สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 14 ถนนติดขัด
“ถอยไปๆ คนที่ไม่เกี่ยวข้องเชิญออกไป รบกวนทุกคนด้วย”
นางพยาบาลคนเดียวที่ทำงานอยู่ในคลินิกเล็กๆ อายุราวสามสิบปี กำลังไล่พวกชาวบ้านที่มาออกันอยู่หน้าประตูคลินิก
เพียงไม่นาน เรื่องชายแก่ล้มป่วยคนนั้นก็แพร่งพรายไปทั่วในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ คงจึงรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าด้านนอกคลินิกจะมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย แต่หลี่ว์เฉาเซิงที่อยู่ในห้องตรวจรักษาโรคก็จริงจังอย่างเห็นได้ชัด เขาได้รับโทรศัพท์จากหลี่ว์อีอวิ๋นก่อนล่วงหน้าแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมรับมือ
เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อกำลังดูอยู่ข้างๆ พวกเธอเอาแอลกอฮอล์ส่วนหนึ่งมาจากหลี่ว์เฉาเซิง แล้วเช็ดทำความสะอาดมือทั้งสองข้างที่สัมผัสโดนผิวหนังของผู้ป่วยเข้า
“เป็นยังไงบ้าง? เป็น…เป็นโรคอะไรกันแน่?” เริ่นจื่อหลิงถามอย่างจริงจัง “หรือว่า…”
หลี่ว์เฉาเซิงปั้นหน้า เขาพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นตอนนั้นมากๆ …จะบอกว่าเหมือนกันมากจนมองไม่เห็นความต่างก็ไม่ผิด แต่จะใช่หรือไม่ ตอนนั้นอายุผมน้อยมากจริงๆ ความทรงจำตอนเด็กอาจจะผิดเพี้ยนไป ดังนั้นผมไม่กล้ายืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่…”
พอมองคนทั้งสองที่พาคนแก่คนนี้มาส่งอย่างกล้าหาญ หลี่ว์เฉาเซิงก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “เครื่องมือของผมมีอยู่จำกัด ถ้าอยากจะรู้โรคที่แน่ชัดจริงๆ คงต้องส่งไปโรงพยาบาลในเมือง หรือโรงพยาบาลใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป”
เริ่นจื่อหลิงนึกขึ้นมาได้ว่าเห็นมอเตอร์ไซค์ของพยาบาลสาวหน้าประตูคลินิกเพียงคันเดียว จึงพูดเสนอตัวเอง “คุณหมอหลี่ว์ ฉันช่วยพาคนไปส่งในเมืองได้!”
หลี่ว์เฉาเซิงพยักหน้า “งั้น…เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”
ฉับพลันนั้นเองนอกห้องก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมา แล้วชายวัยกลางคนสวมกางเกงสูทเสื้อเชิ้ตสีขาว อายุราวๆ สี่สิบปีคนหนึ่ง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน
“คุณหมอ พวกเขาบอกว่า…จะเข้ามาดูหน่อย” คุณพยาบาลสาวพูดอย่างลำบากใจ
หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้า โบกไม้โบกมือให้พยาบาลสาวไปปลอบคนไข้บางส่วนในคลินิกก่อน แล้วมองผู้ชายที่เป็นผู้นำคนนั้น ก่อนยิ้มเฝื่อนๆ พลางพูดว่า “เลขา หัวหน้าหมู่บ้าน ทำไมก็มาด้วยล่ะ?”
ผู้ชายคนนี้แซ่อู๋ ชื่อเต็มๆ ว่าอู๋ชิวสุ่ย เป็นเลขากรรมการหมู่บ้านที่ในเมืองส่งมา ส่วนคนข้างๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็คือหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ และคนหนุ่มด้านหลังอีกคนก็คือผู้ช่วยเลขากรรมการหมู่บ้านแซ่ตู้ เป็นคนนอกหมู่บ้าน พอจบจากมหา’ลัยก็ถูกส่งมาเป็นเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน
แล้วอู๋ชิวสุ่ยก็พูดว่า “อ้อ คือแบบนี้นะ ได้ยินมาว่าในหมู่บ้านมีผู้ชายคนหนึ่งติดโรคน่ากลัว ผมเป็นห่วงว่าโรคนี้จะกลายเป็นโรคติดต่อ ดังนั้นก็เลยรีบมาดูทันที แล้วก็อยากจะเข้าใจสถานการณ์ครอบครัวของผู้ป่วยสักหน่อย เผื่อมีอะไรช่วยได้ เอ่อ สองท่านนี้คือ…เหมือนผมไม่เคยเห็นมาก่อน”
สายตาของอู๋ชิวสุ่ยกวาดไปที่ตัวเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อแวบหนึ่ง พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย
หลี่ว์เฉาเซิงพูด “คุณผู้หญิงสองคนนี้นำตัวคนมาส่งครับ เอ่อ พวกเธอมาที่นี่เพื่อเที่ยวพักผ่อนน่ะครับ”
อู๋ชิวสุ่ยพยักหน้า พูดอย่างเกรงใจว่า “คนจิตใจดีทั้งสอง ขอบคุณครับ!”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยเหลือคนเป็นเรื่องเร่งด่วน” เริ่นจื่อหลิงตอบเสียงเรียบเฉย
หลี่ว์เฉาเซิงรีบพูดขึ้น “ท่านเลขา หัวหน้าหมู่บ้าน ผมยังไม่รู้มูลเหตุของโรคนี้ เครื่องมือที่นี่ก็มีไม่พอ ผมตรวจหาไม่ได้ ตอนนี้ก็กำลังวางแผนจะพาคนส่งไปที่โรงพยาบาลในเมือง”
ตอนนี้สายตาอู๋ชิวสุ่ยและหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์กำลังพิจารณาคนไข้บนเตียงนั้นอยู่พักหนึ่ง ฉับพลันนั้นใบหน้าของคนทั้งสองที่เห็นโรคนี้ก็เผยให้เห็นสีหน้าสะดุ้งตกใจ
อู๋ชิวสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งพลางพูดว่า “ควรเป็นอย่างนั้น! แต่ว่าอย่าไปรบกวนคุณผู้หญิงทั้งสองเลย คุณหมอหลี่ว์ ผมจะให้เสี่ยวตู้ขับรถไปส่งพวกคุณแล้วกัน!”
“ก็ได้ครับ ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลี่ว์เฉาเซิงก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าพูดไปตรงๆ
…
“เป็นยังไงบ้าง? หาคนเจอไหม?”
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เริ่นจื่อหลิงถึงได้เจอกับลั่วชิวในคลินิกเล็กๆ อีกครั้ง หลังจากออกมาจากในห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิงแล้ว เจ้าของร้านลั่วก็พาสาวใช้ของตนเองไปเดินเล่นข้างนอกรอบหนึ่ง ก่อนเดินกลับมาอีกครั้ง
ลั่วชิวส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
โยวเย่พูดเสียงเบา “คุณเริ่น ทำไมที่นี่มีคนมารวมตัวกันเยอะเลยคะ?”
“สุภาพอะไรกัน! เรียกฉันพี่เริ่นก็พอแล้ว ถ้าเขินก็เรียกฉันว่าแม่ก็ได้! เริ่นจื่อหลิงทำให้ลั่วชิวตกใจเหมือนเห็นผีอีกแล้ว
เรียกแม่บ้าบออะไรล่ะ…
“พี่เริ่น”
โยวเย่เรียกอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม
ตอนนี้รองบรรณาธิการเริ่นพอใจแล้ว รู้สึกว่านี่ก็เพื่อเป็นการลดระยะห่างกับลูกสะใภ้สักหน่อย ดังนั้นเธอจึงพูดอีกรอบอย่างสำราญใจ
ระหว่างนั้น ลั่วชิวก็สังเกตเห็นสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าก้มตานั่งเงียบอยู่ข้างๆ เหมือนมีเรื่องหนักใจ ดูท่าคงเป็นห่วงคุณพ่อของตัวเองที่หายไปไร้ร่องรอย
เหมือนหลี่ว์อีอวิ๋นรู้สึกถึงสายตาของลั่วชิว จึงได้เงยหน้าขึ้นมา
เธอเช็ดขอบตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วสบตาลั่วชิว
ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้า
สาวน้อยตะลึงงัน เธอไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
เริ่นจื่อหลิงก็สังเกตเห็นท่าทางของหลี่ว์อีอวิ๋นจึงพูดว่า “งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน? พวกเราออกไปหาอีกรอบ ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็กลับไปลองดูสถานการณ์ที่บ้านพักกันก่อน”
เหมือนจะทำได้แค่นี้แหละ
พอพวกเขาออกมาจากคลินิก กลับเห็นรถคันหนึ่งมาจอดเทียบพอดี แล้วหลี่ว์เฉาเซิงกับผู้ช่วยเสี่ยวตู้ก็ช่วยกันยกชายชราที่ล้มป่วยคนนั้นออกมา
“นี่…นี่จะพาออกไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาอีกแล้วคะ?” หลีจื่ออดถามไม่ได้
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านวัยรุ่นคนนั้นขมวดคิ้วพูดว่า “ถนนที่ออกไปถูกขวางเอาไว้ รถผ่านออกไปไม่ได้!”
“อะไรนะ?” เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน
ตอนนี้เสี่ยวตู้พยักหน้าพูด “ดินถล่มลงมา คงจัดการไม่เสร็จในหนึ่งชั่วโมง เมื่อคืนวานฝนตกหนักตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า”
“ไม่มีถนนสายอื่นที่ออกไปได้เลยเหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยปากถามทันที
เสี่ยวตู้มองลั่วชิวแวบหนึ่ง ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีแล้ว เมื่อหลายปีก่อนมีการระดมทุนสร้างถนนสายนี้เพียงเส้นเดียวเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรม ทางบนภูเขาที่เหลืออยู่พวกนั้น ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ แม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์ก็ขับออกไปได้ยาก ผมและคุณหมอหลี่ว์กำลังปรึกษากัน ให้คนที่มีเรือพายลำเล็กช่วยอ้อมออกไป พอผ่านที่นั่นไปได้ค่อยดูว่าติดต่อให้รถมารับได้ไหม”
หลังเสี่ยวตู้อธิบายจบอย่างรวดเร็ว จึงมองหลี่ว์เฉาเซิงพร้อมพูดว่า “คุณหมอ คุณดูแลคนไข้อยู่ที่นี่ก่อน ผมจะไปติดต่อบ้านที่มีเรือ”
เจ้าหน้าที่วัยรุ่นทำงานคล่องแคล่วมาก ใบหน้าท่าทางจริงจังมีความรับผิดชอบ ตอนนี้เดินจากไปไกลแล้ว
“ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว “ตอนที่ขึ้นมาบนถนนสายนี้ ฉันเห็นการก่อสร้างของขอบหน้าผา มาตรการป้องกันดินถล่มทำได้ดีทีเดียว แล้วอยู่ๆ ทำไมดินถึงถล่มได้ล่ะ…หลีจื่อ พายุฝนเมื่อคืนนี้แรงมากจริงๆ เหรอ?”
หลีจื่อก้มหัวลงพลางพูดว่า “ฉันนอนหลับสนิทเลยค่ะ ไม่รู้เลย…แต่ว่าคงจะไม่ได้หนักมากมั้งคะ? ไม่อย่างนั้นหลี่ว์ไห่อยู่ที่ผาฟังเสียงคลื่นคนเดียวทั้งคืน ก็ไม่ได้ถูกพัดไปนานแล้วเหรอ?”
เริ่นจื่อหลิงใช้ข้อศอกกระแทกหลีจื่อเบาๆ หลีจื่อรีบแลบลิ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าลูกสาวของหลี่ว์ไห่ยังอยู่ที่นี่
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ พี่หลีจื่อ” สาวน้อยส่ายหน้า
เริ่นจื่อหลิงได้แต่มองลั่วชิวพลางพูดว่า “เด็กน้อย เธอคิดว่ายังไง?”
ลั่วชิวตอบ “เสี่ยวตู้คนนั้นคงกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว”
เริ่นจื่อหลิงอึ้งพร้อมพูดว่า “อะไรนะ?”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ผมว่านะ เขาอาจจะหาเรือที่ออกทะเลได้ไม่เจอ แล้วก็ทำได้แค่กลับมาเท่านั้น”
“เอ๋? ทำไมถึงหาไม่ได้ล่ะ? เมื่อก่อนที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงไม่ใช่เหรอ?” หลีจื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำประมงเลี้ยงชีพแล้ว แต่ก็น่าจะมีเรือสิ”
ลั่วชิวตอบ “ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่มีเรือ แต่เรืออาจจะใช้ไม่ได้ ถ้าถนนถูกขวางได้ ทางทะเลก็ถูกขวางได้”
หลีจื่อตะลึงงัน
เริ่นจื่อหลิงกลับขมวดคิ้วพูด “เธอหมายความว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?”
“หลังจากได้ยินว่าถนนถูกขวาง คุณก็เริ่มสงสัยแล้วไม่ใช่เหรอ?” ลั่วชิวย้อนถาม
…
ไม่นานนัก เสี่ยวตู้ก็รีบวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน หอบหายใจพลางพูดว่า “แย่แล้ว! เรือหาปลาของบ้านชาวประมงใช้ไม่ได้เลยสักลำ! ไม่รู้ว่าเรือของพวกเขาไปกระแทกอะไรมา ด้านล่างเรือเป็นรูรั่วหมดเลย เหมือนถูกอะไรกัดเข้า!”
ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ หลี่ว์เฉาเซิงก็ลุกขึ้นทันที พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
หลีจื่อมองลั่วชิวแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ…เจ้าเด็กนี่พูดถูกเป๊ะๆ!