สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 10 ของที่ห่อเอาไว้ใต้ธงพื้นขาววงกลมสีแดง
บอกว่าจะไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย ทว่าเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อกลับไม่ได้ออกจากคลินิกเล็กๆ แห่งนี้ไปเลย แต่แอบมายังห้องที่หมอตรวจคนไข้
รองบรรณาธิการเริ่นเป็นคนประสาทสัมผัสว่องไวมาก
เธอติดใจบางเรื่องจากที่หลี่ว์อีอวิ๋นเล่า เหมือนว่าคนในหมู่บ้างหลี่ว์จะหลีกเลี่ยงเรื่องการตายของคุณย่าเธอ
ขนาดเด็กที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่เจ็ดแปดปีแล้ว แต่กลับสืบสาวเรื่องราวไม่ได้ แล้วคนนอกอย่างเธอจะสืบในระยะเวลาอันสั้นได้ง่ายดายเหรอ นอกจากนี้หมู่บ้านปิดที่เพิ่งพัฒนาไม่นานแบบนี้ เกรงว่าคงจะมีความเคยชินและประเพณีนิยมเหลือไว้ค่อนข้างมาก
ถ้าคนในหมู่บ้านช่วยกันปิดเรื่องนี้ อย่างนั้นก็หาคนที่เข้าหาได้ง่าย ความคิดค่อนข้างเปิดกว้างถามดูสักหน่อย
ด้วยแพทย์ประจำคลินิกเคยไปเรียนการแพทย์แผนตะวันตกนอกเมืองสมัยเป็นวัยรุ่น เริ่นจื่อหลิงจึงเชื่อว่าแพทย์ประจำคลินิกคนนี้เป็นคนคิดนอกกรอบ อีกทั้งยังเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าประเพณีนิยม
“แม่ของหลี่ว์ไห่ตายไปเพราะอะไร?”
ด้วยผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่านักข่าวคนนี้ถามคำถามนี้อย่างฉุกละหุก แพทย์ประจำคลินิก…หลี่ว์เฉาเซิงจึงประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
หลี่ว์เฉาเซิงขมวดคิ้วพูด “คุณผู้หญิงครับ คุณถามไปทำอะไรครับ? นั่นคือคนที่ตายไปแล้ว ถ้าคุณอยากจะเขียนบทความของเธอ ก็น่าจะไม่จำเป็นแล้ว นี่ถือว่าไม่เคารพผู้ตายนะครับ คุณไม่คิดว่ามันผิดเหรอครับ?”
เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณหมอหลี่ว์ คุณเรียนการแพทย์ตะวันตก หรือว่าเชื่อสิ่งลี้ลับแบบนี้ด้วยเหมือนกัน?”
หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้า “เรื่องให้เกียรติเป็นเพียงแค่การบ่ายเบี่ยงเท่านั้น ความหมายของผมก็คือมันเป็นเรื่องของศีลธรรม”
เริ่นจื่อหลิงกลับตอบว่า “อย่างนั้นพวกคุณปิดบังเด็กสาวคนหนึ่งด้วยวิธีร้อยแปดประการ ไม่ให้เธอรู้ความจริงของการตายของญาติสนิท ก็ถือว่ามีศีลธรรมเหรอ?”
หลี่ว์เฉาเซิงพูดสิ่งที่คิดเอาไว้แล้วว่า “เจ้าเด็กอีอวิ๋นคนนั้นให้พวกคุณมาถามล่ะสิ”
เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าตอบ “ดูแล้วคุณหมอหลี่ว์เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดีนี่คะ”
หลี่ว์เฉาเซิงถอนหายใจพลางพูดว่า “ความจริง พวกคุณไม่ใช่คนแรกที่มาหาผมหรอก เด็กคนนั้นเองก็แอบมาถามผมหลายครั้งแล้ว”
เขาส่ายหน้าพลางพูดว่า “เด็กคนนั้นเพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย…อืม ตอนนี้ก็โตแล้ว ความจริง ความจริง ก็มีสิทธิ์รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้แล้ว”
หลี่ว์เฉาเซิงสูดหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง “เอาเถอะ ผมจะบอกพวกคุณก็แล้วกัน แต่ว่าขอให้พวกคุณใจเย็นๆ หน่อย ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นผ่านไปแล้ว”
หลี่ว์เฉาเซิงเดินไปหน้าตู้ที่อยู่ข้างๆ ย่อตัวลงพร้อมกับเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด หยิบของที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมา
เขาเปิดของที่อยู่ข้างในออกช้าๆ ต่อหน้าเริ่นจื่อหลิง ถอนหายใจพลางพูดว่า “พูดไปแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนหน้านี้”
เริ่นจื่อหลิงสายตาเป็นประกายทันที เธอรู้ว่าตัวเองโจมตีครั้งแรกก็โดนเป้าแล้ว!
…
…
นี่คือซากหลังจากที่ตึกถูกเผามอดไปแล้ว
ท่อนไม้สีดำที่ถูกไฟมหาศาลเผาไหม้ ได้มอดไหม้กลายเป็นสารอาหารที่ให้พืชพันธุ์เติบโต อิฐที่ล้มลงมากระจัดกระจายกันออกไป ทำให้ที่นี่ไม่เหลือเค้าเดิมมาตั้งนานแล้ว
เพียงแต่คาดคะเนจากร่องรอยและเค้าโครงบางอย่างของพวกมัน เมื่อหลายสิบปีก่อนตึกนี้คงจะถือได้ว่าร่ำรวยมีเกียรติทีเดียว
ลั่วชิวหยิบอิฐที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำบนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง
โยวเย่ที่ข้างกายเจ้านายพลันพูดอย่างแผ่วเบา “ได้ยินมาว่าหลังจากหวงเหล่าเซียนกูคนนั้นถูกทหารพาตัวไปแล้ว ทหารรักษาการณ์พวกนั้นก็จุดไฟเผาที่นี่ราบเป็นหน้ากลอง”
“อืม…” ลั่วชิวโยนอิฐในมือทิ้งไป ปัดฝุ่นที่อยู่บนมือ แล้วจึงเดินเข้าไปในซากที่ถูกไฟเผา พร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงที่ถูกส่งไปบูชา คงจะเป็นแม่ของหลี่ว์ไห่ล่ะมั้ง”
โยวเย่พยักหน้า “ได้ยินว่าเป็นผู้หญิงที่มีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด หมู่บ้านหลี่ว์แต่ไหนแต่ไรก็ไม่แต่งงานกับคนภายนอก ฉันว่าร่างทรงชราคนนั้นคงจะมองเห็นจุดนี้ ดังนั้นถึงได้ใช้เหตุผลข้อนี้มาทำเรื่องนี้ล่ะมั้งคะ”
ลั่วชิวชะงักไป พูดอย่างประหลาดใจว่า “ถ้าหมู่บ้านหลี่ว์ไม่ต้อนรับคนข้างนอก แล้วทำไมหวงเหล่าเซียนกูคนนี้ถึง…”
โยวเย่เหมือนกับคิดไว้แต่เนิ่นแล้วว่าเจ้านายจะถามแบบนี้ เธอจึงพูดตอบเสียงเบาๆ “คืออย่างนี้นะคะ หวงเหล่าเซียนกูคนนี้เป็นคนของหมู่บ้านหลี่ว์อยู่แล้ว เดิมก็แซ่หลี่ว์ ต่อมาเธอก็เปลี่ยนเป็นแซ่หวง บอกว่ามีเทพเข้าฝันเธอ บอกว่าชาติก่อนเธอเป็นลูกของเทพเซียนจริงๆ เพราะว่าละเมิดกฎสวรรค์ถึงได้ตกลงมาบนโลกมนุษย์ ทำให้เธอมาประสบเคราะห์กรรมบนโลกมนุษย์ มีเพียงให้วิบากกรรมผ่านไปถึงกลับสวรรค์ได้ ต่อมาก็เป็นการแสดงละครปาหี่”
ลั่วชิวพยักหน้า แล้วสายตาของเขาก็หันไปมองที่ตำแหน่งหนึ่งทันที
นั่นเป็นกำแพงด้านหนึ่งที่ยังไม่ถล่มลงมาทั้งหมด
โยวเย่มองกำแพงนั้น พร้อมพูดเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยว่า “ใครแอบอยู่ตรงนั้น?”
ปลายนิ้วของคุณสาวใช้มีเปลวไฟสีดำเล็กๆ ออกมาอย่างเงียบเชียบ
แต่ทว่าหลังกำแพงนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมา “รุ่นพี่อย่ากังวลไป รุ่นน้องเอง!”
ใบหน้าหลังกำแพงโผล่ออกมา ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกร
ลั่วชิวตกตะลึง
เขาเผลอพูดว่า “อ้อ ที่โรงแรมนั้น…อืม คนที่หาป้าแก่ๆ เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะ”
พอมั่วมั่วที่หนีออกมาได้ยินเข้า ก็รู้สึกหน้าแตกยับเยินทันที เขารีบโบกมือสองข้างอย่างตกใจ “รุ่นพี่! พี่ฟังผมอธิบายก่อน! เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิด!!”
มั่วมั่วกลุ้มใจมากจริงๆ เลย!
ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แล้วส่งต่อไปถึงดินแดนฝึกตนของสวรรค์ จนกระทั่งไปถึงหูของอาจารย์ที่ฝึกตนตัดขาดจากโลกภายนอกบนภูเขา อย่างนั้นชื่อเสียงตลอดชีวิตนี้ผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกรคงได้หายไปหมดพอดี?!
พอเห็นลั่วชิวดูไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไร มั่วมั่วจึงคอตก พูดคล้ายจะร้องไห้ “จริงๆ …ไม่เหมือนกับที่พวกรุ่นพี่คิดไว้จริงๆ นะ!”
เจ้านี่…ดูบ้าๆ บอๆ แฮะ
เจ้าของร้านลั่วกำลังแอบคิดอยู่…เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าคุณจะมีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษ ผมก็ไม่สนใจอยากรู้ แล้วก็ไม่คิดจะบอกคนอื่น”
“…ไม่ใช่แบบที่พี่คิดจริงๆ นะ รุ่นพี่!”
…
ถ้าบอกว่ามั่วมั่วรู้สึกถึงความน่าเคารพยำเกรงของรุ่นพี่ อย่างนั้นผู้หญิงที่เจอหน้ากันเป็นครั้งแรกคนนี้ กลับทำให้เขารู้สึกราวกับว่าจิตอันบริสุทธิ์จะพังทลายได้ทุกเมื่อ
แต่ผู้หญิงคนนี้…เหมือนจะเชื่อฟังรุ่นพี่คนนี้เป็นหลักนะ
เหมือนกับคนรับใช้อย่างนั้น
มั่วมั่วยิ่งไม่แน่ใจเรื่องที่มาที่ไปของรุ่นพี่ท่านนี้…หรือว่าจะเป็นคนแก่ที่มีวิชาคืนวัยเยาว์อะไรแบบนั้น?
ถึงแม้จะได้ยินอาจารย์เคยพูดเอาไว้ ตอนนี้เทียบไม่ได้กับยุคโบราณ พรรคมากมายสูญสลายไปแล้วในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ สุดยอดเคล็ดวิชาจำนวนไม่น้อยก็สูญหายไปแล้ว แต่ดินแดนที่กว้างใหญ่สมบูรณ์ของสวรรค์ อาจจะมีคนที่ถ่ายทอดการบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ได้
เขายังคิดว่าอยากจะประลองฝีมือกับรุ่นพี่คนนี้ให้เต็มที่สักรอบ พิสูจน์ความสามารถของตัวเองแบบเงียบๆ แต่ตอนนี้ได้เก็บความคิดนี้ไว้ในใจก่อน “รุ่นพี่ พี่ก็มาสืบสาวราวเรื่องของคุณยายร่างทรงชราคนนี้เหมือนกันล่ะสิ”
ในเมื่อไม่อาจหาอะไรมาแก้ตัวได้ งั้นก็…เปลี่ยนเรื่องพูดไปเลยเป็นไง?
“มาดูเพราะอยากรู้น่ะ” ลั่วชิวพยักหน้า
มั่วมั่วยิ้ม แล้วถึงได้กระโดดออกมาจากหลังกำแพงนั้น “ผมก็คิดว่าใช่ พูดตรงๆ เลยนะ เมื่อกี้ผมยังคิดอยู่เลย ว่าถ้าเป็นรุ่นพี่คงหาที่แห่งนี้เจอได้อย่างรวดเร็ว”
ลั่วชิวกำลังมองดูมั่วมั่วที่มาถึงก่อนตัวเอง พลันฉุกคิดบางอย่างได้ จึงพูดว่า “คุณเจออะไรบ้างหรือเปล่า?”
ในตอนนี้มั่วมั่วหัวเราะแหะๆ พลางพูดว่า “ครับ ผมเจอบางอย่างแล้ว รุ่นพี่เชิญตามผมมา!”
มั่วมั่วนำทางทั้งสองคนมาที่ด้านหลังกำแพงนั้น เขากำลังมองดูพื้นที่ว่างที่ถูกมั่วมั่วจัดการไปก่อนหน้านี้ไม่นาน
พื้นที่ว่างที่เพิ่งจะถูกจัดการไปมีดินเป็นสีดำเกรียม แล้วมั่วมั่วก็หัวเราะเบาๆ “ได้ยินมาว่าที่นี่ในปีนั้นเคยถูกทหารทำลายไป ของทุกอย่างก็ถูกเอาไปแล้ว…แต่ว่าใต้ดินนี้เหมือนจะฝังของที่ยังไม่ถูกค้นพบเอาไว้”
ลั่วชิวไม่ได้ถามมั่วมั่วว่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง เพียงแค่ดูการกระทำต่อมาของมั่วมั่วอย่างเงียบๆ
มั่วมั่วจับข้อมือขวาด้วยมือซ้าย แล้วเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวามาชิดกันเป็นรูปร่างของดาบ จากนั้นก็แตะไปตรงหว่างคิ้วของตัวเอง
แสงสีทองแสงหนึ่งสว่างวาบและหายไปที่ปลายนิ้วของเขา จากนั้นมั่วมั่วก็ใช้นิ้วมือชี้ไปที่พื้นที่ว่างด้านหน้าอย่างรวดเร็ว “ห้าภูตเคลื่อนย้าย!”
เขาพยัคฆ์มังกรจับภูตผีปราบปีศาจ เหมือนจะมีวิธีเลี้ยงผีรับใช้ด้วย
ที่เรียกว่าห้าภูต…ลั่วชิวกลับมองไม่เห็นว่ามีภูตผีห้าตัว แต่เห็นแค่หมอกดำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากถุงผ้าตรงเอวของมั่วมั่วอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปในกลางพื้นดินโคลนนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอะไรบางอย่าง กระแทกขึ้นมาจากด้านในดินโคลนช้าๆ แล้วก็ทะลุโผล่ขึ้นมา
นั่นคือกล่องใบหนึ่ง
มั่วมั่วโบกนิ้วมือเล็กน้อยอีกครั้ง ตัวล็อกกล่องใบนั้นก็เด้งเปิดโดยอัตโนมัติ แล้วหมอกดำกลุ่มนั้นก็ไปหมุนอยู่ที่ข้างบนกล่อง จากนั้นกล่องก็เปิดออกมา
ถึงแม้ว่าจะสู้พลังจิตของลั่วชิวไม่ได้ แต่ก็ค่อนข้างสะดวกดี
หมอกดำหมุนอยู่กลางอากาศอีกหนึ่งรอบ แล้วก็ม้วนเข้าไปในถุงผ้าตรงเอวของมั่วมั่ว
มั่วมั่วเลิกคิ้วต่อหน้าของลั่วชิวอย่างพึงพอใจ ราวกับเด็กบ้าเห่อคนหนึ่งไม่มีผิด
ลั่วชิวกลับไม่สนใจความพอใจเล็กๆ น้อยๆ ของมั่วมั่ว เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากกล่องใบนี้เปิดออก สิ่งที่เห็นก็คือลวดลายบนผ้าผืนหนึ่ง…พื้นหลังสีขาว วงกลมสีแดง
นี่เกรงว่าจะเป็นธงของประเทศที่เป็นเกาะบางแห่งซึ่งเห็นได้บ่อยล่ะมั้ง?
มั่วมั่วสังเกตเห็นผ้าผืนนี้ เขาเลิกคิ้วพลางพูดว่า “นี่…ร่างทรงชราคนนี้นี่มันยังไงกันแน่ ทำไมในกล่องที่ฝังในบ้านถึงได้มีของแบบนี้?”
“ข้างล่างยังคลุมของเอาไว้อีก” ลั่วชิวพูด “ดูหน่อยสิว่าเป็นอะไร”
สาวใช้เข้าใจ จึงรีบเดินไปข้างหน้ากล่อง ก่อนยื่นมือไปเลิกผ้าผืนนี้ออก เห็นแค่ในกล่องใบนี้สร้างช่องกว่าสิบช่องผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน
ตรงกลางช่องพวกนี้ มีแค่ช่องเดียวในแถวบนสุดที่ว่างเปล่า และในช่องที่เหลืออยู่ ยังมีหลอดทดลองทางเคมี วางไว้เป็นหลอดๆ
โยวเย่หยิบหลอดทดลองหลอดหนึ่งในนั้นออกมาอย่างสนอกสนใจ สังเกตดูโดยวางเอาไว้ใต้แสงอาทิตย์
ที่ใส่ไว้ในหลอดทดลองกว่าครึ่งหลอดเป็นสารสีฟ้าเขียว เกรงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าวางทิ้งไว้นานเกิน ส่วนก้นของหลอดทดลองจึงเข้มข้นจนตกตะกอนเป็นอนุภาคเล็กจำนวนหนึ่ง