สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 17 ความชั่วร้ายและความวุ่นวาย
แต่มั่วมั่วเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดและเริ่มใช้พลังจนถึงขีดสุด ตอนนี้จะใช้คำพูดประโยคสองประโยคมาหยุดได้อย่างไร?
ธนูสีทองพวกนั้นใช้สารชินนาบาร์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษบนเขาพยัคฆ์มังกรผสมเข้ากับสารสกัดจากเลือดของสัตว์ดุร้ายบนภูเขา เป็นหนึ่งในสุดยอดพลังที่มั่วมั่วกักเก็บไว้
เขารู้ว่า ‘รุ่นพี่’ หน้าเด็กที่คาดเดายากตรงหน้าคนนี้มีพลังแค่ไหน ย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ พอลงมือปุ๊บก็คิดจะใส่พลังทั้งหมดเต็มที่
“น้ำใสพยัคฆ์มังกรเร้นกาย สำเร็จวิชาพยัคฆ์มังกรปรากฏกาย!”
ยันต์สีเหลืองลอยลงพื้นตามกันเป็นสายตามเสียงพูดทุ้มต่ำของมั่วมั่ว แต่พวกมันไม่ได้หายไป ทว่ากลายเป็นเสือร้ายหน้าตาดุร้ายทีละตัวทีละตัว
แสงสีทองรวมตัวกันเป็นร่างเสือร้าย แต่กลับไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับเสือร้ายตัวจริง แต่มีขนาดพอๆ กับหมาป่าดุร้ายธรรมดาๆ พวกมันกรูกันอยู่รอบตัวมั่วมั่ว แต่ละตัวมีพลังน่ากลัวที่ไร้คนเทียบเคียง
กรงเล็บของเหล่าเสือร้ายแสงสีทองกำลังย่อตัวตะปบพื้นดิน อ้าปากแยกเขี้ยว ท่าทางเหมือนเจอกับศัตรูทรงพลังอำนาจ
มือขวามั่วมั่วกำลังจับมือซ้ายเอาไว้ ชิดนิ้วชี้นิ้วกลางของมือซ้ายเป็นตราดาบ แตะไปที่คิ้วของตัวเอง กำลังสื่อสารกับเสือร้ายแสงสีทองพวกนี้อย่างสุดแรงเกิด!
เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสื่อสารบังคับพวกมันอย่างไร เสือร้ายแสงสีทองที่เขาได้มาตั้งแต่ฝึกวิชาสำเร็จ บัดนี้กลับไม่ยอมขยับตามคำสั่งเลยแม่แต่น้อย!
เสือร้ายแสงสีทองพวกนี้มีจิตวิญญาณของเสือจริงๆ ผนึกเอาไว้ จึงยังมีสัญชาตญาณความกลัวของสัตว์เหลืออยู่…
มั่วมั่วกำลังเคลื่อนพลังมหัศจรรย์ในร่างกายแบบบ้าระห่ำ ดวงตาทั้งสองกลายเป็นสีทองสวยงาม กำลังจ้อง ‘รุ่นพี่’ ที่อยู่ข้างหน้าคนนี้อย่างตื่นตัว
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เริ่มจนตอนนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ในมุมมองของมั่วมั่ว กลับมีของบางอย่างเพิ่มเข้ามา!
ประตูบานหนึ่ง
ประตูบานหนึ่งที่เห็นรำไรๆ ราวกับมีวิญญาณพยาบาทนับไม่ถ้วนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ กำลังส่งกลิ่นอายชวนสั่นสะท้านตลอดเวลา
มั่วมั่วเผยให้เห็นสีหน้าสะดุ้งตกใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากเห็นประตูแปลกๆ บานนี้แล้ว จิตใจของเขาก็เหมือนถูกน้ำวนขนาดใหญ่ดูดเอาไว้ ราวกับสามจิตเจ็ดวิญญาณ*จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
“ที่แท้คุณก็มองเห็นได้” ตอนนี้ลั่วชิวพูดเสียงเบา “ไหนบอกผมหน่อย รูปร่างเป็นยังไง”
เขากำลังเดินมาข้างหน้ามั่วมั่ว
ทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้ มั่วมั่วก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณกำลังถูกสูบออกไปอย่างแรง หลังจากก้าวที่สาม มั่วมั่วก็บ้วนเลือดสดๆ ออกมา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นเหน็ดเหนื่อยแบบยากที่จะทนทานได้ ที่บ้วนออกมาไม่ใช่เลือดสดๆ ธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า เลือดเนื้อจิตวิญญาณของลัทธิเต๋า!
เพียงชั่วครู่เดียว พลังลมปราณของเขาได้ถูกทำลายไปอย่างมาก!
เสือร้ายแสงสีทองที่เรียกออกมา พลันหายวับไปในทันที กลายเป็นยันต์สีเหลืองใหม่อีกครั้ง แล้วกลับไปในกระเป๋าถือของเขา
พอมั่วมั่วกัดฟันทำท่าประสานมือใช้เคล็ดวิชา ฉับพลันหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ ปกคลุมเต็มพื้นที่ว่างในซอยนี้ทันที
“อยากหนี?!”
ท่ามกลางหมอกหนา เสียงของโยวเย่ดังขึ้นมาในทันที
เปลวไฟสีดำในมือของคุณสาวใช้ไล่หมอกควันพวกนี้ไปจนหมด ระหว่างนั้นเงาที่อยู่ในสภาพจนตรอกของมั่วมั่วก็ไปอยู่ตรงบริเวณทางออกซอยแล้ว
คาดไม่ถึงว่าลั่วชิวกลับกดข้อมือของโยวเย่ให้หยุด
เขากำลังมองสีหน้าโกรธเคืองของโยวเย่ ก่อนยื่นมือไปจิ้มคิ้วขมวดมุ่นของเธอให้คลายออก แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยังไม่ต้องไปสนใจเขา เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก”
“นายท่าน?”
ลั่วชิวตอบ “ช่วงนี้ความรู้สึกนี้นับวันก็ยิ่งชัดเจน”
สาวใช้ยิ้มพูดด้วยความดีใจ “นั่นเพราะนายท่านทำการแลกเปลี่ยนมากขึ้น พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นค่ะ”
ลั่วชิวส่ายหน้า “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
โยวเย่ตอบ “ชาวบ้านเริ่มสติหลุดแล้วค่ะ เลขาและหัวหน้าหมู่บ้านปลอบขวัญก็ไม่ได้ผลอะไร แต่ว่าจำนวนผู้ป่วยไม่ได้เพิ่มขึ้นแล้วค่ะ จนถึงตอนนี้มีคนล้มป่วยทั้งหมดสิบเอ็ดคน เป็นคนแก่อายุเยอะทั้งหมดค่ะ”
ลั่วชิวพยักหน้าพูด “ก็หมายความว่า เป็นคนในสมัยนั้น”
“น่าจะใช่ค่ะ”
“หลี่ว์ไห่ล่ะ”
“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ” โยวเย่พูดเสียงเบา “คิดแล้วคงจะเป็นเพราะถูกฉีดพวกยากล่อมประสาท”
ลั่วชิวหลับตาทั้งสองข้างลง สาวใช้ที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังเขารู้ดีว่านายท่านของตนเองกำลังทำอะไรอยู่
ไม่นานนัก ลั่วชิวก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น พูดเสียงเฉยเมย “คนเริ่มกลัวกันเยอะขึ้นแล้ว…แต่ยังไม่มีคนผิดหวัง”
“อีกไนนก็คงจะมีแล้วค่ะ” โยวเย่พูดเสียงเรียบเฉย “ไม่ว่าใครที่เล่นเล่ห์เหลี่ยมอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ไม่เหมือนยุคโบราณแล้ว ถึงแม้ว่าถนนจะถูกกีดขวาง แต่ก็ปิดถนนได้ไม่นาน ดังนั้น คนที่อยู่เบื้องหลัง…”
ลั่วชิวมองโยวเย่ที่ตอบกลับเขาได้อย่างดีเยี่ยม ก่อนพูดต่อจากเธอว่า “จะทำให้ความหวาดกลัวเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง”
…
…
พอถึงตอนดึก คนที่ล้มป่วยก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง นับรวมกับคนป่วยตอนกลางวัน คนเป็นโรคก็มีจำนวนสามสิบห้าคนพอดี
ตอนกลางวันมีแค่คนแก่ พอตกกลางคืนกลับเป็นคนวัยกลางกับวัยรุ่น
ในบรรดาคนไข้นี้ยังรวมหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ด้วย!
ตัวหัวหน้าหมู่บ้านเองก็นอนอยู่ในคลินิกแล้ว!
ตอนนี้ชาวบ้านกลุ่มเล็กก็ประชุมลับกันโดยปิดบังอู๋ชิวสุ่ยเอาไว้ ที่นี่มีชายวัยฉกรรจ์ และก็มีที่อายุหกสิบกว่า ล้วนแต่เป็นคนมีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในหมู่บ้าน
“สามสิบห้าคน…” ตอนนี้คนผู้หนึ่งในนั้นลูบคลำไม้เท้าของตัวเองไม่หยุด เห็นได้ถึงความไม่สบายใจ “ถ้าฉันไม่ได้จำผิดล่ะก็ มากกว่าตอนนั้นอีก…ตอนนั้นแค่สิบกว่าคนเอง”
“ฉันเคยถามเฉาเซิงแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้ยังตรวจไม่ได้ เพราะมีเครื่องมือไม่พอ แต่ว่าดูเวลาที่โรคนี้กำเริบแล้ว อาจจะต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะมีคนอาการกำเริบอีก”
ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันอยู่ในบ้านเก่านี้ ฉับพลันก็เงียบสนิทจนน่ากลัว…คนที่นี่ไม่รู้ว่าถึงพรุ่งนี้แล้วตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ต้องไปนอนในคลินิกไหม
“คำสาป! คำสาปนั้น!” คนแก่ที่ฟันใกล้ร่วงหมดปากคนหนึ่งร้องเสียงแหลม
คนที่ค่อนข้างจะวัยรุ่นหน่อยก็สบถออกมา “หุบปาก! นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมาพูดเรื่องคำสาปอะไรอีก! เรื่องนั้นทุกคนตกลงกันแล้วนี่ ว่าจะไม่พูดถึงมันอีก!”
“แต่ออกจากหมู่บ้านไม่ได้แล้ว! พวกเราไม่มีทางหนี…” ตาเฒ่ายังคงพูดยืนกราน “หรือว่าจะต้องปีนขึ้นเขาไหม? ต้องเดินเท่าไรถึงจะเดินออกไปได้? ออกไปไม่ได้สิ! ถ้าล้มป่วยแล้วใครจะไม่รู้ นี่ก็ยังต้องตายอีกอยู่ดี!”
“เฮ่อ…สี่สิบกว่าปีนี้ผ่านไปแล้ว ทำไมของแบบนี้ยังมีมาอีกนะ! หรือว่าจะเป็นเทพเจ้าทะเล?”
“แกไม่ได้ยินทหารรักษาการณ์พูดเหรอ ร่างทรงชราคนนั้นแกล้งผีหลอกคนใช่ไหม?”
“แต่…แต่ทหารรักษาการณ์พวกนั้นเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านถึงติดโรคแบบนี้มา? ว่ากันว่าการแพทย์ข้างนอกนั้นเจริญก้าวหน้าไม่ใช่เหรอ? เฉาเซิงเรียนจบจากข้างนอกจนกลับมาก็ยังไม่รู้ว่านี่เป็นอะไรกันแน่เลยนี่? อีกอย่างพอเซ่นไหว้บูชาไปครั้งนั้น สถานการณ์ก็กลับมาดีไม่ใช่เหรอ?”
“นี่…อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ร่างทรงชราคนนั้นเจอเรื่องบังเอิญเข้าแล้ว”
“ถ้าเป็นความจริงล่ะ?” คนแก่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องกลืนน้ำลายพร้อมกับพูดว่า “พวกแกรู้จักการเล่นอินเทอร์เน็ตไหม? หลายวันก่อน หลานตัวน้อยของฉันเล่นอินเทอร์เน็ต บังเอิญไปเจอรายงานข่าวเกี่ยวกับหมู่บ้านของพวกเราด้วย บอกว่ามีคนได้ยินเสียงเพลงแปลกๆ ที่ดังมาจากในทะเล แล้วยังบันทึกไว้ได้อีก…พวกแกคิดว่ายังไง?”
“ว่ายังไงนะ?”
“ใช่แล้ว เหล่าหนิวกงว่าอย่างไร?”
เหล่าหนิวกงกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “เพลงนั้นพิลึกพิลั่นมากๆ! พอฉันฟังปุ๊บ หัวใจก็เต้นไม่หยุดเลย รู้สึกเหม่อลอยไม่ได้สติ แม้แต่เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยังไม่รู้ ตอนที่ได้สติคืนมา ก็นั่งมาครึ่งชั่วโมงแล้ว หลานฉันเองก็เหมือนกัน!”
“นี่…นี่เรื่องจริงเหรอ?”
“ฉันจะหลอกพวกแกทำไม?” แล้วเหล่าหนิวกงพูดอย่างหวาดกลัวว่า “แย่แล้ว! แย่แล้ว! แย่จริงๆ แล้ว!”
และในตอนนี้เองคนหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน พูดอย่างหวาดกลัวว่า “แย่แล้ว คุณปู่ทุกท่าน มีคนล้มป่วยอีกแล้ว เยอะมากๆ!”
ในขณะเดียวกัน
โครม!!
ค่ำคืนนี้ เสียงดังแสบแก้วหูพลันดังส่งมา น่ากลัวแบบเห็นได้ชัด ทำให้ทุกคนตกใจทันที พวกเขารีบวิ่งออกมาจากบ้าน กำลังฟังเสียงโครมครามดังมาไม่ขาดสาย!
“เสียงนั่นดังมาจากทางผาฟังเสียงคลื่น!”
“เร็ว หาคนสักคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น!”
หลังจากรออย่างยากลำบากมาหลายชั่วโมง คนที่ไปสืบข่าวก็กลับมา สีหน้าดูย่ำแย่ “ผาฟังเสียงคลื่น…ถล่มแล้ว! เหมือนกับสี่สิบห้าปีก่อน…จบแล้วๆ เทพทะเลโกรธแล้วจริงๆ ตอนฉันกลับมา มองเห็นคนหลายคนรีบแห่ไปที่คลินิกของเฉาเซิง มีบางคน…มีบางคน…”
คนคนนี้แสดงสีหน้าซีดขาว พูดเสียงสั่นเครือว่า “มีบางคน…คลานบนพื้น…”
“คำสาปกลับมาแล้ว!! กลับมาแล้ว!!” ตอนนี้เหล่าหนิวกงร้องเสียงแหลมขึ้นมา “เป็นหวงเหล่าเซียนกู! เป็นหวงเหล่าเซียนกู! ตอนนั้นที่เธอถูกจับ พวกเราไม่ได้ไปช่วยเหลือเธอ! ตอนเธอถูกจับฉันยังจำได้แม่น! เธอบอกว่าเธอจะกลับมาแก้แค้นพวกเรา! เธอบอกเธอจะกลับมา! เธอบอกพวกเราดูหมิ่นเทพ! เธอเป็นลูกสาวของท่านเทพ! เธอกลับมาแล้ว!! กลับมาแล้ว!!”
“เหล่าหนิวอย่าทำให้คนอื่นกลัวสิ!”
“กลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว!” เหล่าหนิวกงกลับอ้าปากกว้างหอบหายใจเฮือกใหญ่ เบิกตากว้าง ทันใดนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีก
ทุกคนตกใจกลัว พอรีบดูปุ๊บ…เหล่าหนิวกงก็ขาดใจไปแล้ว!
“อาเป่ากง นี่…นี่ นี่พวกเราควรทำยังไงดี?”
ทุกคนมองไปทางผู้อาวุโสฟันร่วงหมดปากที่ถือไม้เท้าผู้นั้น แล้วอาเป่ากงพูดเสียงทุ้มต่ำ “พรุ่งนี้เช้า ถ้ายังคงมีคนป่วยเพิ่มเติมอีก พวกเราก็ลองทำตามวิธีเมื่อก่อนดูก็แล้วกัน!”
“อะไรนะ…”
“นี่…นี่ไม่ดีนะ!”
“อาเป่ากง พูดมั่วซั่วไม่ได้ แล้วก็ทำส่งเดชไม่ได้…สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่เป็นการทำความผิดนะ!”
อาเป่ากงสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ผิด แล้วเมื่อก่อนไม่ผิดเหรอ? เมื่อก่อนแกคิดว่าทหารรักษาการณ์พวกนั้นไม่รู้เรื่องที่เราทำเหรอ? พวกเขารู้! แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก! พวกเขาไม่มีทางจัดการพวกเราได้! พวกเขาจะจับพวกเราได้ยังไงล่ะ? จับพวกเราทั้งหมดเอาไว้เหรอ? ไม่ พวกเขาไม่กล้าหรอก! ถ้าจับพวกเราก็จะเกิดความวุ่นวาย! ตอนนี้ก็เหมือนกัน! โทษความผิดทำอะไรชาวบ้านไม่ได้!”
“ใช่! โทษความผิดทำอะไรชาวบ้านไม่ได้! พวกเราก็ไม่มีทางเลือก! พวกเราทำได้แค่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น!”
“ใช่ๆๆ! ถ้าเรื่องแบบนี้หายไป ก็หมายความว่าวิธีของเราถูกแล้ว! ถ้าหากไม่หาย…คนป่วยพวกนั้นจะแพร่เชื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ โยนคนทิ้งไป ก็ดีต่อคนรุ่นหลังของพวกเราไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ๆ มีเหตุผล”
“ใช่…”
“รอฟ้าสาง! แต่…แต่ถ้าจะทำตามวิธีตอนนั้นจริงๆ พวกเราจะไปหาคนจากที่ไหน?”
อาเป่ากงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งตอบ “ภรรยาของหลี่ว์ไห่ก็เป็นคนข้างนอกไม่ใช่เหรอ…”
*สามจิตเจ็ดวิญญาณ คือ สิ่งที่ประกอบให้เป็นคนสมบูรณ์