สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 121
“ใช่ ยังไม่เจอเขาเลย แต่ว่าคุณวางใจได้ ทางฝั่งผมจัดคนไว้แล้ว พอเขาปรากฏตัวออกมาก็จะล็อกตัวเขาเอาไว้ให้เรียบร้อย วางใจเถอะๆ! จริงๆ! ผมจะกล้าที่ไหนล่ะ? ผมเคยหลอกคุณเมื่อไหร่…เอาล่ะๆ ผมจะต้องไปประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ!”
เซอร์หม่าเช็ดเหงื่อ ปิดโทรศัพท์แล้วหันมาหาเยี่ยเหยียน ก่อนถุยน้ำรสกร่อยออกมา “พูดตามจริงนะฉันยอมถูกพวกหัวล้านที่โรงพักผลัดกันปาระเบิดใส่ยังดีกว่าต้องเจอกับคำถามของยัยนี่ซึ่งๆ หน้า…ชาติที่แล้วยัยนี่เป็นหนูหรือไง ถึงได้ขุดเอาปัญหาออกมาได้!”
เยี่ยเหยียนตบบ่าของหม่าโฮ่วเต๋อที่สีหน้าลำบากใจอยู่เสมอ
ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อตบฝ่ามือของเยี่ยเหยียน “น้องชาย ครั้งที่แล้วนายบอกว่าไม่อยากทำให้ฉันเดือดร้อน ก็เลยตีฉันสลบไป แต่ครั้งนี้นายคงทำไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันเหยียบเท้าเข้ามาพัวพันเต็มๆ แล้ว”
“เราอาจต้องใช้กำลังตำรวจฝั่งนี้” เยี่ยเหยียนพูดอย่างจนใจ “ไม่ว่าจะเป็นคิงคองหรือว่า…พวกมันรู้จักฉันทั้งนั้น การติดต่อคืนนี้ฉันเปิดเผยตัวเองไปตรงๆ ไม่ได้”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วบอก “วางใจได้ ฉันจัดเตรียมคนไว้พร้อมแล้ว…ถ้าไม่ใช่เพราะเจอเจ้าคิงคองในเคสหนึ่งก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ ครั้งนี้ฉันก็จะออกโรงเองให้ได้! จิ๊ๆ ไม่ได้เจอคดีแบบนี้มาตั้งนานแล้ว บ้าเอ๊ย ฉันแทบจะอดใจไว้ไม่อยู่แล้ว!”
“ยังไงเราก็มาจบเรื่องทั้งหมดในคืนนี้กันเถอะ”
เยี่ยเหยียนหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
เขาหลับตาของตัวเองลง เริ่มรวบรวมพลังตั้งแต่ตอนนี้
…
…
หนึ่งปีก่อน
ประเทศเยอรมัน ลักเซมเบิร์ก
“ฉันแต่งตัวแบบนี้แปลกเกินไปหรือเปล่า?”
เจสสิก้าจัดแจงเดรสยาวบนร่างกายตัวเองอย่างขัดเขิน เทียบกับความไม่เป็นธรรมชาติของเธอ เยี่ยเหยียนในชุดทางการกลับดูค่อนข้างสง่างามลุ่มลึก สายตาของเยี่ยเหยียนที่ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางงานเลี้ยงนี้เพียงแค่มองกวาดไปมา เจสสิก้าก็ขมวดคิ้ว “ฉันเสียใจมากเลยที่เชื่อคำแนะนำของนาย ความจริงแล้วการแฝงตัวเข้ามาที่นี่ไม่เห็นจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นแขกเลย พนักงานเสิร์ฟก็ได้เหมือนกัน”
เยี่ยเหยียนถือโอกาสหยิบแชมเปญสองแก้วจากถาดบนมือของพนักงานเสิร์ฟที่ผ่านไปมา ก่อนส่งแก้วหนึ่งไปให้เจสสิก้า “ความคล่องตัวของพนักงานเสิร์ฟมีไม่พอ หรือเธอคิดว่าตัวเองถูกผู้หญิงที่นี่กลบรัศมีล่ะ อิจฉาหรือยังไง?”
เจสสิก้าแสยะยิ้ม “ฉันแค่คิดว่าถ้าเผื่อเกิดเรื่องอะไร รองเท้าส้นสูงจะเป็นอุปสรรคทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากก็แค่นั้น”
เยี่ยเหยียนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ความจริงก็ดูดีมากอยู่นะ ไม่ต้องห่วง เธอควรจะเชื่อมั่นในความสวยของตัวเอง”
เจสสิก้าตอบรับอย่างเรียบเฉยมาก “ขอบคุณ…เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว”
เยี่ยเหยียนเข้าไปขวางหน้าเจสสิก้าทันที บังสายตาของเธอเอาไว้ “การระแวดระวังของเจ้านี่สูงมาก อย่าเพิ่งมองเขา รออีกหน่อยค่อยเข้าไปใกล้ๆ”
เจสสิก้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งเข้าโรงเรียนไปได้! ฉันรู้หรอกว่าควรทำยังไง อีกอย่างนายต่างหากถึงจะเป็นเด็กใหม่ที่ต้องให้ฉันดูแล”
ในโถงเริ่มบรรเลงเพลงวอลซ์
เยี่ยเหยียนจับมือของเจสสิก้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็วางไว้บนบ่าของตัวเอง
“นายคิดจะทำอะไร?”
“แน่นอนว่าเข้าใกล้เป้าหมายไง” เยี่ยเหยียนพูดเสียงเบาๆ “วางใจได้ ฉันไม่เหยียบเท้าเธอหรอก น่าจะพูดว่าฉันกลัวถูกเธอเหยียบเท้ามากกว่านะ”
เจสสิก้าเขม็งมองเยี่ยเหยียนแวบหนึ่ง แต่พูดอะไรไปก็คงไม่ดี ยิ่งไม่ควรทำตัวเป็นศัตรูกันในสถานการณ์นี้ เธอบอกกับตัวเอง เพียงเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายเท่านั้น
เธอและเยี่ยเหยียนหมุนวนไปรอบๆ แขกที่ได้รับเชิญมาเต้นรำมากมาย ค่อยๆ เข้าใกล้บุคคลเป้าหมายทีละน้อยทีละน้อย
แสงไฟที่เลือนรางเคล้าคลอกับเพลงวอลซ์ที่เสนาะหูรวมทั้งการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ของสเต็ปเต้นรำ เจสสิก้าที่จำไม่ได้ว่าตัวเองเต้นรำครั้งสุดท้ายตอนไหนก็คล้ายใจลอยไปทันที
“เต้นพอได้นี่” เจสสิก้าพูดพร้อมกับมองตาของเยี่ยเหยียน
แม้ว่าสายตาของเยี่ยเหยียนจะอยู่บนตัวเจสสิก้าตลอด แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเคลื่อนไหวไปรอบด้านตลอด สนใจทุกคนที่ผ่านตัวไปตลอดเวลา อีกทั้งยังเต้นนำเธอได้อย่างถูกต้องตามสเตป เข้าใกล้บุคคลเป้าหมายด้วยวิธีการที่ดูราวกับว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้
“เมื่อก่อนเคยมีคู่เต้นรำ” เยี่ยเหยียนเหมือนพูดออกมาตามอารมณ์
เธอรู้ว่าเขาเคยผ่านเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจบางอย่างมา ตอนนี้จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
เธอเริ่มสังเกตผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าตรงนี้อย่างจริงจัง มีความเป็นผู้ใหญ่ สงบเยือกเย็น อีกทั้งยังมีความเศร้าที่ไม่อาจลบล้างออกไปได้อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะร่วมงานกันมาสองปี เธอก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้าใจความในใจของเขาได้จริงๆ
เจสสิก้าคิดว่าดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยเหยียนเหมือนกำลังบอกเล่าเรื่องราวอยู่ ลูกตาที่แบ่งแยกสีขาวดำได้ชัดเจนแตกต่างกับคนตะวันตกของเขา ยามนี้มันดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลอันร้ายกาจจนพรากชีวิตเธอไปได้เลย
ร่างกายกำลังพลิ้วหมุนไปมาในท่วงทำนองของการเต้นรำ เธอไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาคู่นี้ได้เลย…เธอถึงขนาดมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากดวงตาของอีกฝ่าย
ใบหน้าของเยี่ยเหยียน ตอนนี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ เจสสิก้าก็เขย่งปลายเท้าของตัวเองไปตามสัญชาตญาณ
ก็เหมือนกับปลาจูบ* ที่เจอกันกลางทะเล พวกมันมักจะรวมตัวกันเสมอ…ระหว่างเวลาปฏิบัติภารกิจนี้ ความหวั่นไหวจากภายในจิตใจ ทำให้เจสสิก้าเกือบจะลืมทุกอย่างไปในชั่วพริบตา
ในวินาทีที่จะประกบชิดกันนั่นเอง เยี่ยเหยียนกลับหยุดชะงัก และยังมีเสียงขอโทษของเขาตามมา ที่แท้ที่ทั้งสองคนหยุดลงนั้น ด้วยชนเข้ากับตัวของแขกอีกคู่หนึ่งที่ย่ำเท้ามาตามสเต็ปพอดี
“โอ๊ะ ขอโทษครับคุณผู้ชาย ผมอยากจะจูบคู่เต้นรำสาวของผมจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงได้เผลอหยุดไป หวังว่าคุณจะไม่ถือโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” คุณผู้ชายยกยิ้ม อีกทั้งยังพูดชื่นชมว่า “คู่เต้นรำสวยขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผมก็คงจะเหมือนกัน”
เหมือนจะเป็นเพลงขั้นกลางสั้นๆ ผู้ชายคนนั้นก็พาคู่เต้นรำของตัวเองห่างออกไปไกลเรื่อยๆ อย่างช้าๆ
เจสสิก้าสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ข่มความหวั่นไหวที่แปลกประหลาดนั้นลงไป ได้ยินเพียงแค่เยี่ยเหยียนก้มหัวลงมาพูดเบาๆ ว่า “ติดเครื่องติดตามเรียบร้อยแล้ว”
“อ้อ…งั้นเหรอ” เจสสิก้าก้มหัว “งั้นออกไปก่อนเถอะ”
…
ฉับพลันเจสสิก้าก็รู้สึกหัวหนักอึ้ง จึงลืมตาทั้งสองตื่นจากการงีบสั้นๆ
เธอลูบคลำริมฝีปากของตัวเองอย่างเผลอไผล นั่นคือความฝัน หรือก็คือความทรงจำในอดีต
ข้างโซฟามีไวน์แดงแก้วหนึ่งที่ดื่มไปนิดหน่อยแล้ว เจสสิก้ากำลังมองของเหลวสีแดงอ่อนๆ ในแก้วไวน์นั้น ก่อนยื่นมือออกไปดึงสร้อยที่คอออกมา แล้วคล้องไว้ระหว่างนิ้ว ขยับแกว่งไปมาเบาๆ
แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา นั่นคือเบอร์ของคิงคอง
“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอมาได้แล้ว คุณซุนบอกให้เธอรับผิดชอบการค้ารอบนี้”
“รู้แล้ว พอถึงเวลาฉันจะไปปรากฏตัวตามที่นัดหมาย”
พอเจสสิก้าวางโทรศัพท์แล้ว เธอก็มองเวลาเล็กน้อย บ่ายสี่โมงยี่สิบเอ็ดนาที
เธอสูดลมหายใจเข้า แต่กลับกำจัดความไม่สบายใจและความหวาดกลัวออกไปไม่ได้ เธอไม่แน่ใจว่าพ้นคืนวันนี้ไปแล้ว ต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพร้อมกับความหนักใจ ตอนนี้เธอไม่ได้กลับไปในห้องที่เธอเช่าไว้แล้ว เพราะครั้งที่แล้วคำถามของเริ่นจื่อหลิงทำให้เธอระแวดระวังตัวอย่างประหลาด ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกเช่าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในละแวกนี้
ข้างในลิฟต์ที่เปิดออกมาว่างเปล่า โหวงเหวง ไร้วี่แววของคน
เจสสิก้าเดินเข้าไป วินาทีที่กำลังมองประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง เธอก็เผลอกอดแขนทั้งสองของตัวเองไว้ แล้วถอยหลังกลับไปอีกหนึ่งก้าว
ราวกับว่าตัวเองพึ่งเข้ามาในกรงขัง มองเห็นรอบข้างได้ไม่ชัดเจน มองไม่เห็นทางข้างหน้า…ไม่มีทางข้างหน้า ความรู้สึกแบบนี้มาจากความคิดของเธอ มาจากจิตใจของเธอ
ติ๊ง!
ถึงชั้นหนึ่งแล้ว
วินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เจสสิก้าก็มองเห็นประตูไม้สนเก่าแก่บานหนึ่ง เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผลักประตูตามจิตใต้สำนึก แล้วเดินเข้าไป
ยังคงเป็นสถานที่แปลกประหลาดแห่งนั้น ทุกที่มีเพียงแสงสลัวเช่นเดิม แล้วยังมีของประดับตกแต่งแปลกๆ มากมายหลากหลายที่วางประดับอยู่รอบๆ อีก ทุกสิ่งทุกอย่างดูแล้ว ล้วนแต่ทำให้เธอหวาดกลัวลึกๆ
“คุณลูกค้า คุณมาอีกแล้ว”
ใช่แล้ว ยังคงเป็นเจ้าของร้านคนนั้น…เหมือนกับว่าจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าเธอจะต้องมาอีกครั้ง
*ปลาจูบ หรือ ปลาหมอตาล มีพฤติกรรมที่แปลกไปกว่าปลาชนิดอื่น คือ เมื่อจะต่อสู้หรือข่มขู่กัน จะใช้ปากตอดกันคล้ายกับการจูบที่แสดงออกถึงความรักของมนุษย์จึงเป็นที่มาของชื่อ ปลาจูบ