สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 20 ความหวังของคนแก่
ตลอดทางที่เดินขึ้นมา หลัวอ้ายอวี้ที่เดิมทีหวีผมเผ้าไม่ทันก็ยิ่งสกปรกและยุ่งเหยิง เธอล้มอยู่บนพื้นหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ว่าก็ถูกคนฉุดขึ้นมาอย่างป่าเถื่อนทันที
ความกลัวตลอดทาง ทำให้เถ้าแก่เนี้ยที่ยังหลงเหลือเสน่ห์อันน้อยนิดคนนี้บีบน้ำตาออกมา
ถนนสายนี้คือผาฟังเสียงคลื่น
เดิมทีหลัวอ้ายอวี้ไม่ได้รู้ว่าคนพวกนี้จับเธอมาที่แห่งนี้ทำไม จนถึงตอนนี้ถึงได้แกะผ้าปิดปากของเธอออก
“พวกชั่วนี่! ปล่อยฉันนะ! พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่!” หลัวอ้ายอวี้ร้องเสียงแหลมทันที
อาเป่ากงมองดูอยู่แวบหนึ่ง พูดอย่างเย็นชาว่า “รออีกเดี๋ยวเธอก็จะได้รู้แล้วล่ะ”
ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินมาทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง มือของคนพวกนี้ทุกคนกำลังเข็นรถเข็นวัสดุก่อสร้างคันหนึ่งอยู่ และบนรถเข็นก็ใส่คนไว้คนหนึ่งหรือสองคนเหมือนๆ กัน
ในรถเข็นวัสดุก่อสร้างหลายสิบคันล้วนแล้วแต่ใส่คนเอาไว้เต็ม สีท้องฟ้านี้ได้สว่างอย่างเต็มที่แล้ว
ตอนที่หลัวอ้ายอวี้เห็นว่าในรถเข็นวัสดุก่อสร้างกำลังบรรทุกคนไว้อยู่ ก็ตกใจจนหน้าถอดสีมือไม้แขนขาอ่อนทันที
แล้วคนวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินไปที่ข้างกายของอาเป่ากง “อาเป่ากง เอาตัวคนติดโรคมาหมดแล้ว!”
อาเป่ากงพยักหน้าพูด “ครอบครัวของพวกเขาล่ะ?”
คนวัยกลางคนตอบ “ตอนอยู่ที่คลินิก พวกเขาไม่เห็นด้วย แต่ว่าในคนพวกนี้จู่ๆ ก็มีคนติดโรคอีกแล้ว…ในตอนนี้พวกเขาก็เลยต้องจำยอม มีหลายคนที่คัดค้านไม่เลิก ก็ให้พี่น้องกำราบเอาไว้แล้ว ที่เหลือล้วนแต่ไม่กล้าพูด ครั้งนี้ไม่ได้มาด้วย บอกว่าไม่อยากดูภาพแบบนี้ แต่เพื่อเป็นการระวังไว้ ผมเลยให้คนเฝ้าคลินิกไว้แล้ว ไม่ให้คนออกมา”
อาเป่ากงพยักหน้า “ฉันดูฤกษ์ยามแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นฤกษ์ดีแล้ว พอถึงเวลาปุ๊บก็เซ่นไหว้เทพเจ้าทะเลเลยแล้วกัน”
“เซ่นไหว้? เซ่นไหว้อะไรกัน? พวกแกพูดให้ชัดเจน!” หลัวอ้ายอวี้รู้สึกไม่ดีเลย ถึงแม้ตลอดทางมานี้จะไม่รู้อะไรเลย แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ต่อไปเธอจะมีอันตรายมากกว่าใคร
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมาถึงตรงหน้าของหลัวอ้ายอวี้ แสยะยิ้มพูดขึ้นมาทันใด “แน่นอนว่าใช้เธอมาเซ่นไหว้เทพทะเลน่ะ! เห็นท่าทีของคนป่วยพวกนี้แล้วหรือยัง! มีเพียงเซ่นไหว้เธอให้เทพเจ้าทะเล ถึงจะปกป้องหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเราไว้ได้!”
“อะไรนะ!”
หลัวอ้ายอวี้ต่อสู้ดิ้นรนอย่างหวาดผวา เพียงแค่ผู้ชายกำยำสองคนจับเธอเอาไว้ เธอจะดิ้นหลุดออกมาได้อย่างไร? หลัวอ้ายอวี้อ้าปากด่าไปตรงๆ “พวกแกไอ้พวกสารเลว! ไอ้ชั่ว! ปล่อยฉัน! ปล่อยฉันนะ! ฉันจะหาหัวหน้าหมู่บ้าน! บอกเขาว่าพวกแกคิดจะฆ่าฉัน!”
“อย่าโวยวายไป!” คนวัยกลางคนส่งเสียงสบถ ชี้ไปที่รถเข็นวัสดุทางนั้นพลางพูดว่า “หัวหน้าหมู่บ้านก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน! เขาก็ติดโรคแล้ว!”
หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง จากนั้นก็รู้สึกหมดหวัง พยายามดิ้นรุนแรงยิ่งกว่าเก่า จึงถูกคนใช้ผ้ายัดปากไว้อีกครั้ง
เธอถูกกดเอาไว้กับพื้น ทำได้แค่ส่งเสียงร้องไห้อื้ออึงจากลำคอ เธอเนื้อตัวสั่นเทา ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
ในตอนนี้เองคนอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา
หลัวอ้ายอวี้เหมือนได้ยินเสียงของอู๋ชิวสุ่ยมาแต่ไกล เธอจึงเริ่มจุดประกายความหวังขึ้นมาใหม่
…
…
เริ่นจื่อหลิงเดินไปมาในห้องต้อนรับแขกเล็กๆ ของบ้านพักตากอากาศ
หลีจื่อมองดูจนตาลายเลยอดพูดไม่ได้ว่า “พี่เริ่น พี่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก…ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเราจริงๆ”
“เพราะอย่างนี้ถึงได้โมโหน่ะสิ!” เริ่นจื่อหลิงกัดฟันพูด “ยุคสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังมีคนแบบนี้อยู่ แล้วยังเป็นกลุ่มเดียวกันอีก??”
“ชู่ว์…เบาหน่อย” หลีจื่อพูดอย่างระวังว่า “อีอวิ๋นเพิ่งพยุงคุณปู่เธอเข้าห้องพักไป เด็กคนนี้พ่อหายตัวไป แม่ก็ถูกจับไป ซ้ำคุณปู่ยังเป็นแบบนี้อีก…”
เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ นี่ถึงได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่จนใจที่สุด
“กินอะไรหน่อยเถอะ”
ลั่วชิวกลับเดินออกมาจากห้องครัว มือกำลังถือถาดรอง ด้านบนวางหม้อดินสองหม้อเอาไว้ด้วย
“ฉันกินไม่ลงแล้วล่ะ!” เริ่นจื่อหลิงนั่งลง ท่าทางยังคงคับแค้นใจอยู่เต็มอก
ลั่วชิววางช้อนถ้วยชามและหม้อในถาดลงมา “โจ๊กเนื้อบดใส่ขิง ผมใส่กุ้งและเนื้อปลาแห้งลงไปอีกด้วย”
เริ่นจื่อหลิงเผลอกลืนน้ำลาย หลีจื่อยิ่งออกอาการมากกว่า มองหม้อด้วยดวงตาทอประกาย
“รอให้เย็นอีกหน่อยค่อยกิน” ลั่วชิวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่แง้มเปิดฝาหม้อออกนิดหน่อย แล้วถือหม้ออีกใบเดินขึ้นไปทางบันไดนี้”
“นี่ เจ้าเด็กนี่ เธอไปไหนน่ะ?”
“ส่งของกินไปให้คุณปู่หน่อยน่ะครับ”
เริ่นจื่อหลิงมองลั่วชิวเดินขึ้นไปตึ่งๆ ๆ ด้วยความตะลึงงัน เธออยากจะพูดอะไรบ้าง แต่ยังคงหุบปากเงียบ…เด็กคนนี้ดูแลคนอื่นเก่งจริงๆ
โยวเย่ก็ชอบเด็กคนนี้เพราะเหตุผลนี้น่ะเหรอ?
สำหรับคุณแม่จื่อหลิงแล้ว ลั่วชิวดีไปหมดทุกเรื่องนั่นแหละ แม้ว่าพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ดูออกว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์นะ…รองบรรณาธิการเริ่นที่เคยชินกับการจินตยาการไปเอง ก็ได้จ้องเขม็งทันที “หลีจื่อตักให้ฉันชามหนึ่ง!”
“เฮ้อ? พี่เริ่นไม่ได้บอกว่ากินไม่ลงเหรอ?”
“เธอไม่ต้องสนหรอก…จริงสิ แล้วโยวเย่ล่ะ? ไม่เห็นเธอมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ?”
“ฉันเหมือนเห็นเธอเดินกลับไปที่ห้องแล้ว” หลีจื่อพูดพร้อมกัดช้อน
“เฮ้อ…” เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ
เดิมที เธอคิดจะอาศัยโอกาสนี้ดูแฟนสาวของลั่วชิวให้ดีๆ และถือโอกาสเชื่อมความสัมพันธ์ จัดวันครอบครัวสักครั้งที่ไม่ได้มีมานานแล้ว กลับไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้
เด็กสาวที่ชื่อโยวเย่คนนี้ตกใจกลัวไปแล้วหรือเปล่า…เริ่นจื่อหลิงกำลังคิดอย่างเผลอไผล ก่อนส่งโจ๊กร้อนๆ เข้าไปในปากคำหนึ่ง
“โอ๊ย! ลวกจะตายแล้ว!” เริ่นจื่อหลิงแลบลิ้นออกมา ใช้ฝ่ามือพัดวีอย่างแรงและเร็ว
หลีจื่อกลับหัวเราะก๊าก กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“เธอหัวเราะอะไร? ไม่เคยเห็นคนลิ้นโดนลวกเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงมองค้อนทันที
หลีจื่อส่ายหน้าพูด “ไม่ใช่เรื่องนี้ซะหน่อย แค่ฉันคิดว่า ‘ลูกชายคนโต’ ของพี่คนนี้เข้าใจพี่มากกว่าตัวพี่เองซะอีกนะพี่เริ่น เขาบอกไว้แล้วว่าให้เย็นหน่อยพี่ค่อยกิน แล้วพี่ก็ยังพลาดจริงๆ”
เริ่นจื่อหลิงขายหน้าอย่างมาก
…
แอ๊ด
วินาทีที่ประตูห้องเปิดออก หลี่ว์อีอวิ๋นพลันนิ่งอึ้ง มองลั่วชิวด้วยสีหน้าเก้ๆ กังๆ …มองเขาที่ถือถาดอยู่
“ผมเข้าไปได้ไหม?”
“อ้อ…ค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้า
สีหน้าของเธอยังคงดูไม่ค่อยดีนัก เธอกำลังมองลั่วชิวเดินเข้ามา นี่คือห้องของหลี่ว์ปู้ไห่ เป็นห้องที่เรียบง่ายมากๆ
ตอนนี้หลี่ว์ปู้ไห่เพียงแค่นั่งมองดูทะเลนอกหน้าต่างอยู่ตรงปลายเตียงเงียบๆ
คนแก่คนนี้มีตัวอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับไม่ได้อยู่ที่นี่
ลั่วชิวเดินมาถึงข้างกายหลี่ว์ปู้ไห่ มองดูอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็มองหลี่ว์อีอวิ๋นอีกแวบหนึ่ง ตอนนี้สาวน้อยรีบเดินมา รับถาดจากมือลั่วชิวไป แสดงรอยยิ้มฝืนๆ พลางพูดว่า “ลำบากคุณแล้วค่ะ เดิมทีคุณต่างหากที่เป็นลูกค้า”
“ผมรับแขกจนชินแล้วครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเบา
หลี่ว์อีอวิ๋นไม่รู้จะตอบโต้คนที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นคนนี้ได้เลย จึงก้มหน้าลงคนโจ๊กที่อยู่ในจาน
เธอตักออกมาบางส่วน ตัวเองชิมรสชาติและความร้อนเล็กน้อย แล้วสาวน้อยก็ต้องตะลึงงันไปเลย
“ไม่ถูกปากเหรอครับ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูด “เปล่าค่ะ อร่อยกว่าที่ฉันทำอีก…แต่ถ้าไม่มีผักดอง คุณปู่ฉันก็จะไม่ยอมกินทั้งนั้น”
“อืม ผมจะไปทำมาให้นะครับ” ลั่วชิวพยักหน้า
หลี่ว์อีอวิ๋นรีบพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน…เดี๋ยวฉันกลับมา”
หลี่ว์อีอวิ๋นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ความจริงเขาเห็นผักดองจานเล็กๆ ที่หั่นไว้ดีแล้วอยู่ข้างหม้อดินตั้งนานแล้ว เจ้าของร้านลั่วผู้ที่เห็นแต่ไม่ยอมเอามาก็สังเกตห้องของหลี่ว์ปู้ไห่ไปทั่ว
ที่นี่มีแค่ภาพร่างง่ายๆ อย่างเดียว เป็นภาพที่แขวนไว้บนกำแพงทั้งสี่มุม
พวกมันเริ่มเหลืองไปบ้างแล้วเล็กน้อย
หลี่ว์ปู้ไห่ยังคงมองทะเลนอกหน้าต่างอย่างล่องลอย แต่ได้สติกลับมาบ้างแล้ว โดยเนื้อแท้แล้วเขายังเป็นไม้ใกล้ฝั่งคนนั้นซึ่งพ่วงโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
ลั่วชิวเดินมาที่ด้านหนึ่งของกำแพง แล้วเดินลูบกระดาษวาดรูปที่คล้ายกันพวกนี้ทีละภาพ
“ทำไมถึงไม่วาดพวกมันให้เสร็จล่ะครับ?”
ถ้าหากคนแก่ยังจำได้ล่ะก็ เขาจะจำเวลาที่พบกันครั้งแรกได้ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
หลี่ว์ปู้ไห่ที่เงียบไม่ขยับเขยื้อน เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาค่อยๆ หันหน้ามา วินาทีที่สายตาฝ้าฟางประสานกับสายตาของลั่วชิว สายตาของหลี่ว์ปู้ไห่ก็กลับมาชัดเจนเล็กน้อย
“ช่วยเธอ ช่วยเธอ…”
เขาพูดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่าตัวเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่บ้างกันแน่
ตาทั้งสองของหลี่ว์ปู้ไห่กำลังกลับไปมืดมน แล้วมองไปยังทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั้นอีกครั้ง
แต่ว่าม้วนหนังแกะเก่าแก่ม้วนหนึ่งกลับค่อยๆ คลี่ออกมาตรงหน้าเขา
เมื่อฝ่ามือกดลงไปบนม้วนหนังแกะ แสงสว่างสุดท้ายในสายตาของหลี่ว์ปู้ไห่พลันก็หายไป เขากลับไปนั่งที่ลานหญ้านั้นอีกครั้ง ด้วยท่าทางหันไปทางทะเลกำลังวาดภาพ
แต่ตาทั้งสองกลับเปลี่ยนไปเป็นฝ้าฟาง