สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 13 ‘คำสาป’ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในเมื่อหาที่ที่หลี่ว์ไห่อยู่พบ โยวเย่ก็พูดไปตรงๆ “นายท่านคะ ต้องแจ้งคุณเริ่นไหมคะ?”
ลั่วชิวกลับปิดประตูตู้เหล็กใหม่อีกครั้งให้เรียบร้อย
เขาพูดขึ้น “ถ้าหลี่ว์เฉาเซิงคิดจะทำอะไรบางอย่างกับหลี่ว์ไห่จริง ตอนขังไว้ที่นี่คงไม่ตั้งใจห้อยสายน้ำเกลือให้น้ำเกลือเขาต่อหรอก”
โยวเย่พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับคำพูดนี้
ลั่วชิวเดินวนรอบห้องทำงานแห่งนี้รอบหนึ่ง กำลังมองดูมุมต่างๆ ที่หลี่ว์เฉาเซิงจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ถึงแม้ตัวเครื่องของคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าจะมีสีเหลืองๆ แล้ว แต่กลับไม่มีฝุ่นสักนิดเดียว ขนาดคีย์บอร์ดก็ดูเหมือนถูกทำความสะอาดเป็นประจำ
ตัวอักษรบนปุ่มเริ่มเลือนรางแล้ว บางปุ่มก็จางหายไปเลย แต่กลับเห็นฝุ่นตามซอกร่องคีย์บอร์ดได้ยาก
คีย์บอร์ดเล็กๆ ยังขนาดนี้ ของอย่างอื่นย่อมดูแลได้สะอาดมากเช่นกัน ตอนที่ลั่วชิวเข้ามาก็รู้สึกว่า อย่างน้อยหลี่ว์เฉาเซิงก็จริงจังในหน้าที่การงานของตนเองเป็นอย่างมาก
ลั่วชิวเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ของหลี่ว์เฉาเซิง เอนพิงพนักพิง สายตามองประตูห้องทำงาน
เขาชอบทำแบบนี้ มองสิ่งที่อยู่ในสายตาของคนอื่นผ่านมุมมองของคนอื่น เขามองโยวเย่ ยิ้มน้อยๆ ครั้งหนึ่งพลางพูดขึ้น “นี่เป็นคนที่มุ่งมั่นและจริงจังคนหนึ่งเลย ส่วนเป้าหมายที่เขาซ่อนหลี่ว์ไห่ไว้ เราลองสังเกตการณ์อีกสักหน่อยดีกว่า”
โยวเย่ยิ้มน้อยๆ
ขอแค่เจ้านายพอใจ เธอก็ยินดี
คุณสาวใช้เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องทำงาน หลังจากนั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เหล็กอีกตู้หนึ่ง ตู้นี้น่าจะเป็นที่หลี่ว์เฉาเซิงใช้เก็บของพวกข้อมูลและตัวอย่างโรค
แม่กุญแจแบบนี้ป้องกันคนทั่วไปยังไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะป้องกันคุณสาวใช้ของสมาคมได้เลย
พอเปิดลิ้นชักหนึ่งที่ล็อกอยู่ข้างล่างสุดของตู้นี้ออก ก็เห็นซองเอกสารหนังวัวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ นิ้วของโยวเย่ไล้ไปบนซองเอกสารพวกนี้ราวกับเต้นรำ แล้วก็หยุดลงทันที
เธอดึงเอกสารชุดหนึ่งในนั้นออกมาแล้วเปิดออก
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของคุณสาวใช้ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ เธอมองลั่วชิว พูดเสียงเบาๆ ว่า “นายท่านคะ ที่นี่มีสิ่งน่าสนใจบางอย่างด้วยค่ะ”
…
…
“หลี่ว์ไห่? ไม่เห็น ไม่เห็น ไปๆๆ!”
อีกคนก็พูดว่าไม่เห็น
ตลอดทางมานี้ เริ่นจื่อหลิงรู้สึกได้ว่าคนในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ชอบหลี่ว์ไห่สักเท่าไร ถ้าเป็นตอนที่ไม่เคยรู้เรื่องเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน บางทีเริ่นจื่อหลิงจะคิดว่าเจ้าหลี่ว์ไห่นี่ทำเรื่องให้ผู้คนโกรธแค้นอะไรหรือเปล่า
แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ รอบหมู่บ้านแห่งนี้ได้จากก้นบึ้งหัวใจเลย
เธอส่ายหน้า ถึงกับถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างๆ หลี่ว์อีอวิ๋น
สาวน้อยปิดโทรศัพท์ ส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “แม่บอกว่า ยังไม่เห็นพ่อกลับไปเลยค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพูด “ในบ้านเกิดเมืองนอน คนเป็นๆ สะดุดตาอย่างพ่อเธอ กลับไม่มีใครสังเกตเห็น…อาจจะไม่ได้มาเดินทางฝั่งนี้ เดี๋ยวลองดูว่าทางลั่วชิวเจออะไรบ้างหรือยัง เธอวางใจเถอะ พ่อเธอโตขนาดนั้นไม่ทำเรื่องโง่ๆ หรอก”
สาวน้อยได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น อ่อนแอจนคนเห็นแล้วก็ปวดใจ
เริ่นจื่อหลิงนึกถึงคำไหว้วานของหลี่ว์อีอวิ๋นได้ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคิดว่ารอให้หาหลี่ว์ไห่พบแล้วค่อยพูด
หลี่ว์อีอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปเฮือกหนึ่งแล้วพูดขึ้น “พี่เริ่น เราลองไปหาทางฝั่งนั้นกันเถอะค่ะ เมื่อกี้ยังไม่ได้ไปหาเลย”
“ได้” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า
ตอนนี้เองหลีจื่อก็พูดขึ้นทันที “ข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ? ทำไมคนพากันวิ่งไปทางนั้นกันหมด?”
ที่นี่ไม่ใช่ถนนสายหลักของหมู่บ้านแล้ว แต่เป็นซอยที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านใกล้ๆ
“หรือว่าจะเป็นพ่อคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นสีหน้าร้อนรน รีบสาวเท้าตรงเข้าไปทันที
เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อก็รีบเดินตามไป ไม่นานพวกเธอก็เบียดเข้าไปในกลุ่มคน เห็นแค่ว่านี่เป็นประตูทางเข้าบ้านหลังหนึ่ง และตอนที่กำลังเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ พวกเธอก็เข้าใจทันที เพราะอะไรคนจำนวนมากถึงได้มารวมตัวกันในทันที
“อ๊า!”
สาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นถึงกับร้องตกใจกลัว
แม้ว่ารองบรรณาธิการเริ่นจะเคยพบเห็นฉากเหตุการณ์ใหญ่ๆ มาแล้ว ก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าเช่นกัน ภาพที่เห็นคือ ผู้ชายคนหนึ่งท่าทางอายุหกสิบห้าสิบปี คงเป็นคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ตอนนี้เขาล้มอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง
ประตูบ้านหลังนี้เปิดอยู่ แต่ตอนนี้ตัวของผู้ชายคนนี้กำลังนอนอยู่บนธรณีประตู…ท่าทางราวกับว่าเขากำลังคลานออกมาจากในบ้าน
เห็นเพียงสองมือของเขา สองเท้าของเขามีกิ่งไม้สีเทาขึ้นเต็มหนาแน่น เหมือนกับโคนต้นไม้เก่าแก่ เหมือนกับหินปะการังในทะเลลึก…เหมือนกับอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในภาพวาดที่หลี่ว์เฉาเซิงเอาให้พวกเธอดู!
ตอนนี้ชายคนนั้นพ่นฟองสีขาวออกมา สีหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิท
ท่าทางของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงขนาดไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่กันแน่!
ตอนนี้เองเด็กน้อยคนหนึ่งก็มุดเข้ามาในฝูงชน หลังจากมองดูแวบหนึ่งก็ตกใจจนหน้าซีด ร้องไห้ไปในทันที แม่ของเด็กรีบปิดตาของเขาไว้แล้วหมุนตัวเขาหันกลับมา แต่กลับพูดอย่างหวาดกลัวเช่นกันว่า “อย่ามองๆ อย่ามอง!”
“นี่คือ…นี่คือ…ฉันนึกออกแล้ว! ฉันนึกออกแล้ว!”
ตอนนี้เองยายแก่คนหนึ่งก็ร้องเสียงแหลมสูง ขาสองข้างของเธออ่อนปวกเปียก ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงทรุดลงไปบนพื้น แต่สองขาของยายแก่ยังถีบเหยียดไว้อยู่ ดันตัวเองให้ถอยไปข้างหลังไม่หยุด
ยายแก่ชี้นิ้วออกมาสั่นๆ เสียงก็สั่น “คำสาป! คำสาป! มันเป็นคำสาป!! คำสาปนั่นกลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว!!”
คนหนุ่มสาวที่พักอยู่แถวๆ นี้ ก็เริ่มตกใจตื่นตระหนกกันแล้ว พากันถามว่า “ยายกุ้ยอวี้ คำ คำสาปอะไร?”
ตอนนี้คุณยายคนนั้นตัวสั่นเทา “ฉันไม่รู้! ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น…ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เกี่ยวกับฉัน…คนมากมายตายไปแล้ว คนมากมาย…ไม่เกี่ยวกับฉัน…ไม่เกี่ยวกับฉัน…”
ยายแก่คลานออกมาจากฝูงชนทันที คลำกำแพงในซอยไปอย่างลนลาน พูดพึมพำตลอดเวลา “ตายไปเยอะแยะ…เยอะมากๆ…ไม่เกี่ยวกับฉัน…ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น! อย่า อย่ามาหาฉัน อย่ามาหาฉัน…”
ไม่ใช่แค่ยายแก่คนนี้เท่านั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน คนแก่หลายคนในที่เกิดเหตุก็พากันลนลานหลบซ่อนตัวโดยไม่ปริปากสักคำ บางคนหลบเข้าไปในบ้านของตนเอง บางคนกลับวิ่งหนีเข้าไปตามตรอกซอยต่างๆ
เหลือเพียงแค่คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงก็ขมวดคิ้วมุ่น “พวกคุณมัวนิ่งอึ้งอะไรกัน? ส่งเขาไปคลินิกสิ!”
“คุณ คุณอยากไปส่งคุณก็ไปส่งเองเถอะ…นาย นายนี่น่ากลัวแบบนี้ ใครจะรู้ว่าแพร่เชื้อหรือเปล่า?”
เริ่นจื่อหลิงชูนิ้วกลางมือขวาขึ้นทันที และก็ไม่มองสีหน้าไม่พอใจที่ตามมาพวกนั้น “หลีจื่อ มาช่วยฉัน! อีอวิ๋น โทรศัพท์หาคุณหมอหลี่ว์ บอกไปว่าโรคนั่นโผล่มาอีกแล้ว!”
“ค่ะๆ ได้ค่ะ!” สาวน้อยที่ตกใจกลัวล้วงโทรศัพท์ออกมาอย่างลนลาน
ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงกัดฉีกแขนเสื้อขาด แล้วพันไปบนฝ่ามือตนเอง
หลีจื่อเห็นดังนั้น ก็เลียนแบบฉีกแขนเสื้อมาพันมือทั้งสองข้าง สองคนร่วมแรงกันดึงคนนี้ขึ้นมา
“ยังมีลมหายใจอยู่”
เริ่นจื่อหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง