สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 2 ตอนที่ 128
สีหน้าของหม่าโฮ่วเต๋อและเยี่ยเหยียนดูเคร่งขรึมจริงจังผิดปกติ
ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนหลับตาได้ไม่เกินห้านาทีด้วยซ้ำ ถึงแม้คิงคองจะถูกจับขังคุกแล้ว แต่อวี๋หวากลับตายเนี่ยสิ
คนที่รีบห้อตะบึงมาหาหมอจีนวัยชราที่นี่โดยไม่หยุดพักมองรอบๆ ที่เกิดเหตุแวบหนึ่ง แล้วก็อดตกใจจนเหงื่อท่วมตัวไม่ได้!
สภาพการตายของอวี๋หวาน่าสยดสยองเกินไปแล้ว!
ทั้งตัวล้มคว่ำจมกองเลือดเหนียวข้นออกสีดำ กล้ามเนื้อบนตัวส่วนใหญ่ปริแตกออก ดูแล้วไม่มีส่วนไหนยังคงสภาพเดิมเลย…นี่ก็คือสภาพการณ์ในที่เกิดเหตุ
รวมทั้งรอยแตกที่ปรากฏอยู่บนพื้น
พอพลิกตัวอวี๋หวาแล้ว เยี่ยเหยียนจึงมองดูทุกอย่างที่นี่เงียบๆ เขาขมวดคิ้ว “พวกรอยแตกพังพวกนี้ อวี๋หวาน่าจะเป็นคนทำ…”
เซอร์หม่าก็ขมวดคิ้วพูดเหมือนกัน “เป็นการลงโทษโหดร้ายแบบไหนกันแน่ ถึงทรมานคนคนหนึ่งให้อยู่ในสภาพแบบนี้ได้…”
หม่าโฮ่วเต๋อมองดูหมอจีนวัยชราที่หน้าซีดอยู่ทางด้านหลัง “หมอไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ เหรอ? เป็นถึงขนาดนี้ ไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด?”
หมอจีนสูงวัยส่ายหน้า สีหน้าหวาดผวาเป็นยิ่ง “เซอร์หม่า ผมจะหลอกคุณได้ที่ไหนล่ะ? ตั้งแต่คุณเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยจนตอนนี้ ก็มารักษาอาการเคล็ดขัดยอกกับผมที่นี่หลายสิบปี ผมเป็นใคร คุณยังไม่รู้อีกเหรอ? พอผมฟื้นมาก็เห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็เลยรีบติดต่อคุณทันทีเลยนะ!”
“นี่…” หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งกระจายเหม็นสุดทน ก็เหมือนกลิ่นในท่อน้ำที่เต็มไปด้วยซากปลาตาย ทั้งคาวทั้งเหม็น!
“หรือจะเป็นคนของสมาคม?” เขาอดมองเยี่ยเหยียนเพื่อนเก่าของตนเองไม่ได้ พร้อมเอ่ยถามความคิดแรกในใจตนเองออกไป
เยี่ยเหยียนส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูด “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ สรุปคือเบาะแสจากอวี๋หวาถูกตัดทิ้งไปแล้ว…อีกอย่าง เขาเป็นแค่คนของทางฝ่ายซื้อ ไม่น่าจะรู้เรื่องสมาคมไมเคิลมากนัก กุญแจสำคัญยังคงเป็นคิงคอง”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดว่า “ฉันจะให้คนจับตาดูเจ้าหมอนี่ไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ต่อให้คิดจะฆ่าตัวตายก็คงทำไม่ได้! ฉันก็ไม่เชื่อว่าคนบ้าอะไรของสมาคมไมเคิลนั่นจะกล้าบุกเข้ามาในสถานีตำรวจ!”
พูดไปเซอร์หม่าก็ตบบ่าเยี่ยเหยียนแล้วพูดขึ้น “น้องชาย นายวางใจเถอะ ฉันจะส่งกำลังคนมาเพิ่ม ขอเพียงผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ทางนี้ ฉันจะต้องช่วยนายหาจนเจอให้ได้…รวมทั้งสินค้าพวกนั้นด้วย!”
เยี่ยเหยียนตบฝ่ามือของหม่าโฮ่วเต๋อบนบ่าตนเอง แล้วฝืนยิ้มก่อนถอนใจยาวๆ มองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ฟ้าสว่างแล้ว”
“ฉันส่งนายกลับไปที่โรงแรมเหอผิงไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น
เยี่ยเหยียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ …ถ้ามีข่าวของคิงคองนายก็แจ้งฉันด้วย มีอะไรไว้ติดต่อกัน”
“ครั้งนี้นายจะไม่เล่นหายตัวไปกะทันหันอีกแล้วใช่ไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อพูดจริงจังเป็นที่สุด
“ไม่มีอะไรหรอก นายไปรายงานความปลอดภัยกับแม่เสือที่บ้านนายก่อนแล้วกัน” เยี่ยเหยียนยิ้มน้อยๆ เขาสะบัดเสื้อคลุมสีดำบนตัวแล้วเดินออกประตูนั่นไป
…
…
ลั่วชิวล้างหน้าก่อน แล้วถึงมองตนเองในกระจก…ก่อนหน้านี้ไม่นาน ความรู้สึกในร้านขายยาจีนได้ถูกลบออกไปจากใจเขาอย่างช้าๆ
อวี๋หวาทำลายความสงบที่อยู่ภายในจิตใจของเขามาตลอด หลังการตกลงแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็เหมือนกับน้ำมันในตะเกียงที่เผาไหม้จนเกลี้ยง
เขากลับมาถึงห้องพักของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ
ที่นี่มีจดหมายสองฉบับวางอยู่…นี่คือจดหมายที่เจสสิก้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเนื้อหาในจดหมายสองฉบับนี้เป็นโมฆะตามความต้องการของเธอ
แต่ที่บอกว่าเป็นโมฆะก็ไม่ได้บอกว่าจะเปิดดูไม่ได้นี่ อีกอย่างเจ็ดโมงเช้าหนึ่งนาทีก็เลยเวลาที่นัดหมายไว้แล้วด้วย
ลั่วชิวฉีกจดหมายฉบับแรกออก
“ในมหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง ที่นั่นคือ ‘สวรรค์’ ของสมาคมไมเคิล ที่นั่นมีคนอยู่ไม่น้อย เด็ก ผู้ใหญ่…สาวก ดังนั้นได้โปรดปล่อยคนพวกนั้นที่อยู่บนเกาะนี้ออกมา ถ้าหากดวงวิญญาณของฉันไม่เพียงพอ อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตแม่ฉันออกมา และให้เธอหลุดพ้นจากความเชื่อของสมาคมไมเคิล ให้เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วก็ แล้วก็ลืมว่าฉันมีตัวตนอยู่”
เนื้อหาไม่เยอะ
แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เจสสิก้าอยากได้จากสมาคมภายหลังจากตนเองทำแผนล้มเหลว
ลั่วชิวถือจดหมายฉบับนี้เหนือถังขยะที่อยู่ข้างๆ พอเจสสิก้าได้รู้ว่าแม่ของเธอเป็นเพียงละครตบตา จดหมายฉบับนี้ไม่มีมูลค่าให้เก็บไว้
มันเผาไหม้อยู่กลางอากาศ ก่อนขี้เถ้าจะค่อยๆ ร่วงใส่ในถังขยะใบเล็ก
ลั่วชิวหลับตาสองข้างของตัวเองลง ในมือมีจดหมายฉบับที่สองอยู่ แต่ก็ไม่ได้รีบเปิดออกในทันที
…
โซ่ตรวนแบบนี้ไม่สามารถกักขังเยี่ยเหยียนได้
วินาทีที่เปิดประตู จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องเมื่อไม่นานนี้ขึ้นมาได้ ภาพตอนเจสสิก้าส่งปืนของเธอให้เขา เขาถอนหายใจยาวๆ นิ้วมือไล้ผ่านเฟอร์นิเจอร์โดดๆ ตัวนี้ไป
เขานั่งอยู่บนโซฟา แล้วหลับตาของตัวเองลง…ราวกับว่าข้างตัวมีเจสสิก้านั่งอยู่ ราวกับว่าเธอกำลังตั้งใจฟังเสียงจากเครื่องดักฟังที่ลอบติดในห้องข้างล่างของลั่วชิว
สองมือเยี่ยเหยียนปิดที่หูของตนเอง ก่อนเอียงหัวเล็กน้อย
เขาคิดว่า เจสสิก้าก็น่าจะทำท่าทางแบบนี้
ทันใดนั้นเอง เยี่ยเหยียนก็ยกปากกาขึ้นมา แล้ววางเบาๆ ที่ข้างริมฝีปาก เขากำลังจินตนาการว่าถ้าเป็นเจสสิก้า เธอจะพูดอะไรใส่ปากกาบันทึกเสียงด้ามนี้
“ฉัน….มาถึงที่นี่แล้ว มาถึงบ้านเกิดของเยี่ยเหยียน…ใช่ไหม?”
เยี่ยเหยียนวางมือลง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่สุขและก็ไม่ทุกข์ ถึงขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…แต่น่าจะเป็นรอยยิ้ม
แววตาของเขากำลังมองภายในห้องพักแห่งนี้ตามใจตนเอง จู่ๆ กลับเห็นกระเป๋าเดินทางสีดำใบหนึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะชาข้างโซฟา
เยี่ยเหยียนหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาอย่างลืมตัว เขาลูบคลำผิวกระเป๋าใบนี้…นี่เป็นลักษณะของกระเป๋าถือที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เยี่ยเหยียนเปิดมันออก
ไมโครโฟนหนึ่งตัว จดหมายหนึ่งฉบับ แฟลชไดรฟ์หนึ่งตัว
นั่นเป็นซองจดหมายฉบับหนึ่งที่มีกระดาษสองหน้า
…
ถึง เยี่ยเหยียน:
‘ฉันรู้ นายจะมาที่นี่อีกครั้ง และคงจะมาทันที ฉันรู้ นายเองก็คงจะสับสนว่าฉันเป็นใครกันแน่’
‘ฉันเป็นคนของสมาคมไมเคิลมาตั้งแต่แรก เรียกว่าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของสมาคมเลยก็ได้’
‘ใช่แล้ว ฉันคิดมาโดยตลอดว่าสมาคมไมเคิลน่าศรัทธา เป็นสมาคมที่ฉันพร้อมอุทิศทั้งชีวิตให้ จนกระทั่ง จนกระทั่งฉันมาพบกับนาย’
‘ฉันถึงขนาดจำได้ว่า ในสนามบินเมื่อสามปีก่อน ฉันเห็นนายครั้งแรกในฝูงชน นายตอนนั้นมีหนวดขึ้นเต็มใบหน้าเหมือนคนขี้เหล้ายังไม่สร่างเมา แล้วยังความขมขื่นในดวงตาของนายอีก’
‘สามปีแล้วนะ นายจะไม่ยิ้มมีความสุขสักหน่อยเหรอ?’
‘ฉันรู้ ในใจของนายมีคนคนหนึ่งอยู่ตลอด บางทีชั่วชีวิตนี้ฉันคงไม่มีทางเป็นคนคนนั้นได้’
‘แต่เวลาสามปีมานี้ ชีวิตตลอดยี่สิบห้าปีที่ว่างเปล่าของฉันกลับมีนายเพิ่มเข้ามา’
‘ฉันกลัวจริงๆ ว่านายจะเกลียดฉัน เพราะนายไม่มีทางรู้เลยว่าช่วงเวลาที่แฝงตัวอยู่ในองค์การตำรวจอาชญากรรม ฉันทำเรื่องที่ขัดกับความคิดค่านิยมของนายไปมากเท่าไหร่แล้วกันแน่ ฉันยังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความโชคร้ายไปแล้วเท่าไหร่กันแน่ นายยิ่งไม่มีทางรู้เลยว่าก่อนหน้าที่ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันทำเรื่องโหดร้ายเพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความศรัทธาไปมากตั้งเท่าไหร่’
‘ฉันเป็นปีศาจ แล้วปีศาจตัวนี้ก็จะกลายเป็นผู้แก้แค้นคนหนึ่ง’
‘ข้อมูลในแฟลชไดรฟ์นี้มีข้อมูลที่ฉันรู้ทั้งหมด ทั้งข้อมูลสายลับที่องค์กรส่งมาที่สำนักงานใหญ่ และหลักฐานความผิดของพวกมัน รวมทั้งข้อมูลที่ทำให้นายถูกใส่ร้าย ข้อมูลพวกนี้มากพอให้นายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ และทำให้นายสามารถได้รับความดีความชอบที่ไม่ธรรมดาด้วย’
‘ยังจำได้ไหม? สามปีก่อน นายก็ยกความดีความชอบให้ฉันเหมือนกัน คำพูดที่นายเคยบอกตอนนั้น ฉันคิดว่าเหมาะจะเอามาใช้ตอนนี้เหมือนกัน เพียงแต่ครั้งนี้คนที่พูดเป็นฉัน’
‘เยี่ยเหยียน ได้โปรดอย่าตามหาฉันเลย’
‘สุดท้ายนี้ นายจะเป่าแซกโซโฟนให้ฉันสักครั้งได้ไหม?’
เยี่ยเหยียนหลับตาลง แล้วถอนหายใจอย่างช้าๆ “เจสสิก้า…”
…
ลั่วชิวเปิดจดหมายฉบับที่สองออก
“ถ้าฉันล้มเหลวแล้วตายไป หรือสมาคมไมเคิลโกรธแค้นฉันแล้วลงโทษแม่ฉันถึงตาย ได้โปรดให้เยี่ยเหยียนใช้ชีวิตในชาตินี้อย่างมีความสุข และลืมฉันซะ”
ลั่วชิวไม่ได้เผามันทิ้ง
เขาเพียงแค่พับกระดาษจดหมายอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ไปในซองจดหมายอีกครั้งอย่างช้าๆ
ตอนนี้ที่ชั้นบนมีเสียงแซกโซโฟนอันคุ้นเคยดังแว่วมา แล้วลั่วชิวก็เอาจดหมายในมือล็อกกุญแจใส่ไว้ในลิ้นชัก ก่อนหลับตาของตัวเขาลง
สองมือของเขาวางไว้ที่หน้าลำตัว นึกภาพตัวเองถือแซกโซโฟนอยู่เหมือนกัน นิ้วมือของเขาขยับขึ้นลงทีละน้อยต่อเนื่องตามจังหวะและเสียงที่ดังมา
นั่นเป็นการกดตัวโน้ตของเพลงบทนี้
ที่ชั้นบน เยี่ยเหยียนหยิบแซกโซโฟนที่เจสสิก้าทิ้งไว้ให้ แล้วยืนอยู่กลางห้องโถงในห้องพักที่เงียบสงบแห่งนี้ ลำแสงแห่งรุ่งอรุณทำให้ที่นี่ดูเนือยๆ สลัวๆ ราวกับเวทีเต้นรำ
เขาค่อยๆ เป่าเป็นจังหวะเพลง ‘Yesterday Once More’ อย่างช้าๆ
…
เธอยืนอยู่บนดาดฟ้าตึก กำลังมองพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า
เธอเอามือข้างหนึ่งกุมหูซ้ายไว้ ค่อยๆ สัมผัสถึงสายลมแผ่วเบา ฟังเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูฟังอันเล็กๆ อย่างตั้งใจ
สายลมแผ่วเบาพัดผมเธอปลิวสยายไปมา ขณะเดียวกันก็พัดความคิดของเธอให้ล่องลอยไปด้วย
ฉับพลันนั้นน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงมา
“ขอบคุณนะ…”