สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 113
เริ่นจื่อหลิงเริ่มต้นซักถามเรื่องราวบางอย่าง
ตอนนี้อาซูเจ้าของโรงแรมเหอผิงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี “พักมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ออกมาจากห้องเลย วันนี้พึ่งจะออกไปเป็นวันแรก”
“เขาได้บอกอะไรกับคุณหรือเปล่า?”
อาซูลังเลเล็กน้อย
เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “ฉันเป็นพี่สะใภ้เขา ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยอยากจะตามเขากลับไป”
อาซูเริ่มใช้ความคิด…พี่สะใภ้ก็คือภรรยาของพี่ชาย หรือว่าที่บ้านจะเป็นพวกแก๊งอะไรทำนองนี้ ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ดูไม่ธรรมดาเลย แมวกวักเงินของฉัน…
แต่ว่าคำพูดนี้ก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ถ้าหากเป็นจริงล่ะ…อาซูยังคงคิดว่ามีสติเอาไว้เอาตัวรอดไว้ก่อนจะดีกว่า
เริ่นจื่อหลิงเพิ่งจะพูดตบหัวเขาไป ตอนนี้กลับมาลูบหลังเขา ควักเงินสองพันมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ “นี่เป็นเงินชดใช้ให้แมวกวักของคุณ”
อาซูกำลังนับเงินอย่างดีอกดีใจพร้อมพูดขึ้น “จะว่ามีก็มีแหละ เหมือนเขากำลังรอใครส่งจดหมายมาให้เขา ความจริงวันนี้ตอนเขาเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาให้เขาที่นี่จริงๆ”
เริ่นจื่อหลิงกวักมือ อาซูพูดอย่างลังเลๆ “แบบนั้น…ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง”
เริ่นจื่อหลิงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา บันทึกการส่งข้อความ ชื่อคน
หม่าโฮ่วเต๋อ
เธอแสยะยิ้มพร้อมกับพูดว่า “คุณมาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้ว คงจะรู้ว่าชื่อนี้แสดงถึงอะไรล่ะสิ? คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่าฉันโทรศัพท์กริ๊งเดียว โรงแรมนี้ของคุณก็คงทำธุรกิจต่อไม่ได้แล้วแหละ?”
อาซูเหงื่อแตกพลั่กทันที…คนที่ตระเวนร่อนเร่ไปทั่ว คนที่เดินขวักไขว่ในเมืองมีใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้บ้าง? อาซูรู้สึกอยากจะบ้าตายมากๆ ถ้าพูดมาตรงๆ ตั้งแต่แรกว่ามีขาใหญ่ประจำโรงพักหนุนหลัง ก็ไม่เห็นต้องทำลายแมวกวักเลยนี่
“เอ้านี่…” อาซูพูดอย่างวิตกกังวล “แต่ว่าคุณจะบอกลูกค้าคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด เรื่องส่วนตัวผม…คุณคงเข้าใจ”
เริ่นจื่อหลิงรับจดหมายมา และไม่ได้เปิดออกทันที แต่กลับถามว่า “คุณบอกว่าเขาออกไปก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”
อาซูส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “ไม่ได้บอกไว้ครับ แต่ว่าออกไปกับสาวต่างชาติคนหนึ่ง จิ๊ๆ ผมมองสีหน้าของสาวชาวต่างชาติคนนั้น พวกเขาทั้งสองจะต้องเป็นอะไรกันแน่ๆ! ตอนนี้คาดว่าคงจะไปพลอดรักกันอย่างอิสระที่ไหนสักที่แล้วละมั้ง
“สาวชาวต่างชาติเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงอึ้งไปเล็กน้อย “หน้าตาเป็นยังไง?”
“เอ่อ…อายุประมาณสามสิบ? สูงมาก ผมทอง หน้าอกก็ใหญ่มากเช่นกัน เฮ้อ ยังไงสาวชาวต่างชาติก็ไม่ต่างกันหรอก ผมจะแยกออกได้ยังไง?”
อายุประมาณสามสิบปี…ผมทอง หน้าอกใหญ่? เหมือนว่าช่วงนี้ก็เคยเจออยู่คนหนึ่ง? คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?
เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ? พี่สาว! จดหมาย…จดหมายของผมล่ะ!”
คิดไม่ถึงว่าเหลาสู่เฉียงจะเดินเข้ามา แล้วยื่นนิ้วมือออกไปส่ายตรงหน้าอาซู จากนั้นก็เริ่มบีบกำปั้นเบาๆ
“ผม ผมไม่มีแมวกวักตัวที่สองนะ!”
มองดูเหลาสู่เฉียงเดินตัวลอยละลิ่วจากไป อาซูก็เช็ดเหงื่อแล้วนั่งลงมา ถึงจะบอกว่าที่นี่เปิดมายี่สิบกว่าปีแล้ว เจอเรื่องทำนองนี้ก็บ่อย แต่ก็ยังคงกลัดกลุ้มอยู่ เขาก้มหน้าลงลูบหน้าลูบตา ตอนนี้เองก็เหมือนประตูจะถูกผลักออกอีกครั้ง
“พวกคุณคิดจะเอาอะไรอีก” อาซูลนลานเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็อึ้งไปพักหนึ่ง
ที่เข้ามาไม่ใช่ชายหญิงเมื่อสักครู่ แต่ทว่าเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เธอสวมชุดเดรสสีดำ หน้าตางดงาม เป็นความสวยที่เหมือนอาบยาพิษ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาสองใบ “ขอโทษนะคะ ที่นี่ยังมีห้องว่างไหม?”
“มี มีครับ” อาซูเผลอพูดออกมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ลุ่มหลง
“ช่วยเตรียมห้องให้ฉันห้องหนึ่งได้ไหมคะ?” หญิงสาวในชุดสีดำพูดขึ้นเบาๆ
“ได้ ได้ครับ” อาซูให้กุญแจห้องห้องหนึ่งไปอย่างล่องลอย
“แล้วก็ช่วยเตรียมของกินบางอย่างให้ฉันได้ไหม? เอาตามที่เขียนไว้ตรงนี้ เอาของดีมาหลายๆ อย่าง ฉันจะจ่ายเงินไว้ก่อน ถ้าไม่พอเดี๋ยวฉันจะมาจ่ายเพิ่มให้”
อาซูก็ไม่ได้ดูแบงก์ที่ผู้หญิงชุดดำคนนี้วางเอาไว้ให้บนเคาน์เตอร์ เอาแต่จ้องผู้หญิงคนนี้เดินไปที่บันได ตอนที่พึ่งคิดว่าควรจะช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไป กลับเห็นอีกฝ่ายยกกระเป๋าลากใหญ่ข้างละใบขึ้นบันไดไปสบายๆ
อาซูมองดูเมนูที่อยู่ในมือตามสัญชาตญาณ “แม่งเอ๊ย กินเก่งขนาดนี้เชียว? นี่มันขนาดคนสิบกว่าคนกินได้ล่ะมั้ง? มิน่าล่ะแรงถึงได้เยอะขนาดนี้? …ไม่สิ ร่างกายบอบบางขนาดนี้จะยัดเข้าไปเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง?”
…
…
หลังจากเยี่ยเหยียนฟื้นขึ้นมา ก็มองเจสสิก้าอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว และสถานที่ก็ไม่ใช่ห้องเดี่ยวนั้นอีกแล้ว แต่เปลี่ยนไปเป็นอีกสถานที่หนึ่ง
เยี่ยเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง พร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันไม่น่าเชื่อเธอเลยจริงๆ …เธอคิดว่าจะพาฉันกลับไปแบบนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วเธอก็เป็นคนของพวกมัน?”
เจสสิก้านิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา
แต่ในตอนนี้ กลับมีเสียงอีกหนึ่งเสียงดังมาจากข้างหลังของเยี่ยเหยียน “ให้ฉันเป็นคนบอกคำตอบแกแล้วกัน!”
เยี่ยเหยียนไปกล้าหันไปมองเลยทีเดียว ลำพังแค่เสียงพูดนี้ เขาก็ตัดสินได้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเป็นใครกันแน่
คิงคอง!
คิงคองเดินมามายืนอยู่ข้างๆ เยี่ยเหยียน ใช้มือหนึ่งจับไหล่เยี่ยเหยียน แล้วออกแรงบีบเล็กน้อย “โอ้ ไม่เจอกันมาพักหนึ่งเลย หน้าตาดูสดใสดีนี่ ร่างกายเป็นยังไงบ้างล่ะ? หลายวันมานี้ฉันคันไม้คันมือจริงๆ”
เยี่ยเหยียนแสยะยิ้ม “ใช่แล้ว ฉันก็นึกว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหายดีได้ นึกไม่ถึงว่าจะแค่ไม่กี่วัน หมัดของแกเบาเกินไปจริงๆ”
“จิ๊ๆ ลองดูอีกไหมล่ะ?” คิงคองหัวเราะเย็นชา
คิดไม่ถึงว่าเจสสิก้าที่เงียบไม่พูดไม่จาจะพุ่งเข้าไปจับข้อมือของคิงคองทันที พูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ฉันเป็นคนจับได้ ไม่ต้องให้แกมาจัดการหรอก”
คิงคองเลิกคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ทำไม? เห็นคนรักเก่าเลยอดไม่ได้ใช่ไหมเล่า?”
เจสสิก้าพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “วิธีที่เหมือนกับเด็กปัญญาอ่อนแบบแก จะทำให้เขายอมปริปากบอกเรื่องที่รู้กับที่ซ่อนหลักฐานเหรอ? แม้ว่าแกจะซ้อมผู้ชายคนนี้จนตาย แกก็ไม่ได้คำตอบหรอก”
คิงคองขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “เธอมีวิธีเหรอ?”
เจสสิก้าตอบ “อย่าลืมว่าฉันทำอะไรมาบ้าง เรื่องสอบสวนฉันรู้ดีกว่าแก”
เธอเดินไปอีกฝั่ง บนโต๊ะมีกล่องใบหนึ่งวางไว้อยู่ หลังจากเปิดออก สิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในมีเข็มฉีดยาหลายเข็ม ยาน้ำและยาเม็ดหลายขนาน
คิงคองยักไหล่ พร้อมกับเดินถอยหลังมาอีกฝั่ง ยกมือขึ้นพร้อมท่าทางเตรียมดูเรื่องสนุก
เจสสิก้ากลับพูดว่า “แกออกไปเถอะ ตรงนี้ไม่ต้องการแก!”
“ถ้าเธอแอบปล่อยเขาหนีไปล่ะ จะทำยังไง? นี่เป็นคนรักเก่าของเธอเลยนะ ฉันจะต้องจ้องเอาไว้ให้ดีหน่อย”
เจสสิก้าพูดอย่างเย็นชา “จะให้ฉันรายงานหัวหน้าก่อน แล้วแกค่อยออกไปเหรอ? อย่าลืมล่ะ ฉันมาแล้ว แกเป็นคนที่ฉันรับผิดชอบ”
“โอเค เธอว่ายังไงก็เอาตามนั้น” คิงคองยักไหล่ “ถ้าเกิดเรื่อง ฉันก็ไม่รับผิดชอบ…ชิ พวกเธอเสียงเบาๆ หน่อยแล้วกัน!”
…
“ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนของพวกมัน” เยี่ยเหยียนมองเจสสิก้าอย่างไม่อยากเชื่อ มองดูเธอที่กำลังแบ่งยาน้ำบางอย่าง นอกจากนั้นยังมียาเม็ดอยู่ข้างๆ อีกด้วย
ของสิ่งนี้เขาเคยเห็นที่สำนักงานใหญ่มาก่อน…เป็นของที่มักจะใช้สอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ยาพูดความจริง’
เจสสิก้าดีดเข็มฉีดยา ไม่ได้มองเยี่ยเหยียน “แต่นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“…ตอนที่อยู่ที่เมืองลียง คนที่บอกร่องรอยของฉันก็คือเธอเหรอ?”
“จำเป็นต้องถามให้มากความด้วยหรือไง?” เจสสิก้าหันหน้ามา แล้วเดินมาหาเยี่ยเหยียนทีละก้าวทีละก้าว
เยี่ยเหยียนคิดจะขัดขืน แต่ว่าร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง เขาก็เหมือนกับราชสีห์ตัวหนึ่งที่ถูกโซ่ตรวนขนาดใหญ่จองจำเอาไว้ จึงได้แต่หรี่ตาทั้งสองข้างของตัวเองลง
เจสสิก้าเดินเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงบนขาของเยี่ยเหยียน ทั้งสองคนมองตากันแบบนี้ แล้วเธอก็พูดขึ้นทันทีว่า “เยี่ยเหยียน มาเข้าร่วมกับพวกเราไม่ดีกว่าเหรอ?”
“นี่เป็นเรื่องตลกที่ไม่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิตนี้” เยี่ยเหยียนแสยะยิ้ม “เข้าร่วมกับพวกเธอ? เข้าร่วมสมาคมไมเคิล? เธอนึกว่าฉันไม่รู้สิ่งที่สถานที่บ้านี่ทำ?”
เจสสิก้าพูดเสียงเฉยเมย “ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ก็เพื่อให้โลกใบนี้สวยงามกว่าเดิม”
เยี่ยเหยียนหัวเราะได้ใจ “นี่เป็นเรื่องตลกที่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิตนี้! เพื่อให้โลกใบนี้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิมงั้นเหรอ? พวกเธอก็เลยไปขายยาเสพติด! ไปซื้ออวัยวะคนมาขายต่อ ไปค้าอาวุธเถื่อน แม้กระทั่งไปก่อความไม่สงบที่ตะวันออกกลาง ที่แอฟริกา? เธอบอกฉันว่าพวกเธอทำเพื่อให้โลกนี้สวยงามกว่าเดิม? ฮ่าๆๆๆ!!!”
“นายคิดว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้จะหมดไปได้เหรอ?” เจสสิก้าพูดเฉยเมย
เยี่ยเหยียนสบถออกมาหนึ่งคำ “นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระเหรอ?”
เจสสิก้าตอบ “ขอแค่มนุษย์ยังดำรงอยู่ ความชั่วร้ายในสัญชาตญาณของมนุษย์ก็จะไม่หายไป ในเมื่อไม่มีหนทางกำจัดได้โดยสิ้นเชิง อย่างนั้นก็ใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพมาจัดการ เมื่อตอนที่โลกใบนี้มีแหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายเพียงแห่งเดียว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยรูปแบบใหม่ก็จะมาเยือน”
…
‘ตอนที่โลกใบนี้มีที่แหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายเพียงแห่งเดียว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยรูปแบบใหม่ก็จะมาเยือน’
เมื่อบุคคลที่สามและบุคคลที่สี่ในห้องได้ยินคำพูดนี้ ปฏิกิริยาของบุคคลที่สามและบุคคลที่สี่นั้นไม่เหมือนกัน
บุคคลที่สี่เผยรอยยิ้มคล้ายสนอกสนใจ
ส่วนบุคคลที่สามนั้น…ลั่วชิวกลับกำลังไตร่ตรองคำพูดนี้อย่างค่อนข้างจริงจัง
เขาเริ่มนึกถึงคำพูดนั้นที่เยี่ยเหยียนเคยพูดกับหม่าโฮ่วเต๋อ
พวกมันคือคำเรียกรวมของคนหลายคนหรือว่าสิบกว่าคน กลัวว่าพวกมันจะเป็นผู้มีฐานะทางสังคมระดับสูงในสายอาชีพต่างๆ นายทุน ข้าราชการ แม้กระทั่งผู้ค้ายารายใหญ่ ทหารและอื่นๆ …
ดังนั้นความคิดของพวกมันก็คือกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งความชั่วในโลกนี้ ทำให้โลกใบนี้เข้าสู่ความเป็นระเบียบในรูปแบบใหม่?
ยังไม่ต้องพูดว่าความคิดแบบนี้ถูกหรือผิด ต่อให้สุดท้ายเรื่องนี้สำเร็จจริง แต่ลั่วชิวฟังแล้วคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล
พวกผู้นำของสมาคมไมเคิลกลุ่มนี้ ในหัวสมองจะมีผีชั่วร้ายขนาดไหนกำลังล้างสมองอยู่?
“ยังไงตัวตลกที่ชั่วร้ายก็เป็นได้เพียงตัวตลกที่ชั่วร้าย สิ่งที่คิดได้ก็แค่นี้เอง”
นี่เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ครั้งที่สองของโยวเย่ที่มีต่อสมาคมไมเคิลนี้
ลั่วชิวไม่ได้ตัดสินใจยอมรับคำพูดของสาวใช้ เพียงแค่กำลังมองดูเจสสิก้าและเยี่ยเหยียนอยู่เงียบๆ ค่อยๆ มองดูเจสสิก้าเอาเข็มฉีดยานั้นจิ้มเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเหยียนทีละน้อย
ข้างในเกรงว่าจะไม่ใช่ ‘ยาพูดความจริง’ อะไร แต่เป็นยาบำรุงร่างกายที่โยวเย่เปลี่ยนเอาไว้นานแล้ว