สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 22 เมฆหนาราวกับน้ำลึก
ยามนี้แววตาของสาวน้อยราวกับคลื่นยักษ์บนผิวน้ำทะเลที่ลมพัดพามา
เพียงไม่นาน หลี่ว์อีอวิ๋นก็เดินเข้ามาใกล้ลั่วชิว ในระยะห่างเจ็ดเซนติเมตรนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมา พร้อมถามว่า “ทำไมคุณถึงช่วยฉันล่ะคะ? คุณรู้ไหมว่าฉันคิดจะทำอะไร?”
ลั่วชิวตอบ “ผมไม่สนว่าคุณจะทำอะไร”
หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าลง พูดขอบคุณมาคำหนึ่ง
ในที่สุดสาวน้อยก็เริ่มขยับตัว เธอยื่นมือขวาออกไปคว้าชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรู้จักไม่ถึงสามวัน
แขนอันบอบบางแรงเยอะอย่างคาดไม่ถึง เธอยกชายโตเต็มวันคนหนึ่งขึ้น แล้วเหวี่ยงให้ล้มลงไปบนสนามหญ้า
ลั่วชิงเหมือนจะสลบเพราะแรงเหวี่ยงนี้ สาวน้อยมองลั่วชิวที่หลับตาสองข้างอยู่บนพื้น แล้วอ้าปากกว้างสูดเอาลมเค็มๆ ริมทะเลเข้าไปเฮือกหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมาที่นี่ไม่เคยขาดลมทะเล
หลี่ว์อีอวิ๋นเสยผมเล็กน้อย พึมพำเสียงเบาว่า “แต่ฉัน…ไม่ต้องการคนช่วย”
ที่นี่เป็นแนวสันเขา ด้านหลังบ้านพักตากอากาศก็เป็นถนนสายเล็กๆ บนภูเขา เดินขึ้นไปตามทางสักพัก ก็จะเห็นบ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง
หลี่ว์อีอวิ๋นอุ้มตัวลั่วชิวเข้ามาในบ้านไม้เล็กๆ หลังนี้ แล้วใช้เชือกป่านใหญ่หนาพิเศษหนึ่งเส้น พันมัดตัวคนไว้กับเสาไม้ค้ำบ้านต้นหนึ่งหลายรอบ
สาวน้อยคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ก่อนหยิบโทรศัพท์ของเขามา วางไว้ในตำแหน่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง แล้วถือโอกาสปิดเครื่องไป
หลังจากที่เธอตรวสอบจนแน่ใจแล้วว่ารอบตัวลั่วชิวไม่มีสิ่งใดช่วยเขาหลบหนีไปได้ ถึงได้ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง พูดเสียงเบาว่า “พี่ชาย ช่วยรออยู่ที่นี่เฉยๆ สักสามสี่วันนะ…แค่สามสี่วัน”
…
…
“เฮ้อ…อิ่มจริงๆ”
หลีจื่อลูบท้องพิงพนักเก้าอี้ เลียริมฝีปากตนเองไม่จบไม่สิ้น เรอแล้วก็พูดว่า “พี่เริ่น ฉันนับถือพี่เลย!”
เริ่นจื่อหลิงวางชามลง ถามอย่างงงงัน “นับถืออะไรฉัน?”
“กินแล้วไม่อ้วนไง!” หลีจื่อกะพริบตาตอบ “พี่ดูสิ ลั่วชิวของพี่นี่ได้ทักษะพ่อครัวมาเต็มๆ เลยสินะ? อาหารที่ทำมาอร่อยขนาดนี้ แต่หลายปีมานี้พี่กลับไม่อ้วนขึ้นเลยสักนิด พี่ว่าถ้าฉันไม่นับถือพี่ แล้วฉันจะไปนับถือใคร?”
“ไปๆ ๆ” เริ่นจื่อหลิงโบกไม้โบกมือ
ในตอนนี้เองหลี่ว์อีอวิ๋นก็เดินเข้ามาพอดี เริ่นจื่อหลิงจึงถามด้วยความอยากรู้ “เอ๊ะ? ทำไมเธอกลับมาจากข้างนอกล่ะ เมื่อกี้เพิ่งเห็นเธอขึ้นข้างบนไปไม่ใช่เหรอ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “อืม ฉันลงมาจากบันไดเล็กๆ ตรงระเบียงนั่นค่ะ…เมื่อกี้เหมือนเห็นคน ฉันเลยนึกว่าพ่อกลับมาแล้ว แต่ฉันมองผิดไปค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงพูดปลอบใจ “ไม่มีอะไรหรอก พ่อเธอต้องกลับมาแน่ๆ”
เพื่อเลี่ยงไม่ให้สาวน้อยคนนี้เสียใจมากกว่าเดิม เริ่นจื่อหลิงจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย “จริงสิ เมื่อกี้เห็นลั่วชิวก็เดินขึ้นข้างบนไปแล้วเหมือนกัน เธอเห็นเขาบ้างหรือเปล่า? เขาอยู่ไหน?”
หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “คุณลั่วบอกว่า มีธุระนิดหน่อย แล้วก็ออกไปแล้วค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน ขมวดคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา…ยังไม่ทันไร คิ้วของเริ่นจื่อหลิงก็ขมวดแน่นกว่าเดิม “ปิดโทรศัพท์ไปแล้ว เจ้าเด็กนี่มีเรื่องอะไรกันแน่?”
“พี่เริ่น เขาโตขนาดนี้แล้ว พี่ยังจะห่วงอะไรอีก?” หลีจื่อบอก
เริ่นจื่อหลิงตอบว่า “ถ้าเป็นที่อื่นก็ยังดี แต่หมู่บ้านนี้แปลกมากๆ …จะว่าไป มีอย่างที่ไหนทิ้งแฟนสาวตัวเองไว้ ส่วนตัวเองออกไปข้างนอกคนเดียว ไม่รู้ว่าไปทำอะไร…ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องไปดูหนูโยวเย่สักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าตกใจแย่แล้วหรือเปล่า!”
เรื่องนี้ล่ะก็ กระตือรือร้นเชียวนะ
หลีจื่อเห็นเริ่นจื่อหลิงวิ่งออกไปราวกับพายุก็ส่ายหน้า ถอนหายใจ “ห่วงโอเวอร์เกินไปจริงๆ ถึงจะเป็นญาติกันแท้ๆ ก็ไม่เคยเห็นว่าจะเอาใจใส่ขนาดนี้เลยนะ? ความสัมพันธ์แม่ผัวลูกสะใภ้หลังจากนี้คงราบรื่นดีเลยล่ะ!”
“แม่ผัวลูกสะใภ้?” หลี่ว์อีอวิ๋นอ้าปากค้าง…เธอไม่ได้ฟังผิดนะ?
หลีจื่อยิ้มแล้วมองสาวน้อย อธิบายความสัมพันธ์ให้ฟังอย่างง่ายๆ
หลี่ว์อีอวิ๋นมองไปทางที่เริ่นจื่อหลิงจากไป พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันยังนึกว่าเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเสียอีกคะ ไม่นึกว่า…”
…
หลายคนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันแหละ
หลีจื่อแอบยิ้มเงียบๆ คนที่อยู่ในช่วงวัยที่งดงามอย่างเริ่นจื่อหลิง กลับยืนหยัดเลี้ยงดูลูกติดของสามีมาโดยตลอด มีใครไม่ตกใจบ้าง?
มีกี่คนแล้วที่มองตาค้อน มีกี่คนแล้วที่เจตนาไม่ดีเคยหาข้อมูลมาอย่างละเอียดอีก เพียงแต่ผ่านมาหลายปีแล้ว เริ่นจื่อหลิงยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
แม้แต่มุมของคนทั่วไป ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก แล้วนับประสาอะไรกับมุมมองของปีศาจล่ะ?
เธอเป็นสายอาหาร และทำงานในวงการนิตยสาร ทุกครั้งเวลาเธอเห็นเริ่นจื่อหลิงยิ้มเยาะให้กับพวกมองค้อนมองบนพวกนั้น มักจะรู้สึกได้ว่ามีเสน่ห์บางอย่าง
เธอปีศาจน้อยซึ่งชอบของกิน ผู้ช่วยตัวน้อยในวงการนิตยสาร ก็รู้สึกว่างานในตอนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
แน่นอนว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเหตุผลที่จะอยู่กับพี่เริ่นเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว
ผู้ช่วยตัวน้อยผู้ซึ่งไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็เลียริมฝีปาก แล้วมองหม้อตุ๋นที่ถูกจัดการจนสะอาดเกลี้ยง
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ฉันนะคะ” หลี่ว์อีอวิ๋นหันกลับมาบอก
“อ๋อ เอาเลย” หลีจื่อพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
ปังๆ ปังๆ ๆ ปัง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น ทั้งสองคนนิ่งตะลึง ตอนที่เปิดประตู คนที่เห็นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอู๋ชิวสุ่ยนี่เอง!
…
ท่าทางของเลขากรรมการหมู่บ้านคนนี้ดูรีบร้อนแปลกๆ วินาทีที่เพิ่งเปิดประตู เขาก็มองหลี่ว์อีอวิ๋น แล้วรีบถามอย่างรวดเร็ว “แม่ของเธอกลับมาหรือยัง?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดด้วยความตื่นตะลึงประหลาดใจ “เลขาอู๋ เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าคุณ…คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ฉันใช่ไหมคะ?”
“ไม่ได้กลับมาเหรอ?” อู๋ชิวสุ่ยขมวดคิ้ว แล้วก็พูดด้วยความรีบร้อน “เมื่อกี้พวกเรารีบไปผาฟังเสียงคลื่น แล้วก็เห็นคนกลุ่มนั้นพอดี ผมกำลังคิดว่าจะไปเจรจากับพวกเขา…”
อู๋ชิวสุ่ยถอนหายใจพลางพูดว่า “พูดไปแล้วก็น่าละอายใจจริงๆ การเจรจาล้มเหลวแล้ว เฮ้อ เลขากรรมการหมู่บ้านอะไรกัน ไม่เคยเห็นใครไร้ความสามารถอย่างผมเลย ขอโทษนะ”
หลี่ว์อีอวิ๋นตื่นตระหนกจับแขนเสื้ออู๋ชิวสุ่ยไว้แน่น “งั้น งั้นแม่ฉัน เธอก็…”
“เธอไม่เป็นอะไร” อู๋ชิวสุ่ยตอบ “ต่อมาเธอได้รับความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
หลีจื่อถามด้วยความงงงัน “เด็กหนุ่มคนหนึ่ง?”
อู๋ชิวสุ่ยพยักหน้าตอบ “ใช่น่ะสิ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ย้อมผมสีทอง บนแขนเหมือนมีรอยสักอันหนึ่ง แต่ในที่เกิดเหตุชุลมุนมาก ผมมองเห็นไม่ชัด”
“เลขาอู๋คะ คุณพอจะบอกสถานการณ์ตอนนี้ให้ละเอียดได้ไหมคะ?”
แล้วเริ่นจื่อหลิงก็โผล่มาจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่นู้ กำลังขมวดคิ้วถาม
“พี่เริ่น!” หลีจื่อร้องเรียกขึ้นมา
เริ่นจื่อหลิงบอก “โยวเย่อยู่บนเตียง น่าจะหลับไปแล้ว ฉันไม่อยากปลุกเธอ…พูดเรื่องเร่งด่วนดีกว่า เมื่อกี้บอกว่าใครช่วยเถ้าแก่เนี้ยมานะคะ?”
อู๋ชิวสุ่ยพูดต่อ “ผมก็ไม่รู้จักเหมือนกันครับ ไม่เคยเห็นนี้มาก่อน น่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านหลี่ว์ เด็กรุ่นใหม่คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่ทันไรก็ซัดคนไปกองอยู่กับพื้นแล้ว แต่เหมือนพะว้าพะวังอะไรอยู่ ถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักเลย จนกระทั่งกลุ่มพรรคพวกอาเป่ากงกรูกันเข้ามาแล้ว เจ้าเด็กรุ่นใหม่นั่นเห็นว่าไม่มีทางเลือก ก็ด่าด้วยความโกรธไปชุดใหญ่ หลังจากนั้นก็หิ้วแม่ของคุณด้วยแขนข้างเดียว ฝ่ากลุ่มคนออกมาแล้วมุ่งหน้าลงเขาหลบหนีไป ผมนึกว่าเขาจะพาแม่ของคุณกลับมาที่นี่ก่อน ก็เลยรีบตามมาดูสักหน่อย”
“ที่เขาด่าคืออะไร?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วถาม
อู๋ชิวสุ่ยมองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่ง แล้วอธิบายแบบขอไปที “ไม่มีอะไร ก็แค่ด่าว่าพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรมอะไรแบบนั้นไปสามสี่คำ”
เริ่นจื่อหลิงรู้ว่าถามมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเจ้าเลขากรรมการหมู่บ้านนี่มัวแต่กังวลว่าจะพูดให้หมู่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง เพียงแต่ในความคิดของเธอแล้ว เขากำลังหลอกตัวเองอยู่
แต่คนรุ่นใหม่ผมสีทอง บนแขนมีรอยสัก…เจ้าหมอนั่นที่พวกเธอเคยเจอในบ้านพักตากอากาศนี่?
เริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อสบตากันแวบหนึ่ง
ฉับพลันนั้นเอง เสี่ยวตู้ก็รีบวิ่งเข้ามาข้างในอย่างร้อนรน พูดอย่างลนลานว่า “ท่านเลขา! อาเป่ากงพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาแล้ว! ผมเห็นในมือพวกเขาถือจอบเคียวด้วย…คนพวกนี้เลวร้ายเกินไปแล้ว!”
“อะไรนะ!?” อู๋ชิวสุ่ยตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!
…
…
เชือกราวกับงูที่ขยับตามเสียงเป่าขลุ่ย ค่อยๆ คดงอคดเคี้ยว แล้วก็คลายออกอย่างสบายๆ
ลั่วชิวลุกขึ้นยืน พิจารณาบริเวณรอบๆ บ้านไม้เล็กหลังนี้
แล้วตอนนี้เองประตูบ้านไม้เล็กๆ ก็เปิดออก
นั่นคือคุณสาวใช้แห่งสมาคม…สองมือของโยวเย่กำลังยกกล่องลังเก่าๆ ใบหนึ่ง
ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าโยวเย่ เปิดกล่องออก ฉีกผ้าสีขาวซึ่งเหมือนกับธงประจำชาติผืนนั้นขาด มองดูหลอดทดลองเล็กๆ แต่ละหลอดซึ่งอยู่ในช่องจำนวนมากมาย
เจ้าของร้านลั่วยื่นมือหยิบหลอดหนึ่งออกมา เขย่าๆ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ใช้หมดแล้วสินะ”