บอกว่าไม่เป็นไร ฉับพลันก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ เถ้าแก่ วันนี้มีจดหมายส่งมาให้ผมหรือเปล่า?”
“ไม่มี” เจ้าของร้านมองลูกค้าคนนี้แปลกๆ แวบหนึ่ง
นี่มันยุคไหนกันแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีคนรับจดหมายลงทะเบียนอะไรพวกนี้อีก
แน่นอนว่าเขาคงไม่ถาม เดิมทีโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ใช่กิจการถูกกฎหมาย ใครมาแล้วจ่ายเงินก็เข้าอยู่ได้ แค่ไม่ก่อเรื่องก็พอ
“ถ้ามี รบกวนแจ้งผมหน่อยนะครับ”
เยี่ยเหยียนกลับห้องไปเพียงลำพัง นั่งลงตรงหน้าโต๊ะ เขากินอย่างช้าๆ บะหมี่แต่ละเส้นๆ ก็ยังต้องอาศัยเวลาเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงไปได้
กลืนความอ้างว้างและความลังเลในที่แห่งนี้ลงไป กลืนความไม่แน่ใจและโชคชะตาที่อันตราย กลืนความทรงจำที่เคยมีความสุข
…
ไม่อาจปฏิเสธได้ ยังมีคนที่เข้มแข็งอย่างมากประเภทหนึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและสิ้นหวังมากเพียงใด ในหัวใจก็ไม่เคยสิ้นหวัง
คนประเภทนี้ถึงตายก็ไม่มีวันเสียใจ เพราะถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตาย ก็มีความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสีหน้าที่สงบเยือกเย็น ดังนั้นพวกเขาจึงมีปณิธานที่เด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้ หรือว่าสิ่งที่เคยรู้จัก ลั่วชิวก็คิดว่าเยี่ยเหยียนก็คือคนที่จัดอยู่ในประเภทนี้
โยวเย่เป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดรู้ใจมากคนหนึ่ง มุมหนึ่งก็รู้ว่าเจ้านายใหม่ของตนเองจะต้องยื่นมือเข้าช่วยอยู่เบื้องหลังโดยไม่มีเงื่อนไข แต่อีกมุมหนึ่งก็รู้ว่าหากเยี่ยเหยียนกลายเป็นลูกค้า ก็น่าจะเป็นลูกค้าที่จัดอยู่ในประเภทเชิญชวนได้ยากที่สุดแน่…ถึงแม้ว่าลูกค้าแบบนี้จะมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งก็ตาม
แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ต่อหน้าลั่วชิว
“นายท่านคะ หาตำแหน่งของคิงคองพบแล้วค่ะ เพียงแต่ไม่เจอสินค้าที่สโมสรไมเคิลไซ่อนเอาไว้ค่ะ คิงคองระมัดระวังตัวมาก ช่วงนี้เอาแต่หลบซ่อนตัวตลอด และสืบหาที่ซ่อนตัวของคุณเยี่ยค่ะ”
“ไม่ต้องหาหรอก ฉันรู้ว่าสินค้าซ่อนอยู่ที่ไหน” ลั่วชิวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปข้างนอกสักรอบ ก็ได้กำไรกลับมาบ้างแล้ว ข้อมูลนี้ไม่ได้แพงอะไร”
ลั่วชิวไม่ได้รีบร้อน ตอนนี้สิ่งที่เยี่ยเหยียนต้องการมีเพียงแค่รักษาบาดแผลให้เต็มที่เท่านั้น
“เธออยู่ที่นี่ฉันก็สบายใจ” ลั่วชิวมองโยวเย่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และมองไท่อินจื่อที่สั่งให้มาก่อนหน้านี้ แล้วพูดขึ้น “นายกลับไปกับฉัน ฉันมีเรื่องบางอย่างจะถามนาย”
ตัวไท่อินจื่อจะกล้าปฏิเสธที่ไหนกัน? นับตั้งแต่ถูกหลงซีรั่วตามมาทำร้ายถึงหน้าประตูสมาคมครั้งที่แล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านแล้ว
เจ้านายหนึ่งบริวารอีกหนึ่งก็กลับมาถึงสมาคมอย่างรวดเร็ว
ไท่อินจื่อเข้าใจดีว่า บริวารอย่างเขาไม่อาจให้เจ้านายเอ่ยปากก่อน ดังนั้นพอลั่วชิวเพิ่งนั่งลงแล้ว ไท่อินจื่อก็รีบพูดด้วยความเคารพทันที “นายท่านขอรับ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะถามข้าเรื่องใด?”
“อืม”
ลั่วชิวพยักหน้า “เล่าเรื่องพวกอาจารย์สำนักของนายให้ฟังหน่อย อีกอย่างรูปสลักหินที่เซ่นไหว้บูชาอยู่ที่วิหารด้านหลังอารามเต๋าสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ใช่ผู้ก่อตั้งอารามเต๋าหรือเปล่า?”
“นายท่านทราบขนาดนี้…” ไท่อินจื่อนิ่งอึ้ง แต่ก็กลับมานึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสำหรับเจ้าของสมาคมที่ลึกลับยากคาดเดาได้นี้ ถ้าหากเรื่องเล็กแค่นี้ก็ยังไม่รู้ ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล “เล่ากันว่าบรรพบุรุษของสำนักนี้เป็นบุคคลในสมัยซางหวงอู่ตี้*”
ไท่อินจื่อเริ่มหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเคยบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม “ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณของสำนัก บรรพจารย์ในวัยเยาว์เคยได้รับการอบรมจากผู้อื่น จึงเข้าใจวิถีของการบำเพ็ญเพียรเบื้องต้น ต่อมาได้ฝึกฝนขัดเกลาหลายครั้งจนก่อตั้งสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมขึ้น แล้วก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน”
สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พอพูดถึงตรงนี้ ไท่อินจื่อก็มีสีหน้าสับสน “พวกเราลูกศิษย์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงและอำนาจมากมายในบรรดาสำนักทั้งหลาย แต่กลับเป็นหนึ่งในสำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุดสำนักหนึ่ง ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้จะมีจำนวนสมาชิกน้อยนิด แต่เรื่องที่เหลืออาจารย์ศิษย์เพียงสองคนแบบตอนนี้ก็ไม่เคยเกิดมาก่อน”
และไม่ได้พูดรวมถึงฉินชูอวี่…ดูท่าในใจของไท่อินจื่อคงไม่เคยมองฉินชูอวี่เป็นคนในสำนักของตนเลย
ลั่วชิวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้น “ ‘คัมภีร์จักรพรรดิหยกขั้นสูง’ ชาติแล้วชาติเล่า เวียนว่ายตายเกิด นายคิดว่าบรรพจารย์ของนายที่เป็นผู้ก่อตั้งจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ไท่อินจื่อกลับนิ่งอึ้ง แล้วก็ขมวดคิ้ว ไท่อินจื่อทำพฤติกรรมที่น่าขัน แต่ว่าก็เพื่อให้เจ้าของร้านสบายใจไม่ตื่นตระหนก นี่เพราะช่วงเวลาตั้งแต่เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคม เขาก็ถูกสาวใช้สั่งสอนไปหลายรอบแล้ว ถึงได้หัวอ่อนลงไปไม่น้อย
เขาครุ่นคิดรอบคอบแล้วจึงพูดขึ้น “นายท่านคิดว่า ขนาดนางแพศยาอวี๋ซานเหนียงยังฝึกคัมภีร์นั่นสำเร็จ เช่นนั้นบรรพจารย์ที่ก่อตั้งสำนักก็ไม่น่าจะล้มเหลวมิใช่หรือขอรับ?”
“หรือว่าไม่ใช่เหตุผลเช่นนี้?”
ไท่อินจื่อถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ตอนนั้นข้าน้อยก็เคยคิดเช่นนี้ แต่อันที่จริงบรรพจารย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว คัมภีร์โบราณของสำนักเคยมีบันทึกไว้ บรรพจารย์สิ้นลมในท่านั่งสมาธิโดยศิษย์รุ่นที่สองเป็นพยานเห็นเองกับตา รูปสลักหินที่เซ่นไหว้อยู่ในอารามเต๋านั้น อันที่จริงก็เป็นรูปสลักที่คนรุ่นหลังสร้างขึ้นเองกับมือจากลักษณะตอนที่บรรพจารย์สิ้นลมไปในท่านั่งสมาธิ อืม…พูดแล้วก็น่าขายหน้านัก จากบรรพจารย์สำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมจนมาถึงรุ่นของข้า ก็มีเพียงนางแพศยาอวี๋ซานเหนียงที่สำเร็จถึงขั้นมีชีวิตยืนยาว ห้าร้อยปีนี้ที่ข้าน้อยถูกจองจำก็ไม่ทราบเรื่องเลย แต่ตอนนี้เจอเรื่องของหยางไท่จื่อ คิดแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”
แทนที่จะบอกว่าเป็นศิษย์ เรียกว่าเป็นศิษย์ที่เปลี่ยนร่างจากปีศาจมาเป็นมนุษย์ แล้วฝึกจนถึงแก่นแท้ของคัมภีร์สำเร็จดีกว่า
ไม่รู้ว่าไท่อินจื่อรู้สถานะที่แท้จริงของอวี๋ซานเหนียงหรือไม่
ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง เกรงว่าไท่อินจื่อจะไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาจะไม่ได้เรียกแค่นางแพศยา
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็พูดขึ้น “บรรพจารย์ของพวกนายชื่ออะไร?”
“ชื่อเดิมนั้นไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ขอรับ” ไท่อินจื่อส่ายหน้าตอบ “ในฐานะศิษย์รุ่นหลัง ข้าน้อยทราบเพียงแต่ชื่อในนามของนักพรตคือ ‘เซียนเสวียน’ ”
“อืม…” ลั่วชิวหลับตา ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ไท่อินจื่อไม่กล้ารบกวน และได้แต่รอคอยอยู่เงียบๆ
จะว่าไปแล้วการรับใช้ข้างกายนายท่านไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ฉับพลันไท่อินจื่อก็รู้สึกว่าสาวใช้ของสมาคมมากความสามารถจริงๆ
เขาเกิดกลัวว่าตนเองอาจจะทำให้เจ้าของสมาคมไม่พอใจเอาได้ แต่สาวใช้กลับดูแลรับใช้อย่างตั้งอกตั้งใจเท่านั้น…น่าจะเป็นจุดที่แตกต่างกันล่ะมั้ง
“นายไปเตรียมตัวสักหน่อย” ทันใดนั้นลั่วชิวก็ลืมตาขึ้นพูด “มีลูกค้ามาแล้ว โยวเย่ไม่อยู่ นายไปชงชามาเสิร์ฟแทนเธอแล้วกัน”
ไท่อินจื่อรีบพยักหน้า เรื่องชงชาเขาคนนี้ชำนาญนัก! เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยแท้เลยนะ!!
ผีเฒ่าห้าร้อยปีลอยเข้าไปด้วยความดีใจ
แต่ว่าพอเดินเข้าไปในสถานที่ชงชา ผู้เชี่ยวชาญการชงชาท่านนี้ก็มองค้างอย่างตกตะลึง!
เทียนไขพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย? ชาที่ชงออกมาจากกาน้ำชาแบบแก้วจะมีรสชาติที่ไหนกันล่ะ?
อย่างน้อยก็ต้องเป็นกาน้ำชาดินเผา…กาน้ำชาล่ะ? แก้วชาล่ะ?
ใบชา…นี่มันใบชาอะไรกันเนี่ย? ข้าน้อยต้องการใบชาหลงจิ่งที่เก็บก่อนหน้าฝนนะ! ชาปี้ลั่วชุนแห่งทะเลสาบต้งถิงล่ะ? ขนาดชาอู่อี๋เหยียนก็ไม่มีเลย ทนได้ไง??
นายท่านแห่งสมาคมที่สง่าผ่าเผย เพราะเหตุใดขนาดอุปกรณ์ชงชาชั้นเลิศสักชุดก็ยังไม่มี!
สมควรตาย ขนาดน้ำก็ยังไม่มี! คนที่ทำหน้าที่สาวใช้คนนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!
…
ทว่าเจ้าของร้านลั่วที่เตรียมพร้อมแล้วนั้นก็มองเห็นลูกค้าที่มาใหม่…สำหรับสมาคมแล้วเป็นลูกค้าใหม่ แต่สำหรับลั่วชิวแล้วกลับไม่ใช่คนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
คนที่อาศัยอยู่บนตึกเดียวกับเขาในตอนนี้…คุณเจสสิก้า
*ซางหวงอู่ตี้ เป็นกลุ่มผู้วิเศษที่คิดค้นสิ่งต่างๆ ตั้งรากฐานและปกครองจีนในยุคโบราณ จีนโบราณช่วงประมาณ 2852 ก่อนคริสตกาลถึง 2070 ปีก่อนคริสตกาล ตามความเชื่อ ราชาทั้งสามเป็นกึ่งเทวะซึ่งใช้อำนาจสร้างสรรค์มนุษยชาติและถ่ายทอดความรู้ความสามารถ ส่วนจักรพรรดิทั้งห้าเป็นปรัชญาเมธีซึ่งทรงคุณธรรมล้ำเลิศ