สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 3 ตอนที่ 5 รุ่นพี่ โปรดอย่าเพิ่งไป!
ช่วงใกล้เวลาพลบค่ำ เมฆดำที่ทะเลก็ได้แผ่ขยายมาถึงฝั่งนี้แล้ว จากนั้นพายุฝนก็มา
ถึงเวลาอาหารค่ำ ทุกคนก็ล้อมวงกันอยู่ในห้องอาหารที่ปรับปรุงมาจากห้องรับแขกเก่า
ในนั้นมีแค่โต๊ะกลมเพียงสามตัว จากนั้นก็ใช้ฉากบังลมเล็กๆ กั้นเอาไว้ ห้องอาหารที่ทาสีขาวเทาไว้ดูลวกๆ แต่ว่าอาหารที่หลี่ว์อีอวิ๋นยกออกมากลับน่ากินจนอุดปากของเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อเอาไว้ได้สนิท
เพียงแต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าอาหารชั้นเลิศมากขนาดไหน ก็อุดปากของรองบรรณาธิการเริ่นได้โดยสิ้นเชิง…เพราะว่าโยวเย่ไม่อยู่ที่นี่
ตั้งแต่มาถึงเริ่นจื่อหลิงยังไม่ได้พูดคุยให้ดีๆ เลย จึงคิดจะถือโอกาสทำความเข้าใจกันบนโต๊ะกินข้าวนี้ให้เต็มที่สักหน่อย!
“เธอไม่สบาย พักผ่อนอยู่ในห้อง” ลั่วชิวตอบง่ายๆ
“ไม่สบาย?” เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน กำลังมองดูลั่วชิวอย่างระแวง แต่กลับพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย “คงไม่ได้เป็นไข้แดดไปแล้วหรอกนะ? เป็นหนักหรือเปล่า? ต้องไปดูเธอหน่อยไหม?”
“ไม่ต้องครับ ให้เธอหลับแป๊บหนึ่งก็พอแล้ว” ลั่วชิวส่ายหน้า
แทนที่จะพูดว่าโยวเย่ไม่ต้องกินอาหาร ไม่สู้พูดว่าไม่มีระบบนี้ดีกว่า ต่อให้อาหารชั้นเลิศขนาดไหนเข้าไปในปากเธอ…ก็ดูจะล้างออกลำบากทั้งนั้น
หลี่ว์อีอวิ๋นที่กำลังยกอาหารจานสุดท้ายออกมาได้ยินเข้าพอดี เลยเผลอพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณผู้หญิงคนนั้นกำลังเหนื่อยอยู่เหรอคะ? ยังไงก็ทำอาหารมาตั้งมากมายแบบนี้รวดเดียวเลย”
มีเท่าไร?
ทะเลเป็นแหล่งที่หาอาหารทะเลนี้ได้ง่ายมาก ซาชิมิที่อยู่เต็มโต๊ะ ซุปทะเล กุ้ง ปลานึ่ง หอย นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเลชั้นเลิศทอดอย่างพิถีพิถัน แล้วยังจัดวางจานอย่างตั้งใจอีก
อาหารรสเลิศราวกับหลุดมาจากภัตตาคารมิชลินสตาร์ ได้มาวางอยู่ในห้องอาหารที่เรียบง่ายของตัวเองแล้ว จนถึงตอนนี้หลี่ว์อีอวิ๋นยังรู้สึกเหมือนฝันไป
เธอพอเข้าใจความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงของพ่อตัวเองแล้ว
“หา? นี่เป็นของที่โยวเย่ทำเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงอ้าปากค้าง ท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด!
ตอนนี้สาวน้อยถึงได้ยิ้มกล่าว “ใช่ค่ะ! จริงๆ ไม่ควรให้ลูกค้ามาทำเรื่องพวกนี้เอง แต่คุณผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ต้องลงมือทำให้พวกคุณกินเองเท่านั้นค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงดวงตาคล้ายมีประกายแสงวิบวับ จับตะเกียบคีบซาชิมิใส่เข้าไปในปากชิ้นหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้จิ้มโชยุ และไม่ได้มีเครื่องปรุงอย่างวาซาบิ แต่ก็ใช้หัวไช้เท้าฝนมาแทนได้เป็นอย่างดี
ชั้นไขมันของซาชิมิและเนื้อปลาเหมือนผ่านการคิดคำนวณมาแล้ว แต่ละชั้นสลับกัน สัมผัสไขมันปลาที่มีความหอมหวานและเนื้อปลาสดหวานบนปุ่มแยกรสชาติ พร้อมกับความเย็นและเผ็ดร้อนเล็กๆ ที่มากับหัวไช้เท้า พอรวมเข้าด้วยกัน ก็รู้สึกราวกับน้ำแข็งหิมะกำลังละลายช้าๆ
เริ่นจื่อหลิงหลับตาพริ้ม เผยให้เห็นสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
เธอเบิกตาโพลงพูดว่า “ลูกสะใภ้คนนี้ ฉันจะต้องให้แต่งเข้ามาให้ได้…ไม่ใช่สิ เป็นลูกที่ต้องรับมา!”
แค่อาหารโต๊ะเดียวก็ติดสินบนได้โดยสิ้นเชิงแล้วเหรอ?
ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงเหมือนมองคนที่สมองมีปัญหา แต่กลับเอากุ้งที่แกะเปลือกเอาไว้ตัวหนึ่งวางลงไปในชามของเริ่นจื่อหลิง
เริ่นจื่อหลิงเจอแบบนี้จนชินมานานแล้ว ก็มองค้อนพร้อมกับพูดว่า “เธออยากจะปิดปากฉันเหรอ?”
ลั่วชิวทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กลับมองหลี่ว์อีอวิ๋นพลางพูดขึ้น “เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยไม่ออกมากินด้วยกันเหรอ? อาหารตรงนี้พวกเรากินไม่หมดหรอก ถ้ากินด้วยกัน ก็คงครึกครื้นขึ้นมาหน่อย…แล้วยังมีคุณปู่คนนั้นอีก”
หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า “พ่อของฉันออกไปแล้ว…ส่วนแม่บอกว่าเหนื่อยนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้พักผ่อนอยู่ในห้อง ส่วนคุณปู่ของฉัน เขาไม่ค่อยชินกับการกินข้าวกับคนแปลกหน้าค่ะ”
พูดไม่ได้เด็ดขาดว่าครอบครัวของตัวเองพึ่งจะทะเลาะกันไป สาวน้อยลอบถอนหายใจ ไหนเลยเธอจะไม่หวังให้ทั้งครอบครัวรวมตัวกันกินข้าวดื่มชาอย่างสงบสุขเต็มที่สักมื้อ
“มีใครอยู่ไหม? มีใครอยู่ไหมครับ?”
ทันใดนั้นข้างนอกก็มีเสียงเรียกที่ดังมา
…
ที่เข้ามาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ท่าทางอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปียกโชก อีกทั้งยังถือกล่องหนังสีดำมาใบหนึ่ง
ท่าทางรีบร้อน
“เฮ้อ แถวนี้ข้างหน้าก็มองไม่เห็นร้านค้า ข้างหลังก็มองไม่เห็นหมู่บ้าน ยังดีที่หาโรงแรมแบบนี้ได้”
หลี่ว์อีอวิ๋นพาวัยรุ่นไปที่ห้องอาหาร ให้เขานั่งลงโต๊ะข้างๆ น่าจะด้วยกลัวจะต้อนรับไม่ดี เพราะคุณน้าที่อยู่ช่วยงานกลับบ้านไปก่อนฝนตกแล้ว
“คุณผู้ชาย ที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศ ไม่ใช่โรงแรมค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างฉะฉาน
วัยรุ่นคนนั้นย้อมผมสีทองทั้งหัว ใส่เสื้อกล้ามตัวเล็ก แขนซ้ายมีรอยสักรูปกิเลนตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นอกจากนั้นยังใส่ต่างหูอีกหนึ่งอัน
การแต่งตัวแบบนี้สำหรับสาวน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบเช่นนี้แล้ว บางทีอาจจะน่าตกใจอยู่บ้าง หลี่ว์อีอวิ๋นจึงไม่ได้เข้าไปใกล้เกินไป
วัยรุ่นคนนั้นโบกมือไม่คิดมากพลางพูดว่า “อะไรก็ได้ คืนนี้ฉันจะนอนพักที่นี่ เธอไปเตรียมของกินให้ฉันกินหน่อยแล้วกัน…โอ้ อาหารบนโต๊ะนั้นดูดีมาก เอาแบบเดียวกันมาให้ฉันสักชุดแล้วกัน!”
วัยรุ่นคนนั้นหรี่ตามองมาทางโต๊ะของลั่วชิว
สาวน้อยพลันพูดอย่างลำบากใจว่า “อ๊า…คุณผู้ชายท่านนี้ อาหารพวกนั้นเป็นของที่แขกโต๊ะนั้นทำเอง ที่พักของพวกเรา…ไม่ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“นี่มันที่ห่วยแตกอะไรกัน? ของกินยังต้องให้ลูกค้าทำเองเหรอ?” ชายวัยรุ่นขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น
“ที่นี่พวกเราเป็น…นี่คือ…” หลี่ว์อีอวิ๋นไปต่อไม่ถูกทันที
ชายวัยรุ่นพูดอย่างไม่พอใจ “งั้นพวกเธอมีอะไรบ้าง?”
หลี่ว์อีอวิ๋นทำได้แค่พูดว่า “พ่อของฉันออกไปแล้วค่ะ เขาคุมห้องครัว…ถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ฉัน ฉันทำอาหารได้หลายอย่าง…”
สาวน้อยก้มหน้าลง คาดว่าคงไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองเท่าไร
วัยรุ่นคนนั้นหันไปทางโต๊ะลั่วชิว ก่อนสับขาเดินเข้าไป พร้อมทั้งดึงเก้าอี้มานั่งโดยไม่ถามสักคำ
สองมือของเขาวางไว้บนโต๊ะ หรี่ตายิ้มพลางพูดว่า “ทุกท่าน มาร่วมโต๊ะกันสักหน่อยเป็นยังไง? ผมว่า ของบนโต๊ะนี้พวกคุณกินกันไม่หมดหรอก แล้วผมก็หิวมากจริงๆ ถ้าไม่ติดอะไรผมจ่ายเงินให้ก็ได้ แล้วพวกเราก็แบ่งกัน?”
เริ่นจื่อหลิงกลับไม่สนใจ กินเนื้อกุ้งในชามให้หมดอย่างอ้อยส้อยก่อน ถึงได้เช็ดปาก ยิ้มให้กับชายวัยรุ่นคนนั้นเล็กน้อย
ชายวัยรุ่นคิดว่ามีความหวังแล้ว ก็เลยยิ้มตาม ขณะจะลงมือหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา เริ่นจื่อหลิงกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ขาย”
ขายอะไรกัน?
นี่เป็นสิ่งที่ว่าที่ลูกสะใภ้ทำด้วยความยากลำบาก เพื่อแสดงความกตัญญูต่อแม่สามีในอนาคตของเธอคนนี้นะ! รองบรรณาธิการเริ่นทำใจเอาของสิ่งนี้มาต้อนรับคนแปลกหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอก!
ใครว่าข้ากินไม่หมดล่ะ? ถึงข้าจะตายเพราะกินมากเกินไปก็ต้องกินให้หมด!
ดวงตาวัยรุ่นคนนั้นหรี่เล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย ฉับพลันก็หัวเราะพูดว่า “ผมว่าอาหารทะเลโต๊ะนี้ทำได้เข้าท่าดี…ห้าพัน ถ้าคุณให้ผมกินหนึ่งชุดล่ะก็ ผมจะให้พวกคุณห้าพัน!”
“ห้าพัน…เยอะจังเลยนะ!” เริ่นจื่อหลิงตอบรับอย่างประหลาดใจ จากนั้นได้พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่ขาย อีกอย่างถ้าไม่มีธุระล่ะก็ คุณหลบไปได้ไหม? อย่ามาเกะกะพวกเรากินข้าว”
วัยรุ่นยักไหล่ ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นมา
เขายืนขึ้น กำลังมองลั่วชิว เริ่นจื่อหลิง และยังมีหลีจื่อทั้งสามคนที่อยู่บนโต๊ะนี้จากบนลงล่างทีละคน ก่อนผิวปากเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “เสียดายอาหารดีๆ บนโต๊ะนี้จริงๆ ไม่กินก็ไม่กิน”
ฉับพลันนั้นก็ก้มหน้าลง “งั้นก็ไม่ต้องกินมันทุกคนนี่แหละ!”
วัยรุ่นลงมือราวสายฟ้าแลบ มือทั้งสองจับโต๊ะไว้ เหมือนอันธพาลที่คิดจะคว่ำโต๊ะอย่างไร้เหตุผล
คิดไม่ถึงว่าวัยรุ่นคนนี้ออกแรงจนหน้าแดงก่ำ แต่กลับคว่ำโต๊ะไม่ได้แม้แต่น้อย
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นตกใจทันที…กำลังมองคนทั้งสามอย่างตื่นตะลึง ผู้หญิงสองคนถือชามไว้อยู่ กำลังมองมาทางเขาอย่างสงสัย
มีเพียงวัยรุ่นที่ไม่ปริปากส่งเสียงคนเดียวที่กดฝ่ามือข้างเดียวลงไปบนโต๊ะคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ
ตอนนี้มือทั้งสองของชายวัยรุ่นราวกับถูกของอะไรแทงเข้าให้เล็กน้อย เลยหุบมือกลับมาอย่างรวดเร็ว
พอดีกับตอนที่เขาตกใจชะงักไป ลั่วชิวกลับใช้ชามตะเกียบคีบอาหารบางอย่าง
“หิวก็กินอะไรหน่อยสิ” เขาส่งชามที่ใส่อาหารเอาไว้เต็มออกมาช้าๆ “แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงินด้วย”
ชายวัยรุ่นแอบกลืนน้ำลาย คิดอย่างเผลอไผลว่าอยากจะยกชามใบนี้ขึ้นมา แต่กลับไม่คิดว่าตอนที่เขาเอามือยกชาม กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่น่ากลัวอย่างประหลาดของชามใบนี้!
ไม่ว่าเขาจะใช้พละกำลังมากเพียงใด ก็เหมือนกับไม่มีทางยกชามใบนี้ขึ้นมาได้เลย
ชายวัยรุ่นที่มีสถานะพิเศษรู้สึกเหมือนพบกับผู้สูงส่งเข้าให้แล้ว จึงตกใจจนหลังมีเหงื่อไหลพลั่ก
“ทำไม ไม่กินเหรอ?” ลั่วชิวมองอยู่แวบหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “รสชาติอร่อยเลยนะ”
ชายวัยรุ่นอกสั่นขวัญแขวนทันที เขากำลังมองลั่วชิว หัวใจพลันเต้นแรง…ถ้าฉันยกขึ้นมาได้ ก็คงยกขึ้นมาตั้งนานแล้วนะพี่ชาย!
“ขอ ขอโทษ ผมหิวมากเกินไปเลยระเบิดอารมณ์ออกมา”
เขากลืนน้ำลาย ถอยหลังไปสองก้าว กำลังโบกไม้โบกมือพร้อมพูดว่า “ผมกินของที่สาวน้อยคนนั้นทำก็ได้ครับ…ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ!”
มองดูวัยรุ่นหัวทอง สักข้อมือ สวมต่างหู ท่าทางเหมือนอันธพาลขอโทษอย่างน่าตลกขบขัน เริ่นจื่อหลิงก็อ้าปากค้างพูดเสียงเบาๆ อย่างงุนงงว่า “เจ้านี่…สมองมีปัญหาเหรอ?”
หลีจื่อกลับพูดราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “พี่เริ่น ฉันว่านะ เป็นเพราะท่าทางนิ่งเฉยของลั่วชิว ที่ทำให้เจ้าอันธพาลตกใจหนีไป พี่ดูสิ คนธรรมดาที่ไหนเจอเข้าก็ขวัญหนีดีฝ่อเหมือนกัน เขาคงคิดว่าลัวชิวมาจากครอบครัวที่มีอำนาจ ก็เลยรีบร้อนออกไปล่ะมั้ง!”
“อืม…ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง” เริ่นจื่อหลิงกำลังมองดูลั่วชิว พินิจพิจารณา “เจ้าเด็กคนนี้ ท่าทางปกติตอนไม่พูดก็น่าตกใจมากจริงๆ”
เป็นประเภทที่มองดูแล้วเข้าหายากล่ะมั้ง? หลีจื่อเพิ่มอีกหนึ่งประโยคเงียบๆ ในใจ…ความจริงเธอก็ไม่กล้ามองลั่วชิวตรงๆ เลยเหมือนกัน
ลั่วชิวพูดขึ้น “รีบกินเถอะครับ รออีกเดี๋ยวผมจะเอาที่เหลือกลับห้อง วันนี้เหนื่อยแล้ว ทุกคนนอนไวๆ นะครับ”
“ฉันยังต้องเร่งทำต้นฉบับอีกนะ” เริ่นจื่อหลิงพูดขวานผ่าซาก “วันนี้เธอไม่สบาย ลูกก็อย่านอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาแล้วกัน!”
“…”
รู้งี้น่าจะให้เจ้านั่นคว่ำโต๊ะไปเลยจะดีกว่าล่ะมั้ง?
เริ่นจื่อหลิงเสริมอีกว่า “ตอนกลางคืนระวังหน่อย พวกเราก็ล็อกประตูให้ดี…เจ้าคนเมื่อกี้นี้ ดูไม่น่าใช่คนดี จำไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องให้ตะโกนดังๆ นะ”
หลีจื่อพยักหน้า
…
…
ไม่นานนัก เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อก็กลับไปที่ห้องก่อน ลั่วชิวแกล้งทำท่าทำทางห่ออาหาร
สักพักสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก็วิ่งเข้ามาในห้องครัวแล้วไม่กล้าออกมาอีก
ตอนนี้จู่ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็มองมา หลังจากลังเลอยู่สักพัก ถึงพูดอย่างระแวดระวังว่า “รุ่นพี่ท่านนี้…เมื่อสักครู่รุ่นน้องทำล่วงเกินไปแล้ว”
“ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เป็นไร” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย
วัยรุ่นหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งพลางพูดว่า “เป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงไอปีศาจจางๆ อย่างหนึ่งลอยออกมา ก็เลยคิดจะลงมือหยั่งเชิงดู…คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีผู้สูงส่งอย่างรุ่นพี่อยู่ สอนจระเข้ว่ายน้ำจริงๆ ขายหน้าคนในสายอาชีพเดียวกัน”
ลั่วชิวไม่ได้ตอบกลับ…ที่ยกชามและโต๊ะขึ้นไม่ได้เพราะใช้พลังที่ต่างกันสองสายมาค้านไว้
ที่จริงแล้วมีทั้งหมดสี่สาย
สองสายแรกเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองสร้างออกมา ส่วนอีกสองสายที่ส่งออกมากลับเป็น…หลีจื่อ
เธอทำให้โต๊ะอยู่นิ่งก่อน ต่อมาถึงได้เป็นพลังของ ลั่วชิว
อาหารชามนั้นก็เหมือนกัน…พลังสองสายที่ต่างกัน หนึ่งในนั้นยังคงมาจากเจ้าของสมาคม ไม่เช่นนั้นวัยรุ่นคนนี้คงไม่จนตรอกลับหลังอยู่แบบนี้
วัยรุ่นคนนั้นมองเห็นลั่วชิวไม่ได้พูด ก็รู้ว่าผู้มีญาณสูงบางคนมักจะมีท่าทางแบบนี้ ดังนั้นจึงได้แต่พูดว่า “ตอนนี้คิดดูแล้ว ปีศาจน้อยข้างกายรุ่นพี่คนนั้น…คงจะเป็นคนใช้ของรุ่นพี่ล่ะสิ”
ลั่วชิวไม่อยากพูดกับอีกฝ่าย อีกทั้งยังโปรยสายตา ‘คุณน่ารำคาญมาก’ ไปให้
วัยรุ่นราวกับสัมผัสไม่ได้ ฉับพลันก็พูดเสียงกระซิบกระซาบว่า “รุ่นพี่มาที่นี่ ก็เพราะตำนานนั้น…ใช่ไหม?”
“ตำนานอะไร” ลั่วชิวหยุดมือลง
วัยรุ่นยิ้มแล้วพูดว่า “รุ่นพี่ พวกเราคนซื่อสัตย์ไม่พูดจาลับหลัง ก่อนหน้าหลายสิบปีละแวกนี้มีปีศาจทะเลปรากฏตัวขึ้นมา หลายปีมานี้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์อยู่ตลอด แต่ช่วงนี้กลับมีเค้าว่าจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งไม่ใช่เหรอ?”
พูดไปพลาง วัยรุ่นคนนี้ก็ยันตัวขึ้นมา ยกมือขึ้นประกบกัน แล้วเคารพช้าๆ พลางพูดว่า “พูดแบบไม่ปิดบังความจริง รุ่นน้องมาครั้งนี้ก็เพื่อเสาะหาร่องรอยของปีศาจทะเลตนนั้น หวังว่ารุ่นพี่จะร่วมมือรวมพลังกำจัดปีศาจที่มาจากทะเลลึกตนนี้!”
“ไม่สนใจ” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ผมไม่ได้มาเพราะสิ่งนี้”
“โอ๊ย? รุ่นพี่! รุ่นพี่! รุ่นพี่หยุดก่อน!” วัยรุ่นรีบร้องเรียก “รุ่นน้องมั่วมั่วผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกรรุ่นปัจจุบัน ต้องการคำแนะนำ! รุ่น…”
ลั่วชิวเดินออกไปนอกห้องอาหารแล้ว
มั่วมั่วขมวดคิ้ว นั่งลงมาใหม่อีกครั้ง พูดพึมพำกับตัวเอง “ได้ยินว่าที่นี่เป็นเขตแดนของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม…หรือว่าจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักลึกลับนี้? ไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้…งั้นมาเพื่ออะไรกันล่ะ?”
นิ้วมือของมั่วมั่วกำลังเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วเกิดความขัดแย้งในใจ ‘อาจารย์บอกว่า ฉันมีประสาทการรับรู้ล้ำเลิศกว่าใคร ตอนนี้วิชาได้ก้าวไปไกลกว่าตอนยังเป็นเด็ก…ตลอดทางที่ลงเขามาท่องเที่ยวนี้ ก็ไม่เคยได้พบคู่ต่อสู้ ยากนักที่จะได้พบยอดฝีมือสักคน จะลองดูดีไหม? เมื่อกี้นี้ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ถึงได้ลำบากแบบนี้…ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงอันสูงส่งของหุบเขาพยัคฆ์มังกรตกต่ำลงแบบนี้’
“ลูก ลูกค้า…ของกินคุณ…”
ในตอนนี้หลี่ว์อีอวิ๋นกำลังยกจานมา เดินออกมาอย่างระมัดระวัง
มั่วมั่วยิ้มๆ
เขาลูบผมที่เปียกน้ำฝนลูบไปไว้ข้างหลัง แล้วใช้ทั้งสองมือรับจานจากมือของหลี่ว์อีอวิ๋น พร้อมพูดเสียงเบาๆ ว่า “สาวน้อย ขอโทษด้วย เมื่อกี้นี้คงไม่ได้ทำให้เธอตกใจหรอกนะ”
มองดูสีหน้าของมั่วมั่วที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หลี่ว์อีอวิ๋นพลันตะลึงงัน…ผู้ชายคนนี้ เหมือนจะหน้าตาดีมากๆ เลย
“ไม่ ไม่เป็นไร…”