สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 3
เจ้าของที่เปิดกิจการบ้านพักตากอากาศคือสามีภรรยาคู่หนึ่ง และยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน ชายเจ้าของบ้านพักตากอากาศชื่อหลี่ว์ไห่ และภรรยาของเขา หลัวอ้ายอวี้
ส่วนลูกสาวก็คือ หลี่ว์อีอวิ๋น เพราะเพิ่งเสร็จจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้จึงถือโอกาสช่วงปิดเทอมหน้าร้อนมาช่วยงานในบ้านพักตากอากาศที่ครอบครัวตนเองเปิดกิจการ
ชายเจ้าของบ้านพักตากอากาศรับผิดชอบเรื่องอาหาร ความจริงแล้วก็คือเชฟ ส่วนภรรยาและลูกสาวก็รับผิดชอบเรื่องต้อนรับแขก
อีกทั้งยังมีพนักงานอีกคนหนึ่ง น้าผู้หญิงที่อายุสี่สิบกว่าปี รับผิดชอบงานทำความสะอาดเบ็ดเตล็ดทั่วไป
นี่ไม่ใช่บ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่อะไร แม้ว่าบริเวณรอบๆ ก็มีบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่เหมือนกัน แต่ตำแหน่งที่บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ตั้งอยู่ดูเหมือนจะห่างออกไปลับตาคนอยู่บ้าง รอบๆ ทั้งสี่ทิศโดดเดี่ยววังเวง นอกจากทะเลแล้วก็เป็นหน้าผา
นับว่าเป็นบ้านพักตากอากาศรูปแบบกิจการในครัวเรือนเล็กๆ เลย ในส่วนบ้านที่ไว้ใช้ลงทะเบียนเข้าพักน่าจะดัดแปลงจากบ้านพักสมัยก่อน หลังจากนั้นก็สร้างบ้านพักที่มีสามชั้นสามหลังตั้งห่างๆ กันไว้ด้านหลัง ระหว่างบ้านพักมีสวนย่อมเล็กๆ แห่งหนึ่ง นับว่าดูแลได้สะอาดทีเดียว
ลมทะเลมีกลิ่นเค็มจางๆ พัดโชยขึ้นมาในบริเวณสวน พอจะพัดโชยกลิ่นดอกดาวสีฟ้าเล็กๆ ที่ปลูกไว้ในสวนเล็กลอยโชยมาตามลม
ลานบ้านที่เต็มไปด้วยดอกดาวสีฟ้ากระจายเป็นหย่อมๆ สีเขียวสีฟ้าตัดกัน ดูราวกับทะเล
“บ้านพักทางฝั่งนี้มองเห็นทะเลได้ด้วย ทุกท่านพอใจไหมคะ?” เถ้าแก่เนี้ยหลัวอ้ายอวี้กำลังนำพวกลั่วชิวมาถึงสถานที่พักแรม
ถือว่ากระตือรือร้นพอสมควร
ส่วนเจ้าของบ้านพักตากอากาศหลี่ว์ไห่กลับค่อนข้างนิ่งเงียบไปบ้าง แต่ก็รักษามารยาทพื้นฐานไว้อยู่ ได้ยินหลีจื่อเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เชิญแขกจนการติดต่อพูดคุยกับลูกค้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยทำเองทั้งหมด
หลัวอ้ายอวี้เห็นดังนั้นก็รีบฉีกยิ้มพูดว่า “ทุกท่านอย่าถือสาเลยนะคะ นิสัยตานี่ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ แต่อาหารที่เขาทำอร่อยมากเลย แถวนี้ไม่มีใครเทียบได้หรอกค่ะ”
ตอนผ่านหมู่บ้านแถวๆ นี้ ลั่วชิวเคยเห็นป้ายป้ายหนึ่ง เขียนตัวอักษรไว้ไม่กี่ตัวว่า ‘หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์’ แต่เถ้าแก่เนี้ยแซ่หลัว ลองคิดดูแล้วคงแต่งงานย้ายเข้ามาที่นี่ล่ะมั้ง
บ้านพักบ้านพักตากอากาศหลังนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากสถานที่พักตากอากาศอื่นๆ อันที่จริงสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้นับว่าดีอะไรมากมาย แล้วที่บอกว่ามองเห็นทะเลได้ ที่จริงก็ถูกหน้าผาข้างหน้าบังวิวไปแล้ว
ถ้าจะบอกว่ามีอะไรพิเศษก็น่าจะเป็นความเงียบสงบกำลังดี
“อีอวิ๋น ลูกต้อนรับแขกอยู่ที่นี่นะ แม่จะไปชงชามาสักหน่อย”
สาวน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ เรียนหนังสือก็เรียนอยู่ที่เมืองเล็กใกล้ๆ นี้ ปกติปิดเทอมแล้วก็จะกลับมาช่วยงานที่บ้าน อย่างน้อยๆ ก็อยู่ใกล้เมืองใหญ่ๆ แต่กลับพบเจอคนในเมืองใหญ่ได้น้อยกว่า
ที่เธอเคยพบเจอล้วนเป็นลูกค้าที่มาจากเมืองเล็กๆ ไม่กี่เมืองใกล้ๆ นี้ และส่วนมากเป็นวัยกลางคนและคนสูงวัยทั้งนั้น ปกติคนหนุ่มสาวจะไม่เลือกมาที่นี่…เพราะไม่มีความบันเทิงอะไรเลย
แต่นี่จู่ๆ พวกคนสวยแบบนี้ก็โผล่มา
สาวน้อยอดระมัดระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
เริ่นจื่อหลิงไม่ได้คิดจะเขียนบทความให้ที่นี่จริงๆ หรอก เพียงแต่ในฐานะที่เธอมีชื่อเสียงในสายอาชีพนี้ เธอจะมาทำเป็นเล่นกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด คิดแล้วก็รีบทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นรองบรรณาธิการเริ่นก็คิดแผนการเล็กๆ ในใจต่อไปเป็นขั้นๆ แล้วถือโอกาสดึงตัวสาวน้อยมาถามสักหน่อย
“ปกติที่นี่มีแขกเยอะไหม?”
หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า แล้วถอนหายใจตอบว่า “ไม่เยอะเลยค่ะ ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างมากที่สุดเดือนหนึ่งก็รับนักท่องเที่ยวได้สิบกว่าคน ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ในหนึ่งเดือนมีนักท่องเที่ยวมาสองคนก็นับว่าดีแล้วค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงก้มหน้ากำลังจดบันทึกลงสมุดเล่มเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไมไม่เปิดบ้านพักตากอากาศทางฝั่งนู้นล่ะ? ทำไมถึงเลือกอยู่ที่นี่?”
หลี่ว์อีอวิ๋นลังเลไปเล็กน้อย สาวน้อยคงไม่รู้ว่าควรจะพูดความในใจของตนเองออกมายังไง อันที่จริงดูจากสีหน้าของเธอก็เดาออกได้ไม่ยาก เธอมองประตูทางเข้าแวบหนึ่ง ราวกับว่ากำลังกังวลบางเรื่อง
เริ่นจื่อหลิงแววตาสั่นไหว แล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่สะดวกไม่ต้องบอกก็ได้นะ”
หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้า หลังจากนั้นก็ตอบ “แม่บอกว่าพวกคุณต้องการห้องเตียงคู่สองห้อง อีกเดี๋ยวฉันไปปูที่นอนเพิ่มให้อีกที่หนึ่งดีไหมคะ? ถ้าปูต่อกัน สามคนนอนด้วยกันก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ต่อเตียง?” เริ่นจื่อหลิงยิ้มตาหยีและพูดทันทีว่า “ไม่ต้องหรอก!”
รองบรรณาธิการเริ่นยิ้มตาหยีชี้นิ้วไปที่ลั่วชิว แล้วก็ชี้ไปที่โยวเย่อีก ทำเสียงอย่างกับแม่เล้า “สองคนนี้ ห้องเดียวกัน”
“ครับ พวกเราห้องเดียวกัน”
ไม่นึกว่าลั่วชิวกลับพยักหน้าทันที
เริ่นจื่อหลิงนิ่งอึ้ง อ้าปากค้าง…อย่างกับเห็นผีเลย! เธอนึกว่าตอนนี้ลั่วชิวต้องปฏิเสธแน่นอนเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าจะรับปากทันทีแบบนี้? คงไม่ใช่ว่า…ไปตั้งนานแล้วหรอกนะ อย่างที่คิดไว้เลย เด็กสมัยนี้รวดเร็วจริงๆ
หนังในหัวของรองบรรณาธิการเริ่นเริ่มฉายอีกครั้ง มันคือฉากในโปรแกรมหนังพิเศษหลังเที่ยงคืน
เธอมองโยวเย่…เด็กสาวคนนี้งดงามสมบูรณ์แบบจริงๆ แม้ว่าเป็นคนเงียบขรึม แต่ในความคิดของเริ่นจื่อหลิงแล้ว เด็กสาวที่เงียบขนาดนี้ราวกับฟ้าลิขิตให้เกิดมาคู่กับลั่วชิวโดยแท้
ลั่วชิวตอบอย่างไม่ลังเลและไม่เก้อเขินเลย ท่าทางพูดจาอย่างสง่าเปิดเผย เป็นแบบคู่สามีภรรยาที่คุ้นเคยกันโดยแท้
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกคุณตามฉันมาเลยค่ะ”
แต่สาวน้อยดูเหมือนยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ จึงได้แต่ก้มหน้ารีบเดินออกจากห้องนี้ไป
พอเห็นโยวเย่ยิ้มน้อยๆ เดินตามหลังลั่วชิวไปด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เริ่นจื่อหลิงก็ลูบคางแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “คิดผิดแล้ว คิดผิดแล้ว!”
“พี่เริ่น พี่คิดอะไรผิดเหรอ?”
เริ่นจื่อหลิงทำหน้าไม่พอใจตอบ “ฉันนึกว่าฉันเข้าใจลูกชายคนนี้ดีแล้วซะอีก! คนที่เหมือนท่อนไม้ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่า…น้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ สองคนนี้คงไม่ได้นอนด้วยกันมาหลายครั้งแล้วใช่ไหม?”
“…พี่เริ่น พี่อย่าพูดแบบนี้สิ ฉันยังเป็นเด็กอยู่นะ”
“ไปๆ ๆ” เริ่นจื่อหลิงมองค้อนหลีจื่อแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “จริงสิ เธอแนบหูกับกำแพงฟังเสียงห้องนี้ดูสักหน่อยได้ไหม”
“ทำไมเหรอคะ?”
“เธอนี่โง่จริง! ถ้าคืนนี้ดุเดือดเกินไป เธอจิตแข็งพอไหมล่ะ?” แล้วเริ่นจื่อหลิงก็พูดเชิงหยอกล้อ “หรือว่า เธอคิดจะทำเรื่องน่าอายกับฉันล่ะ?”
หลีจื่อเห็นเริ่นจื่อหลิงกางฝ่ามือออก สิบนิ้วทำท่าจะโผเข้าจับ เธอก็รีบถอยชิดกำแพงทันที แล้วพูดอย่างตื่นกลัวว่า “พี่เริ่น…ฉัน ฉันยังเป็นแค่เด็กนะคะ พี่…พี่อย่าทำบ้าๆ นะ”
“หึๆ”
หมับ!
…
…
“แขกทั้งสองท่าน พอใจห้องนี้ไหมคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าต้อนรับสองคนนี้ตามลำพังกดดันกว่าต้อนรับแขกสี่คนเมื่อครู่อยู่บ้าง
“ถ้าไม่พอใจ ยังมีชั้นข้างบนอีกนะคะ”
ลั่วชิวส่ายหน้า
เขาเดินมาถึงหน้าหน้าต่างที่กว้างจรดพื้นของห้อง ก่อนเปิดบานประตูออกแล้วเดินไปถึงระเบียงกลางแจ้งด้านนอกห้อง มองดูหน้าผากับทะเลทางฝั่งนู้น
อันที่จริงด้านนอกเป็นสนามหญ้า บริเวณขอบสนามใช้ก้อนหินและดินเหนียวก่อเป็นกำแพงหินง่ายๆ …ที่จริงแล้วบ้านพักตากอากาศแห่งนี้สร้างอยู่ระหว่างไหล่เขา
“คนนั้นใครเหรอ?”
จู่ๆ ลั่วชิวก็ชี้ไปที่นอกสนามหญ้า ตรงนั้นมีคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งยาว
คนแก่ดูอายุมากคนนั้นกำลังประคองกระดานวาดรูปอันหนึ่ง ลักษณะกำลังเหม่อมองไปยังที่ไกลแสนไกล
“อ๋อ นั่นปู่ของฉันเองค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นยิ้มอธิบาย “ไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกค่ะ คุณทั้งสองสบายใจได้ค่ะ”
ลั่วชิวพยักหน้า แล้วเดินลงไปตามบันไดไม้เล็กๆ ด้านข้างระเบียงกลางแจ้ง ราวกับว่ากำลังมุ่งหน้าเดินไปหาชายชราคนนั้น
“นี่คุณลูกค้า…” หลี่ว์อีอวิ๋นงุนงง
ตอนนี้คุณสาวใช้กลับยิ้มน้อยๆ ตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขาแค่เดินเล่นน่ะ จริงสิ น้องสาวช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
“ว่ามาเลยค่ะ!”
“พาฉันไปห้องครัวหน่อยได้ไหม? ฉันอยากเตรียมอาหารด้วยตัวเอง”
สาวน้อยนิ่งอึ้ง…เธอไม่เคยเจอคำขอแบบนี้มาก่อนเลย
…
ลั่วชิวกำลังพิจารณาคนสูงวัยคนนี้ เหมือนอายุหกสิบกว่าเจ็บสิบกว่าปี สวมหมวกนั่งอยู่บนม้านั่งยาวใกล้ริมหน้าผา ราวกับว่าเขานั่งตรงนี้มานานแล้ว
ดินสอที่ใช้วาดภาพหยุดนิ่งบนกระดาษวาดรูปมาโดยตลอด ราวกับว่าไม่เคยขยับเลยสักนิด
บนกระดาษวาดรูปมีภาพที่ร่างดินสอไว้บางๆ พอมองออกว่าเป็นภาพร่างของคน
ชายชราไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเดินเข้ามา หรือบางทีรู้ว่ามีคนเดินมาแต่ไม่ได้สนใจ แค่มองไปทางทะเลตรงหน้าเงียบๆ เท่านั้น
ตอนที่ลมทะเลพัดมา ก็พัดให้ดอกดาวสีฟ้าที่ปลูกไว้ด้านหลังกำแพงหินพลิ้วไหว ลั่วชิวนั่งลงอีกข้างของม้านั่งยาวแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพวิวในช่วงเวลานี้
เขาก้มหน้าลง จัดการรูปภาพบนโทรศัพท์มือถือ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ทำไมไม่วาดให้เสร็จหรือครับ?”
ชายชราคล้ายไม่ได้ยินเสียงของเขา
จนกระทั่งลมทะเลพัดมารอบที่สอง
เขาถึงได้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ฉัน…นึกไม่ออกแล้ว ลืมไปแล้ว…ลืมไปแล้ว”
เขากำดินสอในมือแน่น เริ่มตวัดดินสอไปมาบนกระดาษวาดรูปอย่างรวดเร็ว เส้นที่ตัดสลับกันกลับเป็นแค่เส้นร่างไม่มีความหมายสำคัญอะไร
ภาพร่างรางๆ นั่นพลันถูกเส้นวาดขยุกขยิกไปมาพวกนี้ปกคลุมอย่างรวดเร็ว มองเค้าเดิมไม่ออกอีกแล้ว
“ฉันลืมไปแล้ว!”
ยามนี้ทะเลและท้องฟ้ากลืนเป็นสีเดียวกัน ไกลออกไปนั้นมีเมฆดำโผล่มาเป็นแถบ ฝนใกล้จะตกแล้วสินะ และคงเป็นพายุฝนด้วย