สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 28-1 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน
นานมาแล้ว นานมากแล้ว น่าจะก่อนกำเนิดหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์แห่งนี้เสียอีก
คนเก่าแก่เล่ากันว่า ในทะเลมีเทพ มันทั้งเมตตากรุณา และดูแลหมู่บ้านแห่งนี้อย่างดี
มันทำให้หมู่บ้านคลื่นลมสงบ แล้วก็ทำให้ชาวประมงเก็บเกี่ยวทำมาหากินได้
เป็นแบบนี้เหรอ?
ตั้งแต่ตอนเด็กๆ หลี่ว์ปู้ไห่ใฝ่ฝันว่าจะได้มองดูทะเล และพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกได้ทุกวัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่…โดยเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน เขามักชอบนั่งที่ชายหาดคนเดียว เขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติมากมายนัก ตัวอักษรก็รู้จักไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อของตนเองเป็นแล้ว เขามักจะครุ่นคิดว่าทะเลมีอะไรอยู่กันแน่
จนกระทั่งถึงตอนนั้น วินาทีที่พระอาทิตย์ตกดิน คลื่นทะเลซัดเธอมาถึงตรงหน้าหลี่ว์ปู้ไห่ ราวกับว่าจินตนาการของเขาได้หยุดลง
ทะเลมีอะไรอยู่กันแน่? ชาวประมงหนุ่มแค่อยากรู้ แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ถูกคลื่นทะเลซัดมา ดึงดูดความสนใจเขาไว้
หลังจากสลบไปสามวันสามคืน ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกตัวแล้ว
“คุณเป็นใคร…แล้วฉันเป็นใคร?”
นี่คือวินาทีที่เขาและเธอประสานสายตากันเมื่อหลายปีก่อน หลี่ว์ปู้ไห่ราวกับมองเห็นทะเลลึกในดวงตาของเธอ ก็มิปาน
เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จากนี้จะเริ่มจดจำเขา
ส่วนเขาเคยมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับบอกตนเองเงียบๆ ว่าเก็บเธอไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว
“สุ่ยเอ๋อร์…คุณโผล่มาจากทะเล ดังนั้นก็เรียกสุ่ยเอ๋อร์แล้วกันนะ?” เขาพูดพลางยิ้มซื่อๆ
…
เขาเป็นคนในหมู่บ้านชาวประมงนั่น และเธอก็กลายเป็นภรรยาประมงหนุ่มคนนี้ ชีวิตเรียบง่าย เพียงแค่เปลี่ยนจากตัวคนเดียวไปเป็นสองคน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่โดดเดี่ยวแล้ว
สุ่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดลูกคนหนึ่งกับเขา ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาซึ่งเป็นคนไม่รู้หนังสือจึงลบชื่อตรงกลางของตัวเองออก แล้วใช้ตั้งชื่อลูกชาย
เขามองภรรยาของตนเอง พลางยิ้มซื่อๆ แล้วพูดว่า “คุณคือสุ่ยเอ๋อร์ เขาคือไห่เอ๋อร์ ชื่อเข้ากันเลย!”
“อย่างนี้ก็กลายเป็นไห่สุ่ยแล้วล่ะ! ไม่เพราะเลย!”
ครอบครัวเรียบง่ายมีสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเรียบง่ายอย่างไรอีกก็มีความครึกครื้นบ้างเล็กน้อย
…
ต่อมาไม่รู้เริ่มขึ้นตอนไหน แววตาของหญิงสาวที่ลืมทุกอย่างและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคนนี้กลับเปลี่ยนไป
สายตาของเธอยังล้ำลึกเหมือนเดิม แต่เขากลับรู้สึกได้ว่า ในคลื่นสงบสุขนี้เหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ
เขารู้ว่าเธอชอบดอกดาวสีฟ้า ก็เลยปลูกไว้มากมาย
…
มีวันหนึ่ง เธอบอกเขาว่า เธอไม่ใช่คนที่นี่…เธอบอกว่าเธอเริ่มจำเรื่องบางอย่างได้ เธอยังบอกว่าเธอเป็นคนมีที่มาไม่ชัดเจน
ตอนนั้นชีวิตน้อยๆ ในครอบครัวก็อายุครบเจ็ดขวบ เป็นเด็กเริ่มรู้ความแล้ว เขาอยากปกป้องครอบครัวนี้ ดังนั้นเขาเลยบอกเธอ ถ้าเธอไม่ใช่คนที่นี่ อย่างนั้นเขาก็จะไปจากที่นี่เป็นเพื่อนเธอแล้วกัน?
อย่างไรตอนที่แต่งงาน ก็ไม่มีชาวบ้านสนับสนุนสักคน ไม่ว่าจะอยู่หรือไปก็ไม่ต่างกัน
เขาก็เลยยังยิ้มซื่อๆ พลางถามเธอว่า “คุณอยากไปไหน?”
เธอมองไปที่ทะเลอย่างเหม่อลอย เธอนั่งแกร่วอยู่ที่ชายหาดด้วยเท้าเปล่าเปลี่ยน มองดูพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า พร้อมพูดเสียงเบาๆ ว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากกลายเป็นปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่ในทะเล’
หลี่ว์ปู้ไห่กลับยิ้มพูดว่า “ยัยทึ่ม คนจะกลายเป็นปลาได้ยังไง แต่ถ้าเธออยากออกทะเลล่ะก็ ฉันจะต่อเรือประมงสักลำแล้วกัน! เรือที่ให้คนทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันได้…”
สองมือเขาวาดมือเป็นรูปโค้งใหญ่ๆ อันหนึ่ง หัวเราะร่าแล้วบอกว่า “เรือลำใหญ่ๆ เลย!”
เธอซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา ยิ้มน้อยๆ มองดูแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะหายไปที่ปลายสุดขอบฟ้า
…
…
เสียงลมพัดหวีดหวิว ที่นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ผาฟังเสียงคลื่นที่ถูกผลักดันให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานถล่มลงมาเพราะฟ้าผ่า
ที่นี่ทุกวันนี้ เป็นเพียงแค่หน้าผาสูงชันที่พังทลาย
“ข้างหน้าไม่มีทางไปแล้ว ส่งยาต้นไวรัสมาเถอะ”
มั่วมั่วมีแสงสีทองพันรอบนิ้วมือ “ขอเพียงเธอส่งยามา เรื่องนี้ฉันไม่ยุ่งก็ได้ แต่เธอต้องรับปากฉัน ให้ฉันกำจัดรากของมารบนตัวเธอ!”
หลี่ว์อีอวิ๋นมองดูทะเล
ตั้งแต่ข้างบนจนถึงตรงนี้ เธอก็มองดูทะเลอยู่ตลอด
เธอกางแขนสองข้างออก หันหน้าไปทางทะเล
ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินคำพูดของมั่วมั่ว แค่มองไปไกลๆ อย่างเหม่อลอย
มั่วมั่วกลับไม่กล้าบุ่มบ่าม เขากลัวจริงๆ ว่าสาวน้อยคนนี้จะโยนหลอดทดลองทิ้งหน้าผาไปในทันที…ข้างล่างก็เป็นทะเลและหินโสโครกสะเปะสะปะ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะคว้าเอากลับมาได้
แน่นอนว่า ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ เพียงสาวน้อยคนนี้ออกแรงน้อยๆ หลอดทดลองก็แตกได้แล้ว
หลี่ว์อีอวิ๋นหันกลับมา
ลูกตาของสาวน้อยเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ของทะเล เธอมองมั่วมั่ว บอกเขาว่า “อย่าเข้ามานะ ฉันไม่รับปากคุณหรอก”
“ถึงแม้คนพวกนั้นมีความผิด แต่ไม่ใช่ความผิดถึงตาย” มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แววตาของสาวน้อยกลับขมขื่น มือของเธอกุมหน้าผากไว้ แล้วตะโกนเสียงดัง “งั้นใครจะช่วยฉัน!! คุณเหรอ? พวกเขาผิดไม่ถึงตายก็ควรปล่อยพวกเขาไป แล้วฉันล่ะ? ใครเคยปล่อยฉันไปบ้าง?!”
“ใจเย็นๆ ก่อน! ปีศาจในตัวเธอจะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเธอไป!” มั่วมั่วขมวดคิ้วพูด “อย่าให้ปีศาจพวกนี้เอาชนะตัวตนของเธอได้!”
“ใจเย็นๆ ๆ …นอกจากให้ฉันใจเย็น คุณยังทำอะไรได้อีก?” แววตาของหลี่ว์อีอวิ๋นพลันดุดัน
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อราวกลีบดอกซากุระเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม
“ฉันเป็นปีศาจนี่! เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ผิดไปหมดใช่ไหม? คนพวกนั้นเป็นมนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าทำผิดอะไร ก็ให้อภัยได้ทั้งนั้น ใช่ไหม? คุณก็เหมือนกับคนพวกนั้น ดีแต่พูดคุณธรรมเมตตา ก็แค่คุณธรรมจอมปลอมทั้งนั้นแหละ!”
เสียงดังแสบทะลุแก้วหูดังออกมาจากปากของหลี่ว์อีอวิ๋น
มั่วมั่วคิดในใจว่าคงซวยคนเดียวแล้วล่ะ ตอนนี้สาวน้อยคนนี้กำลังกลายร่างเป็นปีศาจด้วยความเร็วที่น่ากลัว…ความเร็วระดับนี้ไม่มีทางหวนกลับอีกแล้ว ในที่สุดก็ถูกปีศาจครอบงำจิตใจไปหมดแล้ว
มั่วมั่วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พูดเสียงทุ้มต่ำ “ในเมื่อเธอไม่ฟัง งั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!”
มั่วมั่วเริ่มร่ายคาถาสั่งดวงวิญญาณเสือร้าย ฉับพลันนั้นเสือร้ายแสงสีทองหลายตัวก็พุ่งไปตรงหน้าหลี่ว์อีอวิ๋นด้วยความเร็วสูงสุด
ปรมาจารย์หนุ่มออกแรงเต็มที่ไม่เหมือนกับเมื่อหลายสิบนาทีก่อนโดยสิ้นเชิง ความเร็วของเสือร้ายเพิ่มขึ้นมาในทันที เร็วกว่าการตอบสนองของหลี่ว์อีอวิ๋นอีก เสือร้ายแสงสีทองหลายตัวงับสองแขนสองขาของสาวน้อยไว้
ความเจ็บปวดที่มาจากคมเขี้ยวซึ่งฝังลึกบนตัวสาวน้อยนั้น ทำให้เธอส่งเสียงกรีดร้องแหลมด้วยความเศร้ารันทด
“ฉันจะถามเธออีกครั้ง! เธอจะกลับตัวหรือไม่!” มั่วมั่วพูดเสียงเข้ม
แต่อีกฝ่ายกลับมองด้วยแววตาอาฆาตแค้นรุนแรงกว่าเดิม
มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สองนิ้วเขาคีบยันต์คาถาสีแดงเข้มแผ่นหนึ่งโดยไม่ลังเล ก่อนยื่นออกมาช้าๆ มีบางอย่างพุ่งออกมาจากยันต์คาถาสีแดงเข้มแผ่นนี้ในชั่วพริบตา
นั่นก็คือสายฟ้า
ผ่าลงบนตัวหลี่ว์อีอวิ๋น ซึ่งอาจทำให้ปีศาจน้อยที่ยังไม่ได้มีฤทธิ์มากนักตนนี้ถึงแก่ชีวิตได้เลย
ในวินาทีที่ฟ้าผ่าลงมา มั่วมั่วก็ปิดตาของตนเองไว้เช่นกัน พูดเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ”