สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 122
เจสสิก้าขอปากกาด้ามหนึ่งจากสมาคม และกระดาษเปล่าอีกสองแผ่น ซองจดหมายอีกสองซอง ก้มหน้าแล้วก็เริ่มเขียนอะไรบางอย่าง
การมาเยือนร้านครั้งที่สอง ตั้งแต่เดินเข้าประตูมาจนนั่งลง จนพูดถึงสิ่งที่ต้องการเล็กๆ นี้ออกไป ในสายตาของลั่วชิว เธอดูระมัดระวังรอบคอบกว่าครั้งที่แล้วอยู่มาก
ลูกค้าหลากหลายรูปแบบ ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมต่างกัน…นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ลั่วชิวมักจะรู้สึกรอคอยลูกค้าใหม่ที่พิเศษแตกต่างกันออกไปทุกครั้งล่ะมั้ง
แป๊บเดียวเจสสิก้าก็เขียนเสร็จ เธอใส่กระดาษขาวลงไปในซองจดหมาย ก่อนสูดลมหายใจลึกๆ เธอไม่ได้ถามว่าทำไมครั้งนี้อีกคนถึงเป็นคุณสาวใช้แสนสวย ไม่ใช่เจ้าคนไร้น้ำยาพิลึกพิลั่นคนนั้นในครั้งก่อน
เธอระงับความอยากรู้ทั้งหมดต่อสถานที่ลึกลับแห่งนี้เอาไว้ รู้แค่ว่าสถานที่แห่งนี้ซื้อได้ทุกอย่าง ตราบใดที่สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมได้ก็พอ
เจสสิก้านั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าของร้านคนนี้ ก่อนยื่นซองจดหมายในมือออกไป แล้วพูดเนิบๆ ว่า “ฉันไม่รู้ค่าธรรมเนียม แต่คิดว่าน่าจะไม่สูง…ฉันอยากให้พวกคุณเปิดจดหมายสองฉบับนี้หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้”
“เรื่องเล็กน้อยนี้ ไม่สำคัญหรอกครับ” ลั่วชิวส่ายหัว “ในเมื่อเป็นความต้องการของลูกค้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพวกเราจะไม่อ่านเนื้อหาในจดหมายนี้ พวกเรารับรองเรื่องนี้ได้ครับ”
แต่เจสสิก้ากลับพูดขึ้น “ไม่ ฉันไม่เชื่อคำสัญญาด้วยวาจาใดๆ …ในเมื่อที่นี่เก็บค่าธรรมเนียมก็ต้องทำให้เป็นจริง ถ้าอย่างนั้นสิ่งแรกที่ฉันต้องการซื้อวันนี้ ก็คือเรื่องนี้แหละ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ลั่วชิวพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ใช้เวลาตั้งแต่ตอนนี้ถึงพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เป็นค่าธรรมเนียมเป็นยังไงครับ?”
เจสสิก้านิ่งอึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอพยักหน้า แล้วสัญญาซื้อขายครั้งแรกของวันนี้ก็ปรากฏขึ้น หลังจากลงนามในสัญญาแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ต่อมาเธอก็พูดขึ้น “ก่อนหกโมงพรุ่งนี้ ถ้าฉันไม่ได้มาเอามันคืน ก็ขอให้พวกคุณเปิดซองจดหมายออก ที่เขียนในนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ฉันอยากแลกเปลี่ยนจริงๆ”
“ขออภัยครับ พวกเราไม่รับเงื่อนไขแบบนี้ครับ” หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งจึงพูดขึ้น “เพราะถ้าหากไม่สามารถตกลงพูดคุยซึ่งๆ หน้ากันได้ พวกเราก็ไม่สามารถยืนยันความต้องการของลูกค้าได้ครับ รวมทั้งลูกค้ามีค่าธรรมพอจะจ่ายหรือไม่…”
เขาชูซองจดหมายขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่เขียนในจดหมายมากเกินกว่าที่คุณจ่ายไหว ถึงแม้พวกเราจะอ่านแล้ว ก็จะไม่ดำเนินการใดๆ ครับ ดังนั้นพวกเราขอแนะนำคุณว่าอย่าใช้วิธีนี้จะดีที่สุดครับ เพราะเป็นไปได้ว่าลูกค้าอาจจะไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ”
ดูเหมือนเจสสิก้าจะคิดไว้นานแล้ว จึงพูดด้วยคำพูดที่ชวนให้ตกใจ “ฉันจะใช้ดวงวิญญาณของฉันค้ำประกัน…ให้สิทธิพิเศษในการดำเนินการแลกเปลี่ยนตามเนื้อหาในจดหมายฉบับแรก แต่ถ้าที่จ่ายไปไม่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็ดำเนินการตามเนื้อหาในจดหมายฉบับที่สอง ในเมื่อฉันจ่ายค่าธรรมเนียมทั้งหมดล่วงหน้าก่อน ถ้าเนื้อหาในจดหมายฉบับที่สองก็ยังมีราคาเกินกว่าค่าธรรมเนียมนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกคุณคิดคำนวณกันในภายหลัง ทำให้เนื้อหาสักอย่างในจดหมายฉบับที่สองเป็นจริงโดยพิจารณาตามเหตุการณ์แล้วกัน แต่ถ้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ฉันได้รับจดหมายสองฉบับนี้คืน ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องการค่าค้ำประกันของฉันคืน แต่โปรดวางใจ ฉันไม่เล่นตุกติกกับพวกคุณแน่นอน เพราะฉันใช้อายุขัยส่วนหนึ่งของฉันเป็นค่าบริการในการดำเนินการนี้”
หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปสักพักก็พูดว่า “ลูกค้ายังไม่ทราบว่าค่าธรรมเนียมเพียงพอหรือไม่ ยิ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเราจะทำให้เป็นจริงได้ถึงระดับไหน แต่ก็ยินดีใช้ดวงวิญญาณค้ำประกันแล้วเหรอครับ…นี่เป็นการวางเดิมพันที่สูงมาก โปรดคิดให้ดีนะครับ เพราะถ้าเซ็นข้อตกลงแล้ว จะไม่มีทางเลือกให้เปลี่ยนใจได้อีก”
เจสสิก้ากลับพูดอย่างจริงจัง “ไม่…ฉันเชื่อ คุณจะทำให้เนื้อหาในจดหมายฉบับที่สองสำเร็จได้แน่นอน”
ลั่วชิวขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มอยากอ่านเนื้อความในจดหมายฉบับที่สองขึ้นมาทันที แต่เนื่องมาจากอยู่ในข้อตกลง เขาจำต้องรอคอยให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นถึงจะเปิดจดหมายสองฉบับได้
เจสสิก้าจากไปแล้ว…แต่หากพรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเธอไม่ปรากฏตัว ตามเอกสารสัญญาข้อตกลงฉบับที่สองจะต้องไปเอาดวงวิญญาณออกจากร่างของเธอไปเลย
ที่ผ่านมานั้นสมาคมจะทำความปรารถนาให้เป็นจริงก่อนแล้วค่อยเก็บค่าธรรมเนียม หรือไม่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนกันตรงๆ ในระหว่างที่ทำการค้าขายนั้นทันที…การออกค่าธรรมเนียมก่อน แล้วคำนวณราคาโดยพุ่งไปยังการแลกเปลี่ยนในระดับที่สามารถเป็นจริงได้แบบนี้ ลั่วชิวก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก
แต่นี่เป็นความต้องการที่ลูกค้าเสนอ และไม่ได้ฝ่าฝืนกฎการแลกเปลี่ยนของสมาคม
“นายท่านคะ เตรียมของพร้อมแล้วค่ะ”
ตอนที่ลั่วชิวกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น โยวเย่ก็ถือถาดมาตรงหน้าเขา บนถาดมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ลั่ว ชิวยื่นมือไปเปิดผ้าออก นิ้วมือกำลังลูบของที่อยู่ข้างใน ก่อนแย้มยิ้มออกมา
…
…
รถตู้อเนกประสงค์คันหนึ่งที่อยู่ด้านนอกไม่ไกลจากศูนย์การค้า เซอร์หม่ากำลังกำชับนายตำรวจหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความระมัดระวังรอบคอบ
ตำรวจท้องที่หนุ่มชั้นผู้น้อยสีหน้าคล้ายตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเซอร์หม่ากำลังให้เขาใส่เครื่องติดตามจีพีเอสไว้ที่ตัวเขาและสวมเสื้อกันกระสุน
“ฟังให้ดีล่ะ คุณเป็นตำรวจที่ฉลาดเฉียบแหลมที่สุดในสายบังคับบัญชาของผมเลย ผมเชื่อว่าคุณจะทำได้ดีอย่างแน่นอน” หม่าโฮ่วเต๋อกำชับย้ำแล้วย้ำอีกว่า “แต่จะทำอวดเก่งไม่ได้นะ พอมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบหนีออกมาทันที คดียังมีโอกาสสืบอีกได้ คนร้ายหนีไปได้แล้วก็จับมาได้อีก แต่ชีวิตเสียไปแล้วก็คือเสียเลยนะ”
ตำรวจหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าเงียบๆ
หม่าโฮ่วเต๋อพูดต่ออีกว่า “รอให้เห็นของก่อน ผมจะรีบให้คนเข้าไปทันที จำไว้ว่าจะต้องสงบเยือกเย็น จะมีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีอย่าพูดเรื่องที่ไม่จำเป็นกับอีกฝ่าย ทุกอย่างให้ถือว่าธุรกิจครั้งนี้เป็นสำคัญ!”
“เข้าใจครับ” ตำรวจหนุ่มพยักหน้า จัดแจงชุดที่ใส่ให้เรียบร้อยดีแล้วสักหน่อย หลังจากสวมหมวกเบสบอลสีดำแล้วก็คิดจะเปิดประตูรถออก
ในตอนนั้นเองเซอร์หม่าก็ดึงเขาเอาไว้ทันที “เดี๋ยวก่อน คุณเอาไอ้นี่ไปด้วย!”
“เซอร์หม่า นี่มันไม่ใช่…ของท่าน”
สิ่งที่ส่งมาคือปืนพกกระบอกหนึ่ง
หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้านี่อยู่กับผมมานานแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ผมก็พึ่งมันนี่แหละ!”
นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า แล้วรับปืนมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเขาหันไปทำความเคารพหม่าโฮ่วเต๋อแล้ว ก็ลงจากรถไปทันที
“พี่ชาย อย่าเครียดไปเลย” เยี่ยเหยียนบอกพลางตบบ่าหม่าโฮ่วเต๋อ
“ฉันเครียดที่ไหนกันล่ะ?” หม่าโฮ่วเต๋อลูบเหงื่อที่ผุดเต็มบนหน้าผากแล้วพูดขึ้น “ฉัน ข้าเหมือนคนที่เครียดเป็นหรือไง!”
เยี่ยเหยียนจับบ่าหม่าโฮ่วเต๋อแล้วออกแรงบีบขึ้นอีก “งั้นก็ ทำงานกันเถอะ!”
“ได้เลย!” เซอร์หม่าสูดลมหายใจลึกๆ ใส่หูฟังที่ใช้ดักฟัง ขณะเดียวกันก็พูดจ่อไปที่ไมค์หูฟังว่า “ทุกหน่วยโปรดทราบ ฟังคำสั่งปฏิบัติการจากผมตลอดเวลา!”
…
สองทุ่มยี่สิบนาที
ตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยกำลังเดินอยู่ในที่จอดรถชั้นใต้ดินช้าๆ
เขากดปีกหมวกเบสบอลสีดำลง กำลังก้มหน้า มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่ระบุไว้ทีละนิดทีละนิด ตรงนั้นเขามองเห็นแค่รถโฟล์คสวาเกน ซานตาน่าสีดำคันหนึ่ง แต่ในรถไม่มีคนอยู่เลย บริเวณรอบๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย
เวลากำลังผ่านไปทีละนิดทีละนิด นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เริ่มมองหาที่รถโฟล์คสวาเกน ซานตาน่าสีดำธรรมดาคันนี้ เขาเดินรอบรถคันเล็กไปหนึ่งรอบ หลังจากนั้นก็นอนคว่ำลงในฉับพลัน แล้วเริ่มตรวจสอบใต้ท้องรถ
หลังจากนั้นไม่นาน นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยก็พบถุงใบหนึ่งที่ถูกติดไว้บนล้อหลังใต้ท้องรถ หลังจากเขาเปิดถุงออก ก็พบว่าสิ่งที่ใส่ไว้ข้างในคือโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง รวมทั้งกุญแจรถ
สองทุ่มครึ่ง
โทรศัพท์ดังขึ้น
“ผมมาถึงแล้ว คนของพวกคุณล่ะ?”
“อย่าตื่นเต้นน่า ต่อไปคุณก็แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว หวังว่าพวกคุณจะไม่โทษที่พวกฉันระวังตัวเกินไปหรอกนะ” เสียงที่ดังมาจากในโทรศัพท์นั้นเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง
“ว่ามาสิ” นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยปฏิบัติตามคำแนะนำของเซอร์หม่าอย่างเคร่งครัด พูดให้สั้นๆ ง่ายๆ
“ต่อไป คุณก็ถือสายไว้ตลอด ตอนนี้คุณขับรถออกมาก่อน ขับไปทางถนนใหญ่ลั่วซาน”