สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 11 พวกเรา
“อ๊า!”
หลีจื่อหวดกลัวจนหลุดร้องออกมา และรีบใช้มือปิดปากตนเองทันที
แต่เริ่นจื่อหลิงก็ไม่ได้ตำหนิปฏิกิริยาของเธอ เพราะหลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากปากของหลี่ว์เฉาเซิง เธอก็ควบคุมความหวาดกลัวไม่ได้ จนหลังมีเหงื่อแตกพลั่ก
คนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งร่วมมือกันพาตัวหญิงผู้บริสุทธิ์ไปที่ผาฟังเสียงคลื่น โดยไม่สนใจคำอ้อนวอนของหญิงสาว แล้วโยนลงไปข้างล่างหน้าผาทั้งเป็น
ไม่เพียงแต่เหี้ยมโหดป่าเถื่อนเท่านั้น แค่นึกถึงจิตใจโหดร้ายนี้ก็ชวนให้คนหวาดกลัวแล้ว
เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า “ความโง่เขลาเบาปัญญาเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”
เธอฝืนยิ้มพลางพูด “ฉันพอจะเข้าใจว่าทำไมคุณหมอหลี่ว์ถึงไม่ยอมบอกอีอวิ๋น เหากสาวน้อยรู้เรื่องนี้เข้า คงเป็นอะไรที่…”
หลี่ว์เฉาเซิงเองก็ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้ เป็นสิ่งต้องห้ามของหมู่บ้านแห่งนี้มาโดยตลอด ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เปลวไฟแห่งการปฏิวัติพิฆาตสี่เก่า*ข้างนอกนั่นก็ลุกลามมาถึงที่นี่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนทำเป็นไม่เคยเกิดเรื่องขึ้น…ใครจะอยากไปคิดถึงเรื่องแบบนั้นอีก? ใครยินดีจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นอีก? ตัวการที่ยุยงชาวบ้านก็ถูกจับไปแล้ว บ้านของเธอก็ถูกกองเพลิงเผาทำลายสิ้นซาก พวกเขาก็พากันคิดว่า ความชั่วร้ายของตนเองถูกเผาไปพร้อมกับกองเพลิงแล้ว”
เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจพูดว่า “มิน่าล่ะ หลี่ว์ไห่ถึงได้พาครอบครัวของเขาย้ายมาที่ลับตาคนแบบนั้น…เกรงว่าคนทั้งหมู่บ้านจะเป็นศัตรูทั้งหมด”
พอนึกถึงท่าทีเกรี้ยวโกรธของหลี่ว์ไห่บนผาฟังเสียงคลื่น เริ่นจื่อหลิงนึกถึงความหวาดกลัวของเด็กตัวเล็กๆ เมื่อสี่สิบห้าสิบปีก่อนที่ต้องพบเจอเรื่องน่าหวาดกลัวแบบนี้
ในห้องตรวจรักษาของหลี่ว์เฉาเซิงก็เงียบกริบในทันที
หลีจื่อยกของที่หลี่ว์เฉาเซิงเอามาให้ดูขึ้น สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากคนในหมู่บ้านหลี่ว์ติดโรคแปลกประหลาด
ไม่ใช่ภาพถ่าย แต่เป็นสิ่งที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดจากความทรงจำของตนเองในเวลาต่อมา หลีจื่อมองดูสิ่งที่ขึ้นบนมือและเท้าของผู้ป่วยพวกนี้ แล้วอดพูดอย่างตกใจกลัวไม่ได้ “นี่…สิ่งนี้เป็นคำสาปของภูตผีจริงๆ เหรอคะ?”
หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้าตอบ “ตอนนั้นฉันตัดสินใจเรียนการแพทย์ สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือเพื่อค้นคว้าว่าโรคแบบนี้คืออะไรกันแน่ เพราะฉันก็ไม่เชื่อสิ่งที่เรียกว่าคำสาปเหมือนกัน”
“งั้นคุณหาสาเหตุเจอไหม?” เริ่นจื่อหลิงถามด้วยความอยากรู้
สีหน้าหลี่ว์เฉาเซิงดูไม่แน่ใจนัก กาอนตอบว่า “หลายปีมานี้ ผมยังไม่เคยพบสาเหตุของโรคแบบนี้เลย เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้ อินเทอร์เน็ตพัฒนาไปไกลแล้ว ข่าวคราวมากมายแพร่หลายอยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็ได้เห็นรายงานตัวอย่างของโรคนี้ในอินเทอร์เน็ต”
หลี่ว์เฉาเซิงหันหน้าจอคอมพิวเตอร์เก่าบนโต๊ะทำงานมาทางพวกเธอ ก่อนกดเปิดเว็บที่บันทึกไว้ แล้วพูดช้าๆ “ทั่วทั้งโลกยังไม่ค่อยพบเห็นตัวอย่างโรคนี้นัก มีเพียงสิบกว่าถึงยี่สิบรายเท่านั้น ด้านแพทยศาสตร์ยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัด ตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘มือผ้าถูพื้น’ ไปก่อนชั่วคราว หมายความว่าหลังจากมือเท้าของผู้ป่วยเปลี่ยนสภาพไป เซลล์ในชั้นผิวหนังกำพร้าจะแตกเซลล์ขยายตัวจนผิวหนังเหมือนกับผ้าถูพื้น น่าจะเป็นโรคเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติชนิดหนึ่งล่ะมั้ง”
“อืม…รายงานเรื่องพวกนี้ เมื่อก่อนฉันก็เคยเจอเหมือนกัน” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า
เธอมองดูภาพถ่ายของผู้ป่วยบนหน้าเว็บไซต์ เทียบกับภาพวาดที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดจากความทรงจำแล้ว เหมือนกันมากจริงๆ
“โรคนี้ก็ทำให้มือเท้าของคนเปลี่ยนไปทันที ดูแล้วเหมือนผ้าถูพื้น และก็เหมือนหินปะการังใต้ทะเลด้วย ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายมันจะแพร่ขยายไปทั้งตัวหรือไม่ ตอนนั้นคนต่างก็พากันหวาดกลัว พอหวงเหล่าเซียนกูคนนั้นปล่อยข่าวลือผิดๆ ชาวบ้านก็เชื่อทันที” หลีว์เฉาเซิงส่ายหน้า “ผมปิดเงียบมานานหลายปี ตอนแรกคิดจะรอให้อีอวิ๋นมาถามผมอีกครั้ง แล้วผมจะบอกเรื่องมั้งหมดกับเธอเอง”
เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วพูดขึ้น “หมอ ภาพพวกนี้ ฉันเก็บไว้ได้ไหมคะ?”
หลี่ว์เฉาเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คุณอยากได้ก็เอาไปเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
เริ่นจื่อหลิงเก็บภาพพลางพูดขึ้น “ขอบคุณนะหมอ ถ้าอย่างนั้น เราไม่รบกวนเวลาหมอทำงานแล้ว…หลีจื่อ เราไปกันเถอะ”
หลี่ว์เฉาเซิงมองทั้งสองเดินจากไป ก่อนถอนหายใจยาวๆ เอนตัวบนเก้าอี้ จุดบุหรี่มวนหนึ่งเงียบๆ แล้วหลับตาลงคิดอะไรบางอย่าง
เป็นเรื่องสมัยก่อนที่นานมากๆ แล้ว
…
…
“นี่เหมือนเป็นสารเคมีจำนวนหนึ่ง”
โยวเย่เขย่าหลอดทดลองในมือ กำลังมองลั่วชิวพลางพูดว่า “ถ้าอยากทราบว่าข้างในมีส่วนประกอบอะไรบ้าง จะมีผลอย่างไรบ้าง ต้องหลังตรวจสอบแล้วถึงจะทราบค่ะ”
ในตอนนี้มั่วมั่วขมวดคิ้วพูดว่า “รุ่นพี่ รุ่นพี่เคยได้ยินเรื่องโหดร้ายที่พวกญี่ปุ่นบุกรุกมาทำก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองไหม?”
ลั่วชิวมองมั่วมั่วแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “คุณกำลังคิดว่า โรคประหลาดที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์ตอนนั้นเป็นเพราะของที่อยู่ในกล่องนี้เหรอครับ?”
มั่วมั่วพยักหน้าพูด “ในนี้มีช่องว่างอยู่ช่องหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ? แถมยังฝังไว้ในใต้ดินลึกขนาดนี้ด้วย ถ้าผมไม่มีวิชาห้าภูตเคลื่อนย้าย เกรงว่าคงหาไม่พบแล้ว ตอนนั้นร่างทรงชรานั่นรีบร้อนโยนตัวคนเป็นโรคลงทะเลไปพร้อมกันซะขนาดนั้น เกรงว่าคงกังวลว่าสิ่งนี้จะแพร่เชื้อเหมือนกัน กลับเป็นว่าเธอไม่สามารถรับมือได้”
มั่วมั่วเลิกคิ้วถาม “รุ่นพี่คิดว่า ถ้าร่างทรงชราคนนั้นใช้ของข้างในนี้ทำให้คนเกิดโรคจริงๆ ขอเพียงเธอหยุดใช้ต่อ แล้วรอจนคนป่วยล้มตายกันไปหมด อย่างนั้นหมู่บ้านหลี่ว์ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอก็จะได้ใช้เรื่องเซ่นไหว้และเรื่องไม่เกิดโรคระบาดอีกมาทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาเหรอ?”
ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “งั้นถ้าเรื่องเป็นเหมือนอย่างที่คุณว่าจริงๆ คุณคิดจะทำยังไง?”
มั่วมั่วพูดอย่างมีเหตุมีผล “แน่นอนว่าพอประกาศเรื่องนี้ออกไป ร่างทรงชรานั่นถูกทหารนำตัวไปแล้ว ย่อมมีจุดจบไม่ดีแน่ แต่ตอนนั้นในหมู่บ้านมีคนบางส่วนที่มีส่วนรู้เห็นด้วย แต่ละคนถือว่าเป็นฆาตกรร่วม มองชีวิตผู้คนเป็นผักปลาแบบนี้ แค่ประโยคเดียวว่าถูกยุยงมาก็จะจบเรื่องงั้นเหรอ? หลังจากนั้นก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะเกิดขึ้น? มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”
ลั่วชิวรู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมเต็มเปี่ยมในหัวใจมั่วมั่ว จึงชื่นชมยิ่งว่า “ในเมื่อจะประกาศ งั้นคุณคิดวิธีจะประกาศยังไง?”
“นี่…” มั่วมั่วนิ่งอึ้ง เขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ของนี่เป็นสิ่งที่คุณหาพบ…ก็ถือว่าผมเป็นพยานของคุณก็แล้วกัน แต่สำหรับหมู่บ้านหลี่ว์แล้ว ที่สุดแล้วผมก็เป็นแค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้นเอง คุณหากล่องใบนี้พบที่นี่และคาดการณ์ไว้แล้ว คุณคิดว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่เชื่อว่านี่เป็นสาเหตุของเรื่องตอนนั้น?”
มั่วมั่วหน้าเปลี่ยนสีทันที
ลั่วชิวถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ตอนที่ผู้หญิงแซ่หวงคนนั้นถูกคนจับไป เกรงว่าละครปาหี่ของเธอคงถูกเปิดโปงไปแล้ว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีชาวบ้านรู้ถึงความผิดปกติของเรื่องในตอนนั้น? แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่พูดมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?”
มั่วมั่วมองดูกล่องที่หาพบเงียบๆ ผิดปกติเป็นที่สุด
ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ว่าไม่รู้…แค่ไม่อยากยอมรับก็เท่านั้นเอง”
มั่วมั่วพูดอย่างเคืองๆ “คนพวกนี้! คนพวกนี้ทำอย่างนี้ได้ยังไง!”
ลั่วชิวหันกลับไป บ้านที่ถูกเผาเกลี้ยงนี้อยู่จุดภูมิประเทศค่อนข้างสูง เพียงมองจากที่สูงออกไปไกลๆ เล็กน้อยก็มองเห็นเกือบครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านหลี่ว์แล้ว เสียงของเขาดังขึ้นช้าๆ “น่าจะเป็นเพราะว่า…เรื่องนี้คงไม่ได้ทำเพียงแค่คนเดียวหรอกมั้ง”
ควรเรียกว่า ‘พวกเรา’
*พิฆาตสี่เก่า การปฏิวัติวัฒนธรรมทั้งสี่ด้านของยุวชนเรดการ์ด ได้แก่ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า ซึ่งเริ่มต้นในปี1996